มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 36 เสวี่ยจีตื่นขึ้นมาแล้ว
รุ่งเช้าวันที่สอง น้ำแข็งบนทะเลสาบละลายหายไปมากกว่าเดิม ภายในสำนักแม่ชีอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
ถงเหยียนฝากข้อความไว้กับแม่ชีชราผู้นั้น ก่อนจะจากสำนักแม่ชีมา เดินทางผ่านทางขึ้นเขาที่เปียกชื้นมายังเมืองต้าหยวน
เขามาที่ร้านขายวัตถุโบราณของคุณชายหลี่ ซื้อของเล็กน้อย จากนั้นสอบถามเรื่องราวบางเรื่องจากเพื่อนบ้านและพวกว่างงานที่ชอบจับกลุ่มคุยกัน
เมื่อสิบปีก่อนได้เกิดเหตุการณ์ในทะเลตะวันตกครั้งนั้นพอดี แม่นางที่คุณชายหลี่ได้พบในสำนักแม่ชีน่าจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยท่านนั้น
เนื่องจากถงเหยียนเชี่ยวชาญในการคิดคำนวน อีกทั้งยังรู้รายละเอียดของเรื่องราวนั้นพอดี เขาจึงได้ข้อสรุปนี้ออกมาอย่างไม่ยากเย็น
ในตอนที่กลับมายังสำนักแม่ชีสามพัน ท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว ตะเกียงอมตะที่แขวนอยู่บนสะพานและบนต้นไม้ริมทะเลสาบยิ่งสว่างเจิดจ้า ถงเหยียนมาถึงตรงหน้าห้องฌาน มองเข้าไปด้านใน
เสวี่ยจีกำลังนอนหลับอยู่ใต้ผ้านวมที่กองเป็นภูเขา ไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ตรงริมทะเลสาบที่อยู่อีกด้านหนึ่งของหน้าต่าง มองดูแผ่นน้ำแข็งที่ค่อยๆ แตกกระจายบนผิวทะเลสาบ ภายในมือถือ พู่กันอยู่ด้ามหนึ่ง กำลังขีดเขียนอะไรลงไปบนกระดาษ
ชิงเอ๋อร์นั่งอยู่บนไหล่ของเขา ฮัมเพลงแคว้นฉู่เก่าที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝัน
ถงเหยียนรู้สึกว่าภาพเหล่านี้ค่อนข้างน่าสนใจ บนใบหน้าอันอ่อนเยาว์มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา
จิ๋งจิ่วไม่สนใจเรื่องราวบนโลก อีกทั้งยังคุ้นเคยกับสถานที่ที่ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องราวทางโลกอย่างวัดกั่วเฉิงและสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย ช่างเหมือนคนที่เกิดมาเพื่อออกบวชจริงๆ
จากนั้นเขาคิดถึงศิษย์น้องไป๋เจ่า รอยยิ้มบนมุมปากค่อยๆ จางหายไป แต่คิ้วทั้งสองข้างกลับเลิกขึ้นมาจนค่อยๆ ดูเข้มขึ้น
หากไม่สนใจเรื่องราวบนโลกจริงๆ เหตุใดข้างกายเขาถึงได้มีหญิงสาวที่แปลกประหลาดปรากฎขึ้นมากมายขนาดนี้?
เมื่อสิบปีก่อนก็มีผู้อาวุโสกั้วตง ตอนนี้ข้างกายเขามีชิงเอ๋อร์ ด้านหลังยังมีแม่นางเสวี่ยที่ยังนอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่ม….
ค่ำคืนมืดขึ้นทุกขณะ จู่ๆ พลันมีเสียงพิณลอยมา
ถงเหยียนหมุนตัวเดินไปตรงด้านหน้าสะพาน มองข้ามลำธารไป
คุณชายหลี่มิได้นั่งอยู่บนพื้นหิมะ หากแต่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ที่ตนเองนำมาด้วย พิณกู่ฉินวางลงบนเข่า เสียงพิณดังขึ้นมา
คืนนี้ บทเพลงที่เขาบรรเลงคือบทเพลงค่ำคืนมีความสุข
บทเพลงนี้เคยปรากฏขึ้นที่นี่เมื่อสิบปีก่อน
บนม้านั่งหินริมทะเลสาบ
ใบหูของจิ๋งจิ่วขยับเล็กน้อย
ชิงเอ๋อร์นั่งอยู่บนไหล่ของเขา ขยับเข้ามาใกล้อย่างสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะลูบติ่งหูของเขา ในใจครุ่นคิดว่าทั้งๆ ที่เป็นใบหูที่กาง ทำไมถึงได้ดูงดงามถึงขนาดนี้?
เจตน์กระบี่หลายสิบสายพุ่งออกมาจากในร่างกายของจิ๋งจิ่ว ใช้เพลงกระบี่แบกสวรรค์วางข่ายพลังขึ้นมาข่ายหนึ่ง ตัดขาดสายตาจากโลกภายนอก แต่มิได้ตัดขาดเสียงพิณเหล่านั้น
เขาจุ่มมือขวาลงไปในทะเลสาบ จากนั้นใช้ด้านที่เรียบลื่นของคันฉ่องฟ้ากระจ่างลับกระบี่ต่อ
น้ำทะเลสาบที่เย็นยะเยือกเปลี่ยนเป็นไอน้ำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ลอยฟุ้งขึ้นมา มือของเขาปรากฏขึ้นลางๆ อยู่ภายในหมอก
ชิงเอ๋อร์คิดในใจ นี่ก็ดูงดงามอย่างมากเช่นเดียวกัน
เสียงพิณดังขึ้นต่อเนื่อง ไม่มีหยุดชะงัก บางทีอาจจะเปลี่ยนไปหลายบทเพลงแล้ว ทว่าจิ๋งจิ่วมิได้สนใจ
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ค่ำคืนยิ่งมืดมิด
จู่ๆ จิ๋งจิ่วพลันเงยหน้าขึ้นมา ร่างกายหายไปจากริมทะเลสาบ
ถงเหยียนเองก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังจากในห้องฌาน ในใจร้องว่าแย่แล้ว จึงเหยียบหิมะบางๆ ที่อยู่บนลำธาร พุ่งมาตรงหน้าคุณชายหลี่ จากนั้นหมุนตัวฟาดฝ่ามือออกไป
พลังที่ไร้รูปร่างสายหนึ่งพุ่งออกมาจากใจกลางฝ่ามือของเขา จากนั้นขยายตัวออกเป็นเหมือนกระจก สะท้อนภาพสะพานหิน สำนักแม่ชีและท้องฟ้าที่อยู่เบื้องหน้าออกมา
เพียงแค่พริบตา ภาพเหล่านั้นพลันดูเลือนลาง เพราะบนกระจกมีน้ำค้างแข็งจับตัวเป็นชั้นบางๆ ขึ้นมาชั้นหนึ่ง
น้ำค้างแข็งที่เย็นยะเยือกทำลายพลังเต๋าของสำนักจงโจวที่แฝงอยู่บนกระจกแสงไร้รูปร่างบานนี้ได้อย่างง่ายดาย น้ำค้างแข็งลุกลามขึ้นมาถึงบนหลังมือและข้อมือของเขา จากนั้นลุกลามขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ
ถงเหยียนใบหน้าขาวซีด รับรู้ได้ว่าปราณก่อกำเนิดภายในร่างกายกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งพลังวิญญาณของจิตทารกก็ยังอ่อนแอลงไปหลายส่วน
……
……
ภายในห้องฌาน เสวี่ยจีไม่รู้ว่าลืมตาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ภายในดวงตาสีดำแผ่กระจายความเย็นยะเยือกที่น่ากลัวออกมา ภายในอากาศมีเกล็ดหิมะที่เล็กละเอียดแต่กลับดูงดงามเป็นอย่างมากโปรยปลิว
จิ๋งจิ่วพุ่งชนเกล็ดหิมะเหล่านั้นจนแตกละเอียด มาถึงตรงด้านหน้ากองภูเขาผ้านวม จ้องมองดวงตาของนางพลางกล่าวว่า “หยุด”
เสวี่ยจีมองดูเขาเงียบๆ วิเคราะห์ออกมาได้ว่ามนุษย์ผู้นี้กำลังข่มขู่ตนเองอยู่
บนแผ่นดินเฉาเทียนไม่มีใครสามารถข่มขู่นางได้ แต่จิ๋งจิ่วกลับทำแบบนี้ถึงสองครั้ง เพราะเขาเคยเห็นด้านที่อ่อนแอที่สุดของนาง และมีสิ่งที่นางต้องการมากที่สุด — นั่นก็คือโลกที่หนาวเย็นจนถึงที่สุดแห่งนั้น
……
……
ตรงด้านหน้าสะพานหิน ความหนาวเย็นหายไป
น้ำค้างแข็งได้ลุกลามขึ้นมาถึงตรงหัวไหล่ของถงเหยียนแล้ว
เขาไอออกมาเล็กน้อย ไอเอาโลหิตที่จับตัวเป็นเหมือนผลึกหินสีแดงออกมา เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บไม่เบา
คุณชายหลี่มิใช่ผู้บำเพ็ญพรต ถึงแม้จะมิได้ถูกความเย็นยะเยือกสายนั้นโจมตีใส่ตรงๆ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนพื้นหิมะ
ถงเหยียนหมุนตัวมามองเขาพลางส่ายศีรษะ เอายาเม็ดหนึ่งป้อนเข้าไปในปากเขา จากนั้นให้แม่ชีในสำนักแม่ชีแบกเขากับพิณกู่ฉินกลับเข้าไปในห้อง
……
……
“ในตะเกียงมีไฟ เจ้าน่าจะรับรู้ได้อย่างชัดเจน หากเข้าใจถึงการเชื่อมโยงทั้งหมดระหว่างตะเกียงไฟเหล่านี้ ก็จะสามารถควบคุมข่ายพลังนี้ได้”
จิ๋งจิ่วหยิบเอาสมุดบางๆ เล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ จากนั้นวางลงบนผ้านวมที่อยู่ตรงหน้าเสวี่ยจี “นี่ก็เป็นค่ายพลังอย่างนึง เจ้ารีบเรียนมันซะ จากนั้นพวกเราจะได้ออกไป”
บนหน้าปกของสมุดบางๆ เล่มนั้นไม่มีตัวหนังสือเขียนเอาไว้อยู่ ลมจากด้านนอกหน้าต่างพัดเข้ามา สมุดพลิกเปิดออก เผยให้เห็นตัวหนังสือสีดำที่ยังดูใหม่ น่าจะเพิ่งเขียนขึ้นมา คำพูดที่เขียนเอาไว้เรียบง่าย แต่รูปร่างของกระบี่ที่วาดเอาไว้กลับมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก มองดูแล้วรู้สึกตาลาย หากคิดอยากจะเรียนรู้ให้เป็นนั้นยิ่งยากลำบาก
หากในเวลานี้กู้ชิงอยู่ที่นี่ เขาจะต้องจำได้อย่างแน่นอนว่าสมุดบางๆ เล่มนี้ก็คือเพลงกระบี่แบกสวรรค์ที่สำคัญที่สุดของสำนักชิงซาน
เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จ จิ๋งจิ่วก็เดินออกไปจากห้องฌาน มาถึงตรงหน้าสะพานหิน
เขากล่าวกับถงเหยียนว่า “แคว้นเสวี่ยมีเพียงระดับชั้น ไม่มีสังคม นางไม่มีเพื่อน มีเพียงประชากร ดังนั้นนางจึงรู้จักแต่เพียงออกคำสั่ง ไม่รู้จักรูปแบบการสื่อสารอย่างอื่น หากมีสิ่งมีชีวิตไหนที่รับรู้ไม่ได้ถึงเจตจำนงของนาง และไม่แสดงออกถึงท่าทียอมศิโรราบในทันที ก็จะถูกนางมองว่าควรจะถูกกำจัดทิ้ง”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ดังนั้นสิ่งแรกที่นางทำหลังจากตื่นขึ้นมาก็คือฆ่าเขา? อย่างนั้นทำไมแม่ชีชราที่อยู่ในสำนักแม่ชีเหล่านั้นถึงไม่เป็นอะไร?”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “บางทีสองวันนี้นางอาจจะฟังเสียงพิณจนรำคาญกระมัง?”
ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ต้องหาวิธีแก้ไข”
หากเป็นเช่นนั้นจริง เสวี่ยจีเดินไปที่ไหน ที่นั่นก็จะมีคนตาย พวกเขาไม่สามารถปิดบังร่องรอยของนางได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ตายไปเหล่านั้นก็ยังน่าสงสารเป็นอย่างมาก
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ถูกต้อง นางต้องเรียนรู้วิธีที่จะอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่น”
ถงเหยียนกล่าวว่า “อันดับแรกคือต้องสื่อสารกับนางให้ได้ก่อน เจ้าเข้าใจคำพูดของนาง เป็นคนที่เหมาะสมที่สุด”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าไม่เคยถูกสั่งมาก่อน ดังนั้นไม่สามารถทำการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพที่แท้จริงกับนางได้”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ดังนั้น?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าไป”
เมื่อพูดจบประโยคนี้ เขาก็กลับไปลับกระบี่ต่อตรงริมทะเลสาบหิมะ คล้ายว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะยกเท้าอันหนักอึ้งก้าวเดินเข้าไปในห้องฌาน
ความหนาวเย็นของเสวี่ยจีมิได้ไหลออกไปด้านนอกอีก เมืองต้าหยวนไม่มีลมหิมะ อุณหภูมิรอบๆ สำนักแม่ชี ก็อบอุ่นขึ้น ชุ่มชื่นขึ้น แต่ภายในห้องฌานยังคงหนาวเย็นเป็นอย่างมาก บนผนังและบนชายหลังคามีน้ำค้างแข็งจับตัวหนา
บนหน้าต่างทรงกลมมีน้ำแข็งย้อยที่โปร่งใสสิบกว่าแท่งห้อยตกลงมา แบ่งทิวทัศน์ทะเลสาบหิมะและต้นไม้ในฤดูหนาวออกเป็นเส้นเล็กๆ ให้ความรู้สึกงดงามที่แปลกประหลาดออกไป
เสวี่ยจียังคงห่อตัวอยู่ในผ้านวม มีเพียงใบหน้าเล็กๆที่โผล่ออกมา
ใบหน้าของนางเป็นสีขาว ไม่มีจมูก แล้วก็ไม่มีปาก ดูแปลกแต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด กลับให้ความรู้สึกงดงามที่แปลกประหลาด
ถงเหยียนคิดในใจว่าเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูงสุดของแผ่นดินเฉาเทียนจริงๆ ด้วย
ผู้ที่อยู่ในจุดสุดยอดย่อมไม่ธรรมดา นี่คือสิ่งที่โลกแห่งการบำเพ็ญพรตต่างรับรู้กัน
ไม่ว่าจะเป็นความงดงามอย่างถึงที่สุดหรือน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด ปกติที่สุดหรือว่าแปลกประหลาดที่สุด ล้วนแต่หมายถึงความไม่ธรรมดา ทุกเรื่องล้วนแต่เป็นเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงล้วนจะต้องมีลักษณะภายนอกที่โดดเด่นและทำให้ผู้คนจดจำได้ไม่ลืม
ถงเหยียนคิดถึงใบหน้าของจิ๋งจิ่ว ทันใดนั้นพลันรู้สึกค่อนข้างน่าเบื่อ
เมื่อรู้สึกว่าชีวิตน่าเบื่อ ก็ย่อมไม่มีความหวาดกลัว
ถงเหยียนสงบสติอารมณ์ลง คารวะเสวี่ยจีพลางกล่าวว่า “องค์หญิง กระหม่อมคือถงเหยียนแห่งสำนักจงโจวพ่ะย่ะค่ะ”
เสวี่ยจีไม่มีการตอบสนองใดๆ แล้วก็ไม่ได้ส่งเสียงอิ๋งอิ๋ง
ถงเหยียนเชื่อว่านางจะต้องฟังภาษามนุษย์เข้าใจอย่างแน่นอน จึงกล่าวต่อว่า “พวกกระหม่อมอาจจะต้องอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง เพื่อรอคอยเหล่าอาจารย์ทำการตัดสินใจพะยะค่ะ”
เสวี่ยจีมองเขาอย่างเงียบๆ
ถงเหยียนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ใบหน้าขาวซีด พลางกล่าวว่า “เพื่อที่จะต่อต้านราชินีในแคว้นเสวี่ยผู้นั้น มนุษย์น่าจะเลือกที่จะช่วยเหลือพระองค์ นี่คือการคาดการณ์ของกระหม่อมพะยะค่ะ”
แรงกดดันสายนั้นหายไป
ถงเหยียนสงบสติอารมณ์ กล่าวต่อว่า “พระองค์คือสิ่งมีชีวิตระดับสูงสุดที่มีสติปัญญาอยู่ในระดับสูงสุด มนุษย์ส่วนใหญ่อาจจะไม่สามารถเข้าใจพระประสงค์ของพระองค์ได้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดและปัญหาวุ่นวาย กระหม่อมอาจจะจำเป็นต้องขอให้พระองค์ทรงเรียนรู้รูปแบบการสื่อสารของมนุษย์หน่อยพะยะค่ะ”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็หยิบภาชนะสัมฤทธิ์ออกมาชิ้นหนึ่ง ภาชนะดินเผาชิ้นหนึ่ง และสมุดสองสามเล่ม
บนภาชนะสัมฤทธิ์มีตัวหนังสือ บนภาชนะดินเผาเหล่านั้นมีรูปภาพ ในหนังสือสองเล่มนั้นมีคัมภีร์ฉี่เหวินที่อ่านได้ง่าย แล้วก็ยังมีรวมบทกวีของเซียนแห่งกวี
นี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาซื้อมาจากในเมืองต้าหยวนในวันนี้ ก่อนที่จิ๋งจิ่วจะพูด เขาก็ได้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหลังจากนี้อาจจะจำเป็นต้องทำอะไร
การที่ได้กลายเป็นอาจารย์ขององค์หญิงแคว้นเสวี่ย…. นี่เป็นเรื่องที่จะต้องถูกบันทึกลงไปในประวัติศาสตร์ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต เรียกได้ว่ามีความสำคัญกว่าสถานะอาจารย์ของฮ่องเต้ของกู้ชิงเสียอีก
ถงเหยียนคิดถึงเรื่องเหล่านี้ พลางหันภาชนะสัมฤทธิ์ด้านที่มีตัวหนังสือเยอะที่สุดไปหาเสวี่ยจี
เขาเตรียมจะเริ่มสอนตั้งแต่อักษรโลหะ ไปจนกระทั่งถึงการเปลี่ยนแปลงของอักษรโบราณในช่วงหลายร้อยปีมานี้ เขาเชื่อว่าด้วย ความสามารถและพรสวรรค์ของนาง นางน่าจะสามารถเรียนรู้รูปแบบการสื่อสารของมนุษย์ทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังสง่างามและสมบูรณ์แบบด้วย
เสวี่ยจีพลันลุกขึ้นยืน
ร่างกายของนางเตี้ยเป็นอย่างมาก กองผ้าห่มที่อยู่ในห้องฌานไม่ได้พังถล่มลงมา หากแต่ปูดนูนขึ้นมา
ถงเหยียนตกใจเล็กน้อย
เสวี่ยจีพลันวิ่งออกไปด้านนอกหน้าต่าง
ผ้านวมที่นางคลุมเอาไว้มีขนาดใหญ่อย่างมาก ถูกลากไปบนพื้น คลุมขาของนางเอาไว้ ดูแล้วเหมือนว่านางลอยได้อย่างไรอย่างนั้น
ถงเหยียนตกใจเป็นอย่างมาก ในใจคิดว่านางเป็นอะไร?
ริมทะเลสาบ
จิ๋งจิ่วเตรียมเอามือจุ่มลงไปในน้ำเพื่อลับกระบี่ต่อ แต่กลับพบว่ามือขวาสัมผัสถูกวัตถุแข็งๆ เมื่อเงยหน้ามองดูก็พบว่าบนผิวทะเลสาบจับตัวเป็นน้ำแข็งอีกแล้ว
สายลมแผ่วเบาพัดพาเกล็ดหิมะลอยมา
เสวี่ยจีมาถึงริมทะเลสาบ จ้องมองดวงตาของเขา
ชิงเอ๋อร์รู้สึกหวาดกลัว รีบไหลลงไปจากไหล่ของเขา เเล้วไปหลบอยู่ด้านหลังของเขา
ทุกครั้งก่อนที่จะลับกระบี่ จิ๋งจิ่วจะใช้เพลงกระบี่แบกสวรรค์วางข่ายพลังเอาไว้ก่อน เพื่อปิดกั้นสายตาและการรบกวนจากโลกภายนอก
ตอนนี้ดูแล้ว เหมือนเพลงกระบี่แบกสวรรค์ของเขาจะไม่มีความหมายใดๆ ต่อเสวี่ยจี
จิ๋งจิ่วคิดขึ้นมาอีกครั้งว่าตนเองควรจะฝึกเพลงกระบี่แบกสวรรค์ให้ดีกว่านี้
หลังจากนั้นเขาก็คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง สายตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาได้มอบเคล็ดวิชากระบี่แบกสวรรค์ให้เสวี่ยจีไปเล่มหนึ่ง หรือว่าในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้…. นางจะเรียนรู้ได้แล้ว?
“อิ๋ง~”
ตั้งแต่ศีรษะจนถึงเท้าของเสวี่ยจีล้วนแต่อยู่ในผ้าห่ม มีเพียงใบหน้าเล็กๆ สีขาวและดวงตาสีดำที่เหมือนอัญมณีที่โผล่ออกมา มองดูแล้วเหมือนเด็กผู้หญิงน่ารักที่ขี้เล่น
เสียงของนางยังคงน่ารักอย่างมาก
จิ๋งจิ่วมองดูนางอย่างเงียบๆ ในใจครุ่นคิดว่านี่ช่างเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ตนเองได้เคยพบมาในการบำเพ็ญเพียรทั้งสองชีวิต
…………………………………………………………..