มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 37 หากไม่สามารถพบเจอกันบนฟ้า ไยต้องเสียเวลานานขนาดนี้
หากเสวี่ยจีเรียนรู้เพลงกระบี่แบกสวรรค์ได้จริงๆ อย่างนั้นนางใช้เวลาไปเท่าไหร่กันแน่?
นี่เป็นปัญหาที่ควรแก่การครุ่นคิดและคำนวณอย่างละเอียด เพราะนี่จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ของชิงซานอย่างแน่นอน
จิ๋งจิ่วให้ถงเหยียนไปสอนวิธีการพูดคุยกับมนุษย์ ให้แก่เสวี่ยจี จากนั้นก็มายังริมทะเลสาบหิมะเพื่อเตรียมลับกระบี่ ขณะเดียวกันถงเหยียนก็หยิบเอาภาชนะสัมฤทธิ์ ภาชนะดินเผาและสมุดสองสามเล่มนั้นออกมา รวมเวลาทั้งหมดอย่างมากก็แค่สิบกว่าอึดใจ
ไม่สิ เวลาน่าจะน้อยกว่านั้น
จิ๋งจิ่วยื่นมือไปรับสมุดบางๆ ที่ลอยมาตรงหน้าเล่มนั้น ก่อนจะใช้เพลิงกระบี่เผาจนกลายเป็นควัน
เขามองดูควันเหล่านั้น ในใจครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ว่าก่อนที่ถงเหยียนจะเดินเข้าไปในห้องฌาน เสวี่ยจีก็ได้อ่านเคล็ดกระบี่เล่มนั้นจบแล้ว
สีหน้าเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่อารมณ์ภายในใจกลับมิได้เป็นเช่นนี้
เขาเก็บตัวอยู่บนยอดเขาเสินม่อและยอดเขาซั่งเต๋อมานาน น้อยครั้งที่จะลงมายังโลกปุถุชน แต่เนื่องจากใช้ชีวิตมานานมากพอ จึงเรียกได้ว่ามีความรู้กว้างขวาง โดยเฉพาะหลังจากที่ได้อ่านบันทึกที่ศิษย์พี่ทิ้งเอาไว้
เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เรียกได้ว่าไม่เคยจินตนาการก่อนว่าจะมีสิ่งมีชีวิตเหมือนอย่างเสวี่ยจีอยู่
เพลงกระบี่แบกสวรรค์นั้นเป็นกระบี่หลักของยอดเขาเทียนกวง เป็นวิชาลับเฉพาะของเจ้าสำนักชิงซาน ใช้กระบี่เป็นข่ายพลัง ระดับความซับซ้อนเป็นรองเพียงเพลงกระบี่ไร้จุดจบของยอดเขาชิงหรง แต่กลับมีความลึกล้ำพิสดารมากกว่า ต่อให้อยากจะเริ่มเรียนก็ยังยากลำบาก
ตอนนั้นกู้ชิงใช้เวลาเรียนเพลงกระบี่นี้กี่ปี? หลิ่วสือซุ่ยใช้เวลากี่ปี? จัวหรูซุ่ยล่ะ?
หลิ่วฉือใช้เวลาไปกี่ปี? ศิษย์พี่ใช้เวลากี่ปี? ตัวเองล่ะ?
ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาของชิงซาน อัจฉริยะทางวิถีกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแต่ด้อยกว่านาง
มิอาจเทียบนางได้
จิ๋งจิ่วไม่ถึงกับท้อแท้หมดกำลังใจ เขาเพียงแต่รู้สึกทอดถอนใจว่าที่แท้ระดับความแตกต่างของระดับชั้นของสิ่งมีชีวิตมันมากขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ
ก็เหมือนกับเมื่อครู่นี้ ถงเหยียนคิดถึงใบหน้าของเขาขึ้นมาตอนที่อยู่ในห้องฌาน
ช่างน่าเบื่อหน่ายจริงๆ
“สิ่งที่ถงเหยียนต้องการจะสอนเจ้ามันไม่มีอะไรน่าสนใจจริงๆ นั่นแหละ เจ้าไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน”
จิ๋งจิ่วมองดูเสวี่ยจีพลางกล่าว
เขาได้ทำการตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สอนอะไรนางอีก
ด้วยความรวดเร็วขนาดนี้ นางอาจจะเรียนวิชาบำเพ็ญเพียรทั้งหมดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน
ที่สำคัญที่สุดก็คือหากนางเรียนรู้ความเสแสร้ง การวางแผนชั่วร้ายและความหุนหันพลันแล่นที่ฆ่าฟันไม่เลือกในบางครั้งบางคราวของมนุษย์จากหนังสือเหล่านั้น นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างแท้จริง
“แต่ว่า…เจ้าอยากเรียนหมากล้อมไหม? ในนั้นมีหมากของฝ่ายหนึ่งที่คล้ายดวงตาของเจ้าเลย สวยมาก”
จิ๋งจิ่วพลันกล่าวถามขึ้นมา
ชิงเอ๋อร์มั่นใจแล้วว่าคนที่เล่นหมากล้อมไม่เพียงแต่จะใจสกปรก แต่ยังหน้าด้านด้วย นางเอาปีกใสๆ มาปิดใบหน้าของตัวเองเอาไว้ แต่มันก็ยังไม่สามารถปิดบังสีหน้าที่อับอายบนใบหน้าเล็กๆ ของนางไว้ได้
เสวี่ยจีมองดูจิ๋งจิ่วอย่างเงียบๆ
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นคนที่หน้าหนาเหมือนอย่างจัวหรูซุ่ย เมื่อถูกสายตาเช่นนี้จ้องมองก็ยังต้องรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่จิ๋งจิ่วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าไม่ได้ ที่นั่นกระทั่งตัวข้าในตอนนี้ก็ยังไปไม่ได้ ยิ่งไม่มีทางจะพาเจ้าไปที่นั่นได้ นอกเสียจากเจ้าจะช่วยข้ารีบบรรลุไปถึงสภาวะนั้นได้”
ชิงเอ๋อร์รู้ว่าที่นั่นที่เขาพูดถึงคือที่ไหน จึงเหลือบมองดูเขา คิดในใจว่านี่เจ้าคิดจะให้นางช่วยให้เจ้าบรรลุกลายเป็นเซียนอย่างนั้นหรือ?
คำขอร้องที่หน้าไม่อายเช่นนี้กลับพูดออกมาได้หน้าตาเฉย เหมือนเป็นเรื่องปกติ หมดคำพูด…เลยจริงๆ!
จิ๋งจิ่วย่อมไม่ได้คาดหวังว่าเสวี่ยจีจะตอบรับคำขอของตัวเองในตอนนี้ เขาเพียงแต่เกริ่นเอาไว้ล่วงหน้า ใครจะรู้บ้างว่าหลังจากนี้อีกหลายร้อยปีจะมีประโยชน์อะไรหรือเปล่า
ข่ายพลังกระบี่ถูกทำลาย เช่นนั้นก็ย่อมไม่สามารถลับกระบี่ต่อไปได้อีก เขาหอบเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างออกมาจากทะเลสาบหิมะ
เสวี่ยจีแบกผ้าห่มเดินตามไป ดูคล้ายผีเด็กที่กำลังลอยอยู่
……
……
คุณชายหลี่ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา พลางคิดถึงอาจารย์เซียนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตัวเองผู้นั้น แล้วก็ยังมีน้ำค้างแข็งที่น่ากลัวสายนั้น ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ถึงจะได้สติขึ้นมา
เขาอุ้มพิณกูฉินเตรียมจากไป ในขณะที่เดินผ่านตรงหน้าสะพานหิน ก็ได้บังเอิญเห็นภาพเสวี่ยจีกำลังเดินตามจิ๋งจิ่วเข้าพอดี
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ตรงหน้าแม่ชีชราผู้นั้น พลางลูบศีรษะของนางคล้ายผู้อาวุโส ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่
คุณชายหลี่รู้สึกค่อนข้างแปลกประหลาด แต่สายตากลับถูกเสวี่ยจีดึงดูดเอาไว้
นั่นน่าจะเป็นเด็กน้อยที่ถูกทับอยู่ในกองผ้าห่มที่ตนเองได้เห็นเมื่อคืนก่อนกระมัง?
คุณชายหลี่คิดในใจว่าโรคของนางหายแล้วจริงๆ จึงรู้สึกทั้งตกใจและดีใจ จากนั้นคิดถึงความร้อนใจของตนเองในเวลานั้น จึงยิ้มเยาะตนเองขึ้นมา
ตัวเองเป็นแค่คนธรรมดา กลับริอาจจะไปช่วยเซียน
ก็เหมือนกับเมื่อในอดีต เมื่อรู้ว่าแม่นางผู้นั้นป่วย ตัวเองยังคิดอยากจะไปขอยาวิเศษแทนนาง
ช่างน่าขันเสียจริง
คุณชายหลี่อุ้มพิณกู่ฉิน หมุนตัวเดินออกไปจากสำนักแม่ชี แผ่นหลังดูค่อนข้างอ้างว้างโดดเดี่ยว
……
……
เซียนและคนธรรมดาเดินบนเส้นทางที่แตกต่างกัน
ถงเหยียนมองดูร่างที่ค่อยๆเดินจากไปร่างนั้น พลันคิดถึงคำพูดประโยคนี้ขึ้นมาอย่างเงียบๆ
เขารู้ว่าคนผู้นี้มิได้ดีดพิณให้ตนเองและคนเหล่านี้ฟัง หากแต่ดีดให้ผู้อาวุโสของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยผู้นั้นฟัง แต่ไม่ว่าจะเป็นความรักโดยไร้เหตุผลหรือว่าความรักที่ยืนยาว หรืออาจจะเป็นแค่ความปรารถนาอะไรบางอย่าง สุดท้ายแล้วมันก็ล้วนแต่เปล่าประโยชน์
เมื่อเหยียบไปบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญพรต สิ่งแรกที่ควรจะทำความเข้าใจก็คือหลักเหตุผลนี้ อายุขัยที่สั้นยาวไม่เท่ากัน ระดับชั้นของโลกที่ไม่เหมือนกัน ญาติมิตรในอดีตมีแต่จะเดินห่างกันไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ได้แต่ต้องมองหน้ากันผ่านหลุมศพ
หลักเหตุผลนี้เขาเข้าใจตั้งแต่ตอนอายุห้าขวบ ตามหลักแล้วเขาไม่ควรจะมีความรู้สึกทอดถอนใจใดๆ แต่อาจจะเป็นเพราะจุดยืนที่คล้ายกัน จึงทำให้เขาเกิดความรู้สึกสงสารคนผู้นี้ขึ้นมา
เขาเดินกลับเข้าไปในห้องฌาน เตรียมจะเก็บภาชนะสัมฤทธิ์และภาชนะดินเผาเหล่านั้นขึ้นมา พรุ่งนี้จะไปยังเมืองต้าหยวนเพื่อมอบให้แก่คุณชายหลี่ผู้นี้ ในเมื่อเสวี่ยจีไม่ยอมเรียนสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นต่อให้เก็บไว้ข้างกายมันก็ไม่มีประโยชน์
ในเวลานี้เอง เขาพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ จึงเดินไปริมหน้าต่าง พบว่าผิวทะเลสาบมีคลื่นน้ำกระเพื่อมขึ้นมา กระบี่คมจักรวาลลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
เสวี่ยจีห่มผ้าห่มยืนอยู่บนปลายกระบี่ จิ๋งจิ่วยืนอยู่ด้านหลังของนาง คันฉ่องฟ้ากระจ่างมัดอยู่ด้านหลังของเขา ชิงเอ๋อร์นั่งอยู่บนไหล่ของเขา
นี่เตรียมจะไปแล้วอย่างนั้นหรือ? ถงเหยียนคิดในใจว่าแล้วจะผนึกความหนาวเย็นของเสวี่ยจีเอาไว้อย่างไร? หรือจิ๋งจิ่วมีวิธีที่จะทำให้ข่ายพลังตะเกียงในสำนักแม่ชีติดตัวไปด้วย? ยิ่งไปกว่านั้นข้าวของของตัวเองก็ยังไม่ได้เก็บเลย
ในขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาพลันมองเห็นความรู้สึกผิดในดวงตาของชิงเอ๋อร์ จึงรู้สึกตกใจทันที
“ข้าไม่มีทางเลือก คันฉ่องฟ้ากระจ่างอยู่ในมือเขา” ชิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเศร้าสร้อย
ถงเหยียนไม่ได้พูดอะไร เขาเรียกอาวุธวิเศษออกมาอย่างไม่ลังเล ก่อนจะพุ่งเข้าไปทางทะเลสาบ
ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน ดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิบนท้องฟ้าสีครามเจิดจ้าเป็นอย่างมาก แต่จู่ๆ มันกลับสลัวลง
ตะเกียงอมตะภายในสำนักแม่ชีสว่างขึ้นมาพร้อมกัน ตะเกียงแต่ละอันเชื่อมต่อกันกลายเป็นข่ายพลังที่มีความแข็งแกร่ง
เสียงตูมดังสนั่น
อาวุธวิเศษบินกลับมา
ในเวลานี้ถงเหยียนถึงได้รู้ว่าข่ายพลังตะเกียงของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยอันนี้ นอกจากจะใช้ผนึกความหนาวเย็นบนร่างกายของเสวี่ยจีแล้ว มันยังใช้เพื่อรับมือกับตนเองด้วย!
กระบี่คมจักรวาลส่งเสียงหวึ่งออกมาเบาๆ ระลอกคลื่นเล็กๆ บนผิวทะเลสาบยิ่งหนาแน่นขึ้น
ถงเหยียนกล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “นี้เจ้าจะแย่งไปจริงๆ หรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตอนอยู่ในวัดกั่วเฉิง ข้าชนะพนันกับฉีหลิน เดิมคันฉ่องฟ้ากระจ่างก็ควรเอามาให้ข้ายืมใช้ระยะหนึ่ง เจ้าสงบจิตใจบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ก่อน เอาไว้ตอนที่ไปทะเลตะวันตก เดี๋ยวข้าจะคืนให้เจ้า”
ถงเหยียนขมวดคิ้วขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าทำไมเจ้าถึงรู้ว่าข้าจะไปทะเลตะวันตก? จึงกล่าวถามขึ้นมาว่า “นางจะถูกคนอื่นเห็นแน่ ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะทำอย่างไร?”
สายเลือดของเสวี่ยจีแข็งแกร่งเกินไป ความหนาวเย็นภายในร่างกายสามารถสะเทือนฟ้าดิน ผ้าห่มเพียงผืนเดียวไหนเลยจะสามารถปกปิดได้?
จิ๋งจิ่วกล่าว “จะไปล่ะ”
เสวี่ยจีไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ตะเกียงอมตะที่อยู่บนต้นไม้รอบๆ ทะเลสาบหิมะพลันวูบไหวขึ้นมา
เจตน์กระบี่นับหลายร้อยสายพวยพุ่งออกมาจากในกระบี่คมจักรวาล จากนั้นตกลงมาตามกระแสจิตของเสวี่ยจี ก่อนจะมัดลงบนผ้าห่มอย่างแน่นหนาเหมือนเชือกที่มองไม่เห็น
นี่คือเพลงกระบี่แบกสวรรค์
ความหนาวเย็นบนร่างกายของเสวี่ยจีถูกผนึกเอาไว้ มิได้เล็ดรอดออกมาอีก
ตัวนางในเวลานี้เป็นเหมือนเด็กหญิงภายในบ้านที่ลืมเติมฟืนและหวาดกลัวต่อความหนาวเย็น กำลังขดตัวอยู่ในผ้าห่มข้างๆ เตาผิงตอนช่วงปีใหม่
……
……
คุณชายหลี่ออกมาจากสำนักแม่ชี เดินออกไปทางด้านนอกภูเขา
เดินไปได้ไม่นาน เขาก็มาถึงตรงจุดตัดระหว่างลำธารสองสาย
ที่นี่มีสระน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ภายในสระมีดอกบัวจำนวนมาก
ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ แล้วก็พึ่งจะผ่านพ้นความหนาวเย็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิอันน่ากลัวมา จึงย่อมไม่มีก้านดอกบัวที่งอกขึ้นมาใหม่ มีเพียงใบบัวที่เหลือมาจากปีที่แล้ว ดูไร้ชีวิตชีวา
เขายืนอยู่ริมสระบัว นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
บนท้องฟ้าพันมีสิ่งสิ่งหนึ่งตกลงมาตรงหน้าเขา เขารีบคว้าเอาไว้ทันที พบว่าเป็นขวดเล็กๆ ใบหนึ่ง
เขาเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นลำแสงกระบี่สายหนึ่งบินไปทางขอบฟ้า
ลำแสงกระบี่สายนั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก เพียงไม่กี่อึดใจก็หายลับไปในขอบฟ้า
เขามองดูท้องฟ้าอย่างเงียบๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ดึงสายตากลับมา
……………………………………………………………..