มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 38 เสวี่ยจีเข้าชิงซาน
ในดินแดนแห่งความว่างเปล่าไม่มีอากาศ ต่อให้กระบี่คมจักรวาลจะบินเร็วแค่ไหนก็ไม่มีลม แต่ชิงเอ๋อร์ยังคงรู้สึกหนาว อาจจะเป็นเพราะที่นี่ไม่มีเสียง วังเวงเหมือนดั่งสุสาน
นางรู้สึกค่อนข้างหวาดกลัว คิดอยากจะพูดอะไรเสียหน่อย แต่เมื่อมองดูภาพตรงหน้า สุดท้ายก็ได้แต่ต้องล้มเลิกความคิดไป
เสวี่ยจีนั่งอยู่ตรงด้านหน้าสุดของกระบี่ ผ้าห่มคลุมตัวเอาไว้ ดวงตาปิดสนิท ไม่รู้ว่ากำลังบำเพ็ญเพียรหรือว่ากำลังพักผ่อน
จิ๋งจิ่วมองดูแผ่นหลังของนาง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ในดวงตาไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
ชิงเอ๋อร์มองดูใบหน้าด้านข้างของเขา ในใจครุ่นคิดว่าสำนักชิงซานช่างใจกล้าเสียจริง กระทั่งสิ่งมีชีวิตเหมือนอย่างเสวี่ยจีก็ยังกล้าพากลับไป
แต่นี่ดูไม่ใช่นิสัยของจิ๋งจิ่วเลย จากความเข้าใจที่นางมีต่อเขาเมื่อครั้งที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง เขาไม่มีทางที่จะเสี่ยงทำเรื่องแบบนี้ได้
คนธรรมดามีคำกล่าวที่ใช้นิยามสถานการณ์เช่นนี้ว่าเหมือนเอาหนังเสือจากเสือ เขาคิดอยากจะร่วมมือกับเสวี่ยจี หรือกระทั่งอยากจะกำราบนาง นี่เขาคิดจะทำอะไร? หรือจิ๋งจิ่วไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่อง?
ถูกต้อง หากสำนักชิงซานสามารถกำราบนางได้ เช่นนั้นพวกเขาก็จะมีผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ว่าสิ่งมีชีวิต ระดับสูงอย่างเสวี่ยจีจะมายอมเป็นคนคอยดูแลสำนักให้มนุษย์ได้อย่างไร?
กระบี่คมจักรวาลหยุดลง ภาพทิวทัศน์ที่อยู่ไกลแสนไกลปรากฏตะคุ่มๆ กลับกลายเป็นหมู่เขาชิงซานที่ถูกเมฆหมอกห้อมล้อมตรงเบื้องหน้าที่ยิ่งดูชัดเจนขึ้น
เสวี่ยจีลืมตา มองไปทางนั้นอย่างเงียบๆ
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ที่นั่นคือสถานที่ที่เจ้าจะใช้ชีวิตและเติบโตหลังจากนี้ หากเจ้าตอบตกลงเงื่อนไขของข้า อย่างนั้นพวกเราก็จะเข้าไป”
ในตอนที่ถงเหยียนมองดูคุณชายหลี่จากไป จิ๋งจิ่วและเสวี่ยจีได้เคยสนทนากันเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นมิได้ปกปิดชิงเอ๋อร์ด้วย
ข้อตกลงที่สำคัญขนาดนี้ และมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตบนแผ่นดินเฉาเทียน หรือกระทั่งส่งผลกระทบต่ออนาคตของมนุษย์ อย่างน้อยก็จำเป็นต้องมีดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นเซียนมาเป็นพยาน
เนื้อหาคร่าวๆ ของข้อตกลงนี้ก็คือจิ๋งจิ่วยินดีที่จะจัดหาแหล่งกำเนิดความหนาวเย็นที่มีความหนาวเย็นมากพอเพื่อให้เสวี่ยจีได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ส่วนเสวี่ยจีก็ต้องรับปากว่าจะไปชิงซาน ห้ามก่อเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นห้ามจากไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
ชิงเอ๋อร์รู้สึกตื่นเต้น นางมองดูเสวี่ยจีที่มีผ้าห่มห่อตัว ไม่รู้ตัวเองว่าภายในใจอยากจะให้นางตกลงหรือว่าปฏิเสธกันแน่
หลังพบตัวเสวี่ยจีภายในเขาเหลิ่งซาน จิ๋งจิ่วก็ไม่ได้แจ้งสำนักชิงซานหรือว่าทางเมืองไป๋เฉิงให้ส่งคนมาฆ่านาง หากแต่ใช้ชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์มาเดิมพัน
ต่อให้หลังจากเสวี่ยจีเติบโตเต็มที่แล้วจะมีความน่ากลัวเพียงครึ่งของราชินีแคว้นเสวี่ย แต่นางก็ยังไม่ใช่สิ่งที่โลกแห่งการบำเพ็ญพรตจะควบคุมได้อยู่ดี
ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือตอนนี้นางได้มาถึงทางใต้ของแผ่นดินเฉาเทียนซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นใจกลางของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว หากจู่ๆ นางเกิดกลับคำขึ้นมา เที่ยวไล่สังหารผู้คน อย่างนั้นมันจะนำมาซึ่งหายนะที่ร้ายแรงแค่ไหน?
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดเสวี่ยจีก็ส่งเสียงอิ๋งออกมาเพื่อทำการยืนยันข้อตกลงอีกครั้ง
จากตรงนี้จะเห็นได้เลยว่าโลกที่หนาวเย็นอย่างถึงที่สุดของจิ๋งจิ่วนั้นมีความดึงดูดอย่างมากสำหรับนาง
……
……
ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ทางตอนใต้ของแผ่นดินอากาศอบอุ่น มวลหมู่ไม้ในหมู่เขาชิงซานบานสะพรั่ง งดงามเป็นยิ่งนัก
หนานว่างนั่งพิงอยู่บนก้อนหินบนยอดเขา นิ้วมือคีบกาสุรา ดวงตาที่กรุ้มกริ่มเหลือบมองทะลุมวลหมู่ไม้ไปยังยอดเขาเสินม่อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
จู่ๆ นางพลันรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิรอบกายลดต่ำลง การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้มีขนาดเพียงเล็กน้อย ไม่พอที่จะทำให้กลีบดอกไม้ร่วงโรย หลายๆ คนแทบจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ แต่มันกลับมิสามารถเล็ดรอดไปจากการรับรู้ของยอดคนขั้นแหวกทะเลอย่างนางได้
ข่ายพลังชิงซานตัดขาดโลกภายในออกจากโลกภายนอก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้แสดงให้เห็นว่าจะต้องเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอนห
นางมองไปทางยอดเขาซั่งเต๋อที่ยังคงมีหิมะปกคลุม คิ้วขมวดเล็กน้อย ก่อนจะคิดอย่างไม่สบอารมณ์ว่าข่ายพลังยังซ่อมไม่เสร็จอีกหรือ? ทำไมถึงยังปล่อยให้ปราณเหมันต์ที่อยู่ใต้ดินเล็ดรอดออกมาได้อีก
ในแต่ละปียอดเขาซั่งเต๋อนั้นเป็นยอดเขาที่ใช้ทรัพยากรเยอะที่สุดในชิงซาน แต่กระทั่งเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังจัดการได้ไม่ดี ศิษย์พี่ใหญ่นี่ก็จริงๆเลย เอาแต่สู้กับศิษย์พี่เจ้าสำนักอยู่นั่นแหละ ไม่รู้จักดูแลคนในสำนักเลย
บนยอดเขาเทียนกวงพลันมีจิตจำแนกแห่งกระบี่ส่งออกมา
หนานว่างสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย งอนิ้วดีดออกไป เสียงกระบี่ดังสะท้อนไปทั่วทั้งยอดเขาชิงหรง
นางถือกาสุราเดินกลับเข้ามาในถ้ำ มองดูเหล่าศิษย์หญิงที่ถูกเรียกมารวมตัวอย่างเร่งด่วนพลางกล่าวว่า “อย่าถามข้าว่าเพราะอะไร เพราะข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปให้ทุกคนเก็บตัวอยู่ในถ้ำ หากไม่มีคำสั่งของข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามออกมา”
บนยอดเขาซื่อเยวี่ยมีเสียงระฆังดังขึ้นมา ภายในตำหนักใหญ่ตรงด้านหน้ายอดเขาซีไหลมีป้ายคำสั่งผืนหนึ่งลอยขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือว่าศิษย์ธรรมดาก็ล้วนแต่ถูกเรียกมาประชุม จากนั้นก็เริ่มทำการเก็บตัวเหมือนอย่างยอดเขาชิงเหรง
บนเสาหินที่พาดผ่านระหว่างยอดเขาทั้งสองยอด ไอหมอกเปลี่ยนเป็นหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ เงาสีดำที่ปรากฏขึ้นลางๆ เงานั้นทอดตามองออกไป ส่งเสียงถอนใจที่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกสับสนเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะค่อยๆ ถอยเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของไอหมอก
สิ่งที่กระทั่งอินเฟิ่งซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ของชิงซานก็ยังไม่อยากมอง ดูแล้วบนโลกนี้คงจะมีเพียงไม่กี่คนที่ยินดีที่จะมองมัน
บนยอดเขาเทียนกวงว่างเปล่าไร้ผู้คน หยวนกุยหลับตา ในใจคิดอย่างเงียบๆ ว่าข้าเป็นเพียงเต่าหิน ไม่มีชีวิต ไม่มีชีวิต เจ้าอย่าได้มามองข้า
บนยอดเขาเสินม่อไม่มีเสียงร้องของลิง ม้าที่กินหญ้าอยู่ตรงเชิงเขาก็ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ที่ไหน หลิวอาต้านอนฟุบอยู่บนขอบหน้าต่าง ทอดตามองไปยังขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ภายในดวงตาเต็มไปด้วยแววตาหวาดวิตก หางสะบัดขึ้นลงเป็นพักๆ
มันมิได้กำลังเตรียมตัวต่อสู้ หากแต่เตรียมตัวที่จะหนี
ทันใดนั้นเอง มือข้างหนึ่งได้ยื่นเข้ามาคว้าจับหางของมันเอาไว้ ก่อนจะอุ้มมันเอาไว้ในอ้อมอก พลางเดินเข้าไปในถ้ำ
ในส่วนลึกของถ้ำ กู้ชิงและหยวนฉวี่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ในขณะที่กำลังจะถามเจ้าล่าเยวี่ย พวกเขาก็ได้มองเห็นผิงหย่งเจียอุ้มแมวสีขาวเดินเข้ามา จึงตกตะลึงไปทันที
ในเวลานี้แมวขาวก็ตกอยู่ในสภาพที่ตกตะลึงเช่นเดียวกัน เพราะมันไม่เข้าใจว่านอกจากศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นั้นแล้ว ทำไมถึงยังมีคนที่กล้าจับหางของตัวเองอีก?
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เจ้าสำนักมีคำสั่งให้ทุกคนรีบเก็บตัว…. แล้วเจ้าอุ้มมันเข้ามาทำไม?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูแมวขาวที่อยู่ในอ้อมอกของผิงหย่งเจีย คิ้วขมวดเล็กน้อย
นางมองว่าต่อให้มีศัตรูที่แข็งแกร่งบุกเข้ามา ก็ไม่ต้องกังวลว่าท่านผู้พิทักษ์ผู้นี้จะออกไปโรมรันต่อสู้กับศัตรู เพราะมันจะต้องรีบหลบเข้ามาในถ้ำก่อนใครอย่างแน่นอน
ผิงหย่งเจียสีหน้าเศร้าสร้อย ในใจคิดว่าปกติแมวตัวนี้ก็นอนอยู่ในถ้ำมาโดยตลอดนี่นา วันนี้ในเมื่อเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น หรือว่าให้ปล่อยมันเอาไว้ไม่ต้องไปสนใจมัน?
……
……
ชั้นเมฆปั่นป่วน ในที่แห่งหนึ่งของชั้นเมฆค่อยๆ บางลง ข่ายพลังชิงซานเปิดออกเป็นช่องช่องหนึ่ง
ลำแสงกระบี่ส่องสว่างเมฆที่กำลังเคลื่อนตัว ดูคล้ายเส้นไหมสีขาวที่กำลังเริงระบำ
กระบี่คมจักรวาลกลับมาแล้ว
ครั้งนี้ไม่มีคนมาต้อนรับ แล้วก็ไม่มีเหล่าศิษย์ชิงซานมาส่งเสียงตะโกนเรียกอาจารย์อาเล็ก
ริมฝั่งลำธารสี่เจี้ยนไม่มีเสียงอ่านหนังสือ บริเวณรอบยอดเขาอวิ๋นสิงไม่มีลำแสงกระบี่บิดเบี้ยว บนยอดเขาปี้หูไม่มีลม ผิวทะเลสาบสงบนิ่งเหมือนกระจก ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานมองไม่เห็นใครเลยสักคน เงียบสงัดจนดูวังเวง
เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ ชิงเอ๋อร์นึกโยงไปถึงคำว่าสุสานอีกครั้ง ภายในใจเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างรุนแรง
เสวี่ยจีไม่มีความรู้สึกอะไร เพราะนางไม่รู้ว่าชิงซานควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
กระบี่คมจักรวาลบินลงไปยังยอดเขาซั่งเต๋อ
ที่นี่ก็ไม่มีคนเช่นเดียวกัน
กระทั่งท่านกฎแห่งกระบี่ที่มักจะมายืนมองดูบ่อน้ำในส่วนลึกของถ้ำอย่างเงียบๆ ก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน
ยอดเขาซั่งเต๋อหนาวเย็นเป็นอย่างมาก ทั่วทุกที่บนผนังหินจะมองเห็นร่องรอยของน้ำค้างแข็ง
เสวี่ยจีใช้ผ้าห่มคลุมร่างกาย มีเพียงดวงตาที่โผล่ออกมาด้านนอก ภายในดวงตาสีดำเผยให้เห็นความรู้สึกพึงพอใจ
จิ๋งจิ่วไม่ได้มาที่นี่หลายปีแล้ว หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่นอย่างน้อยก็อาจจะมีการทอดถอนใจบ้าง แต่วันนี้เขาเพียงแต่บินลงไปยังด้านล่างบ่อน้ำแห่งนั้นอย่างเงียบๆ
แสงสว่างส่องลงไปยังก้นบ่อ
กระบี่คมจักรวาลบินตามแสงสว่างลงไป
ซือโก่วตัวสีดำเป็นเหมือนภูเขาลูกหนึ่ง นอนฟุบหมอบอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ
ภายในใจชิงเอ๋อร์เกิดความรู้สึกกริ่งเกรงขึ้นมา ไม่กล้าพูดอะไร
จิ๋งจิ่วเองก็ไม่ได้พูดอะไร คล้ายมองไม่เห็นมัน ก้าวเท้าเดินเข้าไปในส่วนลึกของคุกกระบี่
ซือโก่วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองดูร่างเล็กๆ ที่มีผ้าห่มห่อหุ้มเอาไว้ร่างนั้น ภายในดวงตาที่นิ่งสงบเผยให้เห็นถึงความระแวดระวังอย่างรุนแรง
เสวียจีค่อยๆ เหลียวหน้า คิดอยากจะดูว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับใกล้เคียงตัวเองผู้นี้มีความคิดอะไร
จิ๋งจิ่วยื่นมือออกมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า จับศีรษะของนางหมุนกลับไป หยุดยั้งไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
หากสองคนนี้สบตากันจริงๆ ใครจะรู้บ้างว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น