มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 40 เหล่ายักษ์ใหญ่ของชิงซานในเวลานี้และในอนาคต
ในตอนที่จิ๋งจิ่วออกมา หยวนฉีจิงยืนอยู่ริมบ่อ
ร่างกายของกฎแห่งกระบี่มิได้สูงใหญ่อะไรเป็นพิเศษ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับหลิ่วฉือแล้วก็ไม่ถือว่าสูงใหญ่ แต่ความหนาวเย็นและความตึงเครียดที่แผ่กระจายออกมากลับทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
เหล่าศิษย์ชิงซานหวาดกลัวหยวนฉีจิงมากที่สุด แต่จิ๋งจิ่วย่อมไม่หวาดกลัว แต่เขาก็ไม่ชอบพูดคุยกับอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน ดังนั้นในช่วงเวลาหลายปีมานี้จึงไม่เคยพบหน้าเขาเลย
แต่วันนี้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้พวกเขาไม่อยากเจอหน้ากันก็คงไม่ได้ ดังนั้นการเจอหน้ากันอีกครั้งหลังผ่านมาเป็นเวลานานหลายปีจึงเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้
ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ภายในถ้ำหวงห้ามของยอดเขาซั่งเต๋ออบอวลไปด้วยบรรยากาศแปลกประหลาด
จนกระทั่งกระบี่แบกสวรรค์มาถึงในถ้ำอย่างเงียบๆ บรรยากาศแบบนี้จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“ยืนยันแล้ว?”
เสียงของหลิ่วฉือดังออกมาจากในปลอกกระบี่
ถึงแม้การใช้วิธีอื่นส่งเสียงมันจะสะดวกมากกว่า อีกทั้งยังไม่ดูตลกเหมือนภาพในเวลานี้ แต่ว่ามันไม่ปลอดภัย
หลิ่วฉือจำเป็นต้องมั่นใจว่าบทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสามคนในวันนี้จะไม่มีผู้ใดได้ยิน
หยวนฉีจิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เป็นสายเลือดของราชินีแคว้นเสวี่ยจริงๆ”
เสียงของหลิ่วฉือเงียบไปครู่ จากนั้นมีเสียงดังออกมาจากในปลอกกระบี่อีกครั้ง
“ตอนนี้ถึงระดับไหน”
“ยังด้อยกว่าพวกเจ้าสองคน”
จิ๋งจิ่วพูดเสริมต่ออีกว่า “แค่ตอนนี้”
หากไม่เป็นเพราะมั่นใจว่าหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงมีความสามารถพอที่จะสะกดเสวี่ยจีในตอนนี้เอาไว้ได้ ต่อให้เขาจะมีแผนการอีกมากแค่ไหนก็ไม่กล้าเสี่ยงพาเสวี่ยจีกลับมายังชิงซานอย่างแน่นอน
ภายในถ้ำเงียบสงัดไปอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเงียบเป็นเวลานาน จากนั้นภายในปลอกกระบี่ก็มีเสียงถอนใจดังออกมา
เสียงถอนใจนี้เรียบง่ายเหมือนกับเสียงอืม แต่ความหมายที่แฝงอยู่ภายในกลับมีความซับซ้อนหรือว่าลึกซึ้งเป็นอย่างมาก แต่แน่นอน จิ๋งจิ่วและหยวนฉีจิงล้วนแต่ฟังเข้าใจ
สิ่งที่หลิ่วฉืออยากจะพูดก็คือ อาจารย์อาเล็ก เมื่อก่อนท่านไม่เคยออกไปข้างนอกน่ะดีแล้ว ไหนเลยจะเหมือนอย่างตอนนี้ ไม่มีเรื่องก็ไปหาเรื่องเข้ามา ปล่อยจักรพรรดิแห่งหมิงออกมา ทำให้ชางหลงต้องตาย สร้างความวุ่นวายในวัดกั่วเฉิง แล้วตอนนี้ยังพาลูกของราชินีแคว้นเสวี่ยมาอีก ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่? อยากจะให้ชิงซานต้องมาจบสิ้นในยุคสมัยของพวกข้าอย่างนั้นหรือ?
หยวนฉีจิงส่งเสียงเหอะออกมา เพื่อแสดงความคิดที่เหมือนกัน
ทั่วทั้งชิงซานไปจนทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนต่างรู้ว่าหยวนฉีจิงกฎแห่งกระบี่ของชิงซานไม่ชอบนักพรตจิ่งหยาง เมื่อพูดถึงคนผู้นี้ เขาก็จะส่งเสียงเหอะออกมาอย่างดูแคลน แล้วนับประสาอะไรกับวันนี้ที่มายืนอยู่ตรงหน้า แต่ก็เหมือนอย่างที่กล่าวไว้ในตอนแรก จิ๋งจิ่วเองก็ไม่ชอบหยวนฉีจิงเช่นกัน เขากล่าวถามตรงๆ ว่า” ทำไมถึงไม่ย้ายปีศาจยักษ์แคว้นเสวี่ยที่อยู่ในคุกกระบี่ออกไปก่อน”
หยวนฉีจิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แจ้งมากระชั้นขนาดนี้ แค่จัดการให้เหล่าลูกศิษย์รีบหลบไปก่อนก็รีบร้อนมากพอแล้ว ไหนเลยจะมีเวลาไปจัดการเรื่องอื่นได้”
เสียงของหลิ่วฉือดังขึ้นมาจากในปลอกกระบี่ เขารีบแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า “อย่าทะเลาะกัน มาคุยกันดีกว่าว่าหลังจากนี้จะจัดการอย่างไร”
ในฐานะที่เป็นบุคคลสามคนที่สำคัญที่สุดของชิงซาน น้อยครั้งนักที่พวกเขาจะมารวมตัวกันและปรึกษาหารือเรื่องบางเรื่องอย่างจริงจังเหมือนอย่างในตอนนี้ ความจริงแล้วทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนก็มีอยู่ไม่กี่เรื่องที่ทำให้พวกเขาต้องมาสนใจเช่นนี้ สถานการณ์ครั้งล่าสุดที่ทำให้พวกเขาต้องมารวมตัวกันแบบนี้คือเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน ตอนที่พวกเขาหารือกันว่าจะจัดการปัญหาของอาจารย์ (ศิษย์พี่) อย่างไร
“ไม่อาจให้ใครรู้ได้ว่าเสวี่ยจีอยู่ที่ชิงซาน”
หยวนฉีจิงกล่าวว่า “แต่คนที่ควรจะรู้เรื่องนี้ก็จำเป็นต้องรู้ให้เร็วที่สุด”
คำพูดสองประโยคนี้เหมือนจะขัดแย้งกัน แต่ความจริงแล้วกลับมีความหมายลึกซึ้ง
หลิ่วฉือส่งเสียงอืม แสดงออกว่าเห็นด้วย
จิ๋งจิ่วไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ แต่เมื่อคิดถึงว่าตอนนี้สภาวะของตัวเองต่ำต้อย แล้วก็ไม่สะดวกที่จะคัดค้านอะไร จึงกล่าวว่า “ทางถงเหยียนไม่มีปัญหา แม่ชีเองก็เชื่อฟัง”
คนที่ควรจะรู้ก็ควรจะรีบรู้ให้เร็วที่สุด คนที่ไม่ควรรู้ก็มิอาจให้รู้ได้
สำนักจงโจวย่อมต้องเป็นอย่างหลัง
สำนักชิงซานคิดเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร
……
……
ด้านนอกเมืองต้าหยวน สำนักแม่ชีสามพัน
ถงเหยียนดึงมือขวากลับมา ล้มเลิกความคิดที่จะทำลายข่ายพลัง
ข่ายพลังจากตะเกียงอมตะที่อยู่ในสำนักแม่ชีเหล่านั้นดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ความจริงกลับแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ด้วยสภาวะของเขาในตอนนี้ไม่มีทางที่จะทำลายออกไปได้
“คิดไม่ถึงว่าท่านไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ แต่การวางข่ายพลังกลับร้ายกาจเป็นอย่างมาก”
เขามองดูแม่ชีชราที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างวงกลมนั้นพลางกล่าว
แม่ชีชราผู้นั้นยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ายิ่งลึกขึ้น กล่าวว่า “ท่านน่าจะคาดเดาได้ว่าใครเป็นคนวางข่ายพลังนี้ ส่วนข้านั้นเป็นแค่เพียงคนจุดไฟเท่านั้น”
ถงเหยียนจ้องมองดวงตาของนาง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงเอาไว้ด้วยแรงกดดันว่า “หรือท่านไม่กังวลว่าจิ๋งจิ่วทำแบบนี้ มันจะนำพาหายนะมาให้โลกมนุษย์?”
“อายุขัยข้ามีจำกัด ไหนเลยยังจะไปสนใจได้ว่าโลกมนุษย์จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
แม่ชีชรายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวต่อว่า “คุณชายเคยบอกไว้ว่าวิถีหมากล้อมของท่านร้ายกาจ ถนัดในการเกลี้ยกล่อมผู้คน ดังนั้นนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะพูดกับท่าน ขอท่านได้โปรดให้อภัย”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ นางก็หยิบเอาโคมไฟลงมาจากบนกิ่งไม้ จากนั้นดินไปยังอีกด้านหนึ่งของทะเลสาบหิมะ
หากในเวลานี้ถงเหยียนลงมือ เขาสามารถสังหารแม่ชีชราผู้นี้ได้อย่างง่ายดาย แต่มันจะมีประโยชน์อันใด?
他看着向雪湖那边走去的老尼身影,默默想着,井九把自己关在这里又有什么意义?
เขามองดูร่างของแม่ชีชราที่เดินไปทางด้านนั้นของทะเลสาบหิมะ ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ อยู่ในใจ แล้วจิ๋งจิ่วขังตัวเองไว้ที่นี่มันมีประโยชน์อันใด?
如果是为了青天鉴,井九直接抢了就走便好,反正自己也追不上,也没办法让云梦山里的师长们出面讨要。
หากทำเพื่อคันฉ่องฟ้ากระจ่าง จิ๋งจิ่วเพียงแค่แย่งแล้วหนีไปก็พอ เพราะถึงอย่างไรตัวเองก็ไล่ตามไม่ทัน แล้วก็ไม่มีทางบอกให้เหล่าอาจารย์ในยอดเขาอวิ๋นเมิ่งออกหน้าไปทวงกลับมาด้วย
还是因为雪姬。
หรือว่าเป็นเพราะเสวี่ยจี
井九不想让外界知道,雪姬去了青山。
จิ๋งจิ่วไม่อยากให้โลกภายนอกรู้ว่าเสวี่ยจีไปยังชิงซานแล้ว
那么,你准备用雪姬做什么?
อย่างนั้น เขาเตรียมจะใช้เสวี่ยจีทำอะไร?
……
……
ปลายสุดของยอดเขาซั่งเต๋อ หนาวเย็นเสียดกระดูก น้ำค้างแข็งไม่ละลายตลอดทั้งปี
บ่อน้ำที่ทะลุไปยังคุกกระบี่บ่อนั้นดูเหมือนหลุมดำที่อยู่บนพื้นหิมะ
ในเวลาปกติ หยวนฉีจิงชอบมายืนอยู่ริมบ่อ มองลงไปยังด้านล่างอย่างเงียบๆ บ้างก็หวนคิดถึงเรื่องราวบางอย่าง บ้างก็กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสวี่ยจีหรือว่าเป็นเพราะจิ๋งจิ่ว เขาจึงยืนอยู่ค่อนข้างห่างจากริมบ่อ หลังฟังจิ๋งจิ่วบรรยายจบ เขาก็กล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมาว่า “หวังเสี่ยวหมิงเห็นเสวี่ยจีแล้ว จะจัดการอย่างไร?”
เสียงของหลิ่วฉือดังออกมาจากในปลอกกระบี่ “เดี๋ยวข้าจะลองดูว่าระหว่างทางที่กลับจากเมืองไป๋เฉิงจะสามารถฆ่าเขาได้หรือไม่?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ธงสุริยันค่อนข้างร้ายกาจ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากเรื่องนี้แล้ว เขาจะยิ่งระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น”
ภายในถ้ำเงียบไปเป็นเวลานานอีกครั้ง
หากนิกายเสวียนอินแพร่งพรายข่าวนี้ออกไป สำนักอื่นๆ อย่างสำนักจงโจว สำนักคุนหลุนน่าจะคาดเดาได้อย่างง่ายดายว่าตุ๊กตาหิมะตัวนั้นคือลูกของราชินีแคว้นเสวี่ย จากนั้นก็จะสืบต่อได้ว่านางถูกจิ๋งจิ่วพากลับมายังชิงซาน
อากาศที่จู่ๆ ก็หนาวเย็นในฤดูใบไม้ผลิในเมืองต้าหยวน ศิษย์ชิงซานพากันเก็บตัว ไม่ว่าใครต่างก็มองออกถึงปัญหา
หลิ่วฉือพลันกล่าวว่า “ขอเพียงไม่มีหลักฐาน ต่อให้เดาได้แล้วจะทำไม?”
หยวนฉีจิงกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ถูกต้อง คำพูดของพวกมารชั่วแบบนั้น ถ้าใครกล้าเชื่อ ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับข้า”
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าเป็นจริงดั่งว่า
หากในเวลานี้จัวหรูซุ่ยยืนฟังอยู่ข้างๆ เขาจะต้องกล่าวชมเชยไม่ขาดปากอย่างแน่นอน คำพูดที่ไม่มีเหตุผลเช่นนี้ เมื่อฟังดูแล้วกลับมีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง
หลิ่วฉือพูดต่อว่า “ข้าจะไปเมืองไป๋เฉิงแจ้งเฉาหยวนกับฉานจึ อาจารย์อาท่านไปเมืองเจาเกอทูลฝ่าบาท”
หยวนฉีจิงกล่าว “ข้าล่ะ?”
จิ๋งจิ่วเมื่อคิดถึงว่าต้องออกไปจากสำนักอีกฝ่าย อารมณ์จึงไม่ค่อยดีเท่าไร เขากล่าวตรงๆ ว่า “เรื่องที่เจ้าต้องทำนั้นง่ายที่สุด แล้วก็สำคัญที่สุด นั่นก็คือเกลี้ยกล่อมซือโก่วว่าอย่าได้เอาเรื่องนี้ไปบอกอาจารย์ของเจ้า”
คำพูดประโยคนี้แฝงเอาไว้ด้วยอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด หยวนฉีจิงเตรียมจะพูดตอกกลับไป แต่เมื่อคิดถึงว่าอาจารย์นั้นหนีออกไปจากยอดเขาซั่งเต๋อจริงๆ เขาจึงได้แต่นิ่งเงียบ
……
……
สิ้นเสียงระฆัง เสียงกระบี่ เสียงป้ายคำสั่งโบยบิน เหล่าศิษย์ชิงซานก็ทยอยเดินออกมาจากในถ้ำ ในที่สุดหมู่ยอดเขาที่เงียบสงัดวังเวงเหมือนสุสานก็มีชีวิตขึ้นมา
บนแท่งหินที่พาดผ่านระหว่างยอดเขาซื่อเยวี่ยและยอดเขาซีไหล ไอหมอกค่อยๆ บางลง ร่างสีดำค่อยๆ ปรากฏกายออกมา
อินเฟิ่งกางปีกที่สวยงาม เดินไปยังริมแท่งหิน ทอดตามองไปทางยอดเขาซั่งเต๋อ ก่อนกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “คิดไม่ถึงว่าจะพาผู้นี้กลับมา….เอาไว้เจ้าสี่กลับมาแล้วต้องรีบฆ่าจิ๋งจิ่วให้ตาย ไม่อย่างนั้นทุกคนได้ถูกเขาฆ่าตายแน่!”
บนยอดเขาเทียนกวง กระบี่แบกสวรรค์บินกลับมายังแผ่นป้ายหิน แรงกระแทกเบาๆ ทำให้หยวนกุยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าแบบนี้ดีแล้ว ขอเพียงไม่มาที่นี่ก็พอ
เหล่าผู้พิทักษ์ย่อมต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลูกศิษย์และเหล่าผู้อาวุโสของชิงซาน ไปจนกระทั่งเจ้าแห่งยอดเขาบางคนกลับยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เหล่าศิษย์ของยอดเขาต่างๆ มองไปบนท้องฟ้า กล่าวพูดคุยเสียงเบาๆ ดูค่อนข้างสับสน
เหล่าศิษย์ผู้หญิงของยอดเขาชิงหรง พูดคุยกันเสียงดัง ทั่วทั้งยอดเขาต่างได้ยินเสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กจอแจของพวกนาง เสียงดังถึงขนาดที่ว่าดังออกไปนอกยอดเขา
กระบี่คมจักรวาลลอยลงบนยอดเขาเสินม่อ จิ๋งจิ่วได้ยินเสียงที่ดังมาจากยอดเขาฝั่งตรงข้าม จึงอดส่ายศีรษะไม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่าผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ก็ยังเป็นแบบนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ
เจ้าล่าเยวี่ยเดินเข้ามา
จิ๋งจิ่วส่งสายตาบอกว่าประเดี๋ยวค่อยคุยกัน
กู้ชิงและหยวนฉวี่คาดเดาได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับอาจารย์ (อาจารย์อา) อย่างแน่นอน จึงทั้งรู้สึกวิตกกังวลและค่อนข้างตื่นเต้น
แมวขาวเดินออกมาจากในถ้ำอย่างเงียบๆ กระดิ่งที่ห้อยอยู่ตรงลำคอไม่ได้ส่งเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “อาต้า สบายดีไหม”
แมวขาวเดินมาตรงหน้าเขา ใช้อุ้งเท้าเยียบเท้าของเขา สายตาดูโกรธแค้นเป็นอย่างมาก ในใจคิดว่าข้าไม่สบายเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนเจ้าไม่อยู่ชิงซาน เด็กพวกนี้โกรธข้าเรื่องที่เกิดขึ้นที่วัดกั่วเฉิง ไม่ยอมสนใจข้า กระทั่งล่าเยวี่ยก็ไม่ยอมอุ้มข้าแล้ว
เออใช่ แล้วก็ยังมีเด็กบ้าคนหนึ่งกล้ามาจับหางข้า นี่มันรังแกแมวชัดๆ
ในเวลานี้เอง ผิงหย่งเจียเดินเข้ามาตรงหน้าผา
เขามองเห็นใบหน้าของจิ๋งจิ่วก็คาดเดาได้ว่าคนผู้นี้คืออาจารย์ของตนเอง จึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก คิดอยากจะกราบคารวะ แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะย่อขาข้างไหนก่อน ความเคลื่อนไหวจึงค่อนข้างช้า
จิ๋งจิ่วคิดไม่ถึงว่าบนยอดเขาเสินม่อจะมีคนนอกปรากฏตัวขึ้น จึงเหลือบมองดูกู้ชิง
กู้ชิงรู้ว่าอาจารย์จะต้องลืมไปแล้วอย่างแน่นอน จึงกล่าวว่า “ศิษย์น้องผิงหย่งเจีย รีบคารวะอาจารย์เร็วเข้า”
ผิงหย่งเจียรีบสืบเท้าเข้าไป กราบคารวะจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าเด็กคนนี้คือใคร จึงส่งสายตาบอกให้เขาลุกขึ้นอย่างเงียบๆ ย่อมไม่มีใครมองไม่ออกว่าเป็นเพราะกู้ชิงพูดเตือนเขาถึงได้นึกขึ้นมาได้
ต้องยอมรับเลยว่าความสามารถในด้านนี้ของกู้ชิงนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก อยู่ในจุดสูงสุด เรียกได้ว่าใกล้จะบรรลุกลายเป็นเซียน
เหล่าวานรรู้ว่าจิ๋งจิ่วกลับมาแล้ว จึงพากันส่งเสียงโห่ร้องต้อนรับ แต่พวกมันรู้ว่าจิ๋งจิ่วไม่ชอบสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นพวกมันจึงรีบสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ขึ้นมาบนหน้าผา
เมื่อเสียงวานรเงียบไป ไกลออกไปยังมีเสียงม้าดังขึ้นมาอีก
ยอดเขาเสินม่อนับวันจะยิ่งคึกคักขึ้นเรื่อยๆ คนเองก็มีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ความคิดของจิ๋งจิ่วในชีวิตนี้มิได้เปลี่ยนแปลง แต่วิธีการจัดการเรื่องราวต่างๆ มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ตั้งแต่หลิ่วซือซุ่ย เจ้าล่าเยวี่ยเป็นต้นมา เขาก็รับลูกศิษย์มาโดยตลอด
นี้ย่อมต้องเป็นการเอาอย่างศิษย์พี่
ดังนั้นเขาจึงระวังเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้ศิษย์บนยอดเขาเสินม่อมีคนอย่างหลิ่วฉือ หยวนฉีจิงและตัวเขาเองปรากฏขึ้นมา แต่วันนี้เขาพลันพบว่าบนยอดเขาสินม่อในเวลานี้มีศิษย์แซ่หลิ่ว แล้วก็มีศิษย์แซ่หยวน แล้วก็มีตนเอง…. ทำไมถึงรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเป็นมงคลเลยล่ะ?
…………………………………………………………………….