มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 41 คนธรรมดาไถ่ถาม (2)
จิ๋งจิ่วมองดูห้องขังห้องนั้นอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรเป็นเวลาครู่ใหญ่
ภายในห้องขังห้องนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรดังออกมา เงียบสงัดคล้ายสุสาน
จู่ๆ ภายในโถงพลันมีลมเบาๆ สายหนึ่งม้วนเอาเศษฝุ่นเล็กๆ ลอยขึ้นมา
ไม่รู้ว่าลมนี้พัดมาจากทางบ่อน้ำหรือว่าพัดมาจากทางยอดเขา อีกทั้งไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร
“ข้าจะออกไปข้างนอก”
จิ๋งจิ่วมองไปทางห้องขังห้องนั้นโดยมีอุโมงค์ทางเดินที่ทอดยาวคั่นกลางเอาไว้ พลางกล่าวว่า”มีเรื่องอะไรก็พูดมาตอนนี้”
เสียงอิ๋งอิ๋งเบาๆ ดังมาจากในห้องขัง
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ตกลง”
……
……
ภายในห้องขังมีเก้าอี้ไม้ไผ่เพิ่มขึ้นมาตัวหนึ่ง
เก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นค่อนข้างเก่า ตรงที่นั่งและมือจับสึกจนเป็นมันวาว ไม่ได้ทำการซ่อมแซมมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ดูไม่ค่อยมั่นคงเท่าไร
ภาพที่ฉายออกมาจากเครื่องมือวิเศษที่อยู่บนกำแพงภายในห้องขังก็เปลี่ยนจากท้องฟ้าสีครามภูเขาสีเขียวเป็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นโลกแห่งน้ำแข็งหมื่นลี้
ไกลออกไปในโลกแห่งนั้นคล้ายว่ามียอดเขาน้ำแข็งที่โดดเดี่ยวและสูงใหญ่แห่งหนึ่งกำลังส่องประกายระยิบระยับ
เสวี่ยจีห่มผ้าห่ม นั่งยองๆ อยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ มองดูยอดเขาน้ำแข็งแห่งนั้น คล้ายพึงพอใจเป็นอย่างมาก
……
……
แนวเส้นหิมะของปีนี้มิได้เลื่อนลงไปทางใต้ ลมหนาวในที่ราบหิมะก็มิได้เย็นยะเยือกเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ฤดูใบไม้ผลิที่เป็นปกติมาเยือนเมืองเจาเกอ
ต้นไม้ภายในสำนักฌานแตกใบอ่อน คล้ายชาใหม่ในถ้วยใบเก่า ไอหมอกลอยสูงต่ำตามพื้นดิน คล้ายกับควันสีขาวที่ลอยฟุ้งขึ้นมาจากในถ้วยชา
ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิของวัดจิ้งเจวี๋ยงดงามอย่างที่ว่าไว้จริงๆ
ภายในหมอกมีตำหนักขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็นลางๆ
จิ๋งจิ่วเดินออกมาจากในตำหนัก มาถึงกึ่งกลางระหว่างไอหมอกกับผืนป่า ทิวทัศน์ยิ่งดูงดงามขึ้น
วัดจิ้งเจวี๋ยเป็นสำนักฌานประจำราชวงศ์ เขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นการพูดคุยกับฮ่องเต้
เขาพูดเรื่องที่เสวี่ยจีถูกขังเอาไว้ที่ชิงซาน แล้วก็ทราบถึงสถานการณ์บางอย่างภายในเมืองเจาเกอในช่วงนี้
เรื่องในโลกมนุษย์พวกนี้เขาไม่อยากจะสนใจ แต่ในเมื่อพบหน้าฮ่องเต้แล้ว อย่างไรก็ต้องฟังเสียหน่อย
ก็เหมือนกับที่เขาไม่อยากเจอหน้าหยวนฉีจิง แต่บางครั้งไม่อยากเจอก็ไม่ได้
หลายปีมานี้จิ่งซินทำตัวเรียบง่ายเป็นอย่างมาก เขาแทบจะไม่ออกจากตำหนัก ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง ทุกวันเขาจะเรียนรู้การปกครองกับอาจารย์จากเรือนอี้เหมาและสำนักจงโจว
สถานการณ์ภายในเมืองเจาเกอเงียบสงบ แต่มันไม่ดี
ในอดีตยังมีขุนนางบางคนที่ถวายฎีกาเพื่อขอให้แต่งตัวจิ่งเหยาเป็นรัชทายาท เหมือนกับเจ้าเมืองหลี่แห่งเมืองต้าหยวนผู้นั้น แต่ตอนนี้ขุนนางเหล่านี้ใกล้จะหายไปหมดแล้ว
ท้ายที่สุดแล้วฮ่องเต้ก็ต้องอาศัยขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ในราชสำนักในการปกครองใต้หล้า
ขุนนางและเหล่าแม่ทัพส่วนใหญ่ของราชวงศ์จิ่งล้วนแต่มีสำนักจงโจวอยู่เบื้องหลัง หรือไม่ก็เคยไปร่ำเรียนหนังสืออยู่ที่เรือนอี้เหมา
เมื่อเทียบกับสำนักจงโจวและเรือนอี้เหมาแล้ว สำนักชิงซานมิได้มีอิทธิพลอะไรในเมืองเจาเกอเลย
ในตอนนั้นกู้ชิงเข้าวังเพื่อมาเป็นอาจารย์ให้จิ่งเหยา สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งใต้หล้า ทุกคนต่างคิดว่าชิงซานคิดจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเหมยฮุ่ย ยื่นมือเข้ามายังดินแดนทางเหนือ
ปฏิกิริยาของสำนักจงโจวนั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก พวกเขาส่งผู้อาวุโสระดับเยวี่ยเชียนเหมินเข้ามาปกป้ององค์ชายจิ่งซินเอาไว้ จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังมีอาจารย์ของสำนักจงโจวมาประจำอยู่ในตำหนักขององค์ชายจิ่งซินอยู่ โดยเฉพาะเรื่องที่เจ้ากรมชิงเทียนเปลี่ยนจุดยืนของตัวเองหลังจากที่เกิดเรื่องในคุกสะกดมาร นี่ยิ่งทำให้สำนักจงโจวโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
หากคิดอยากจะกำจัดองค์ชายจิ่งซินในสถานการณ์แบบนี้ด้วยการตั้งจิ่งเหยาขึ้นมาเป็นรัชทายาทนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ความสงบเงียบภายในเมืองเจาเกอในเวลานี้ย่อมมิใช่เรื่องดีอะไร
จิ๋งจิ่วเดินมาถึงริมสระน้ำ มองไปยังใบบัวที่เพิ่งงอกขึ้นมาบนผิวน้ำ นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน
หากตระกูลจิ่งคิดอยากจะอยู่บนบัลลังก์ต่อไปอีกหมื่นปี พวกเขาก็จำเป็นต้องสนใจความเห็นของสำนักจงโจวและเรือนอี้เหมา นอกเสียจากตระกูลจิ่งกับชิงซานจะมีความสามารถที่จะสยบทุกความเห็นที่คัดค้านเอาไว้ได้
กู้ชิงที่เป็นศิษย์ของเขาคืออาจารย์ของจิ่งเหยา จิ๋งหลีที่เป็นหลานของเขาคือสหายเรียนหนังสือของจิ่งเหยา ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่มองออกมาคนที่เป็นหัวใจสำคัญในดินแดนทางเหนือของชิงซานก็คือตัวเขา เกิดเรื่องราวมากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่ฉีหลินพ่ายแพ้ในวัดกั่วเฉิงจนหนีไป สำนักจงโจวจะต้องสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฮ่องเต้อย่างแน่นอน แล้วก็เรื่องในคุกสะกดมาร เรื่องการตายของชางหลง….
ต่อให้ไม่มีหลักฐานใดๆ แต่ขอเพียงมีโอกาส สำนักจงโจวจะต้องลอบสังหารเขาเป็นแน่ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าสำนักจงโจวจะต้องคิดไม่ถึงอย่างแน่นอนว่าจากนิสัยของสำนักชิงซาน หากเขาตายไปจริงๆ ไม่ว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ แล้วก็ไม่ว่าจะมีโอกาสหรือไม่ สำนักชิงซานจะต้องล้างแค้นอย่างบ้าคลั่งอย่างแน่นอน
การต่อสู้ระหว่างสองสำนักใหญ่ที่เป็นผู้นำแห่งโลกบำเพ็ญพรต ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แล้ว
ช่างยุ่งยากจริงๆเลย
จิ๋งจิ่วมองดูก้านดอกบัวที่ไหวเอนเบาๆ อยู่ในสายลม คิดคำนวณถึงการแพ้ชนะของการต่อสู้ครั้งนี้อย่างเงียบๆ
สองทะลวงสวรรค์กับสองทะลวงสวรรค์ ถือว่าเสียหายทั้งคู่ หยวนฉีจิงบรรลุสภาวะค่อนข้างช้า แต่เขาเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ จะต้องมีแผนการแอบซ่อนเอาไว้อย่างแน่นอน
ร่างของฉีหลินอยู่ในจุดสุดยอดของทะลวงสวรรค์ เยาจีเวลาคลุ้มคลั่งขึ้นมาไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร อาต้าเวลากลัวขึ้นมายังไม่อาจเทียบเท่าตัวเองได้ ได้แต่ต้องฝากความหวังเอาไว้ที่ซือโก่ว
หุบเขาหลักของเขาอวิ๋นเมิ่งมีจำนวนมากกว่ายอดเขาหลักของเขาชิงซาน แต่เจ้าสี่แอบซ่อนความสามารถเอาไว้มานานหลายปีขนาดนี้ หากระเบิดพลังออกมาน่าจะชิงฆ่าได้สักสองสามคน
ปัญหาที่สำคัญก็คือผู้ในยอดเขาซ่อนเร้นของชิงซานส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนตาย แต่เขาด้านหลังของอวิ๋นเมิ่งนั้น ไม่รู้ว่ายังมีกำลังแอบซ่อนเอาไว้เท่าไร
หลังจากไป๋เริ่นบรรลุกลายเป็นเซียน สำนักจงโจวไม่เคยเกิดความวุ่นวายภายในสำนัก มีความเป็นไปได้สูงว่าที่นั่นอาจจะยังมีผู้อาวุโสรุ่นก่อนหน้าใช้ชีวิตอยู่
ก็เหมือนกับปลาไนเพลิงที่อยู่ใต้หุบเขาจวี้หุนตัวนั้น ใครจะไปคิดบ้างว่าสำนักจงโจวจะแอบซ่อนสัตว์เทพตัวหนึ่งเอาไว้ในสถานที่ที่ห่างไกลขนาดนั้น?
เพียงแค่คิดอย่างง่ายๆ จิ๋งจิ่วก็ยิ่งรู้สึกยุ่งยากแล้ว
หากสำนักชิงซานและสำนักจงโจวเปิดศึกกันขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าสุดท้ายใครจะแพ้ใครจะชนะ ก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าแผ่นดินเฉาเทียนกว่าครึ่งจะต้องถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลองอย่างแน่นอน
ทำไมมาถึงขั้นนี้ได้ล่ะ?
จิ๋งจิ่วเองก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน
ตอนแรกสุดเขาเพียงแต่อยากจะเข้าไปในคุกสะกดมารเพื่อเรียนอะไรบางอย่างกับจักรพรรดิแห่งหมิง ไม่ได้คิดที่จะทำให้ชางหลงรู้ตัวเลย
แต่สุดท้ายถึงได้สืบพบว่านั่นเป็นเพราะปู้เหล่าหลินได้ใช้ให้ตำหนักขององค์ชายจิ่งซินส่งจดหมายฉบับหนึ่งเข้าไปในคุกสะกดมาร
ปู้เหล่าหลินเป็นของศิษย์พี่
คำตอบออกมาแล้ว
หลายปีมานี้เขาชนะมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำลายการกักขังออกมาจากในที่ราบหิมะ หรือเป็นเรื่องความวุ่นวายในวัดกั่วเฉิง
แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่เป็นชัยชนะเล็กๆ
สิ่งที่ศิษย์พี่แสวงหาคือภาพรวม
ขอเพียงแผ่นดินวุ่นวาย ทุกชีวิตตกอยู่ในความทุกข์ยาก นั่นก็คือชัยชนะของเขา
“ท่านเองก็เสียใจหรือ?”
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของเขา
จิ๋งจิ่วไม่ได้หมุนตัวไป หากแต่กล่าวว่า “ข้าไม่ได้เสียใจ ข้าเพียงแต่ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมผู้บำเพ็ญพรตถึงไม่ตั้งใจบำเพ็ญเพียร หากแต่กลับมีความคิดอะไรวุ่นวายมากมายขนาดนี้?”
เมื่อชีวิตที่แล้วเขาไม่เข้าใจคำถามนี้ ในชีวิตนี้ก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่
หากความคิดมาจากความรู้สึกรับผิดชอบที่จะนำพาตนเองและเผ่าพันธุ์ก้าวไปข้างหน้า อย่างนั้นความรู้สึกรับผิดชอบเหล่านั้นมันมาจากไหนกัน?
หากบอกว่าความรู้สึกรับผิดชอบเหล่านั้นมาจากการที่รู้สึกสิ้นหวังต่อโลกใบเก่า อย่างนั้นทำไมเจ้าไม่พากองทัพของเผ่าหมิงบุกโจมตีโลกมนุษย์เสียเลยล่ะ?
หากบอกว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะความรัก แต่ก็มิได้เป็นเพราะละครงิ้วหรอกหรือ ถึงได้มีคำพูดที่น่าเบื่อเหล่านั้น?
หญิงสาวผู้นั้นนั่งลงที่ข้างกายเขา กอดเข่าทั้งสองข้าง มองดูก้านดอกบัวที่อยู่ในสระ สูดน้ำมูกเบาๆ พลางเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลลงมาจากในดวงตา จากนั้นกล่าวด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยว่า “เดิมบนโลกไร้ซึ่งเรื่องราว เป็นคนเราที่หาเรื่องใส่ตัวเอง แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะพวกเราต่างก็เป็นคนธรรมดากระมัง”
จิ๋งจิ่วเหลียวหน้ามองดูนาง ก่อนกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่ใช่ เขาเองก็ไม่ใช่”
……………………………………………………………………………..