มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 42 เผ่าพันธุ์มนุษย์มิได้เป็นเหมือนกัน
ใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นดูค่อนข้างอ่อนเยาว์ แต่นางมิใช่เด็กน้อยหรือว่ามีใบหน้าเป็นเหมือนเด็กน้อยเหมือนอย่างถงเหยียน หากแต่เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากการที่นางที่ไม่เคยพบเจอเรื่องราววุ่นวายบนโลก
จิ๋งจิ่วรู้สึกว่านางค่อนข้างคุ้นหน้า จึงคิดขึ้นมาได้ว่าในตอนที่ตนเองไปลับกระบี่อยู่ที่เรือนตระกูลจิ๋งเมื่อปีที่แล้ว ตนเองได้เคยพบงาน นางได้เทชาค้างคืนให้แก่ตนเองถ้วยหนึ่ง
จากนั้นเขาก็คิดถึงเรื่องราวอีกหลายเรื่องขึ้นมา สาวน้อยเหมือนจะเป็นหลานสาวคนเล็กของอัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน และแอบรักอยู่กับหลีเกอร์
อย่างนั้นนางก็น่าจะถือเป็นหลานสะใภ้ในอนาคตของตัวเองน่ะสิ?
เรื่องราวเหล่านี้ค่อนข้างซับซ้อนวุ่นวาย แต่เขาก็คิดเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นคิดขึ้นมาได้ว่าสาวน้อยผู้นี้มิได้ฉลาดเฉลียวอะไรเท่าไหร่ แต่เรื่องโชคกลับไม่เลวเลยทีเดียว คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกับตนเองอีก
สาวน้อยนึกขึ้นได้อย่างรวดเร็วว่าเขาเป็นใคร นางมองดูใบหน้าเขา ก่อนจะตะโกนออกมาอย่างยินดีว่า “ท่านอา! ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?
ในขณะที่พูด บนใบหน้าของนางยังมีคราบน้ำตาอยู่
วัดจิ้งเจวี่ยเป็นสำนักฌานประจำราชวงศ์ การที่คนในครอบครัวของอัครมหาเสนาบดีมาที่นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่สาวน้อยที่อายุเท่านางมาที่นี่ หากมิเป็นเพราะมาขอพร ก็อาจจะถูกกักบริเวณทางอ้อม
เห็นได้ชัดว่านางกำลังเผชิญปัญหาที่ยากลำบากในชีวิตของนาง
ก็เหมือนกับตัวฮ่องเต้ในเวลานี้
จิ๋งจิ่วคิดถึงทีท่าของอัครมหาเสนาบดีและเหล่าขุนนางในราชสำนักเหล่านั้น จู่ๆ พลันกล่าวว่า “ข้าอยากดื่มชา”
……
……
หลังออกมาจากวัดจิ้งเจวี๋ย จิ๋งจิ่วก็พากู้ชิงไปยังเรือนตระกูลจิ๋ง
มุมหลังคาของวัดไท่ฉางมีฝุ่นเกาะ ลมในฤดูใบไม้ผลิไม่สามารถพัดพาฝุ่นเหล่านั้นออกไปได้ และช่วงนี้ก็ไม่มีฝนฤดูใบไม้ผลิตกลงมา จึงไม่มีอะไรน่าดึงดูดสายตาอีก
จิ๋งจิ่ว ไม่ได้มองไปทางนั้น แล้วก็ไม่ได้กดก้อนหินก้อนนั้น หากแต่ให้กู้ชิงเคาะประตู
ประตูถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์แต่มีความสุขุมใบหน้าหนึ่ง
หลังมองเห็นกู้ชิง บนใบหน้านั้นก็มีสีหน้ายินดีปรากฏขึ้นมาทันที
“อาจารย์!”
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนของจิ๋งหลี เขาจึงไม่ต้องเข้าวัง
เขาเป็นพระสหายเรียนหนังสือขององค์ชายจิ่งเหยา แล้วก็เคยเรียนอยู่กับกู้ชิงชั่วระยะเวลาหนึ่ง จึงย่อมต้องถือเป็นลูกศิษย์ของกู้ชิงเหมือนกัน
กู้ชิงยิ้มๆ มิได้กล่าวอะไร เปิดทางให้จิ๋งจิ่วที่อยู่ด้านหลัง
จิ๋งหลีงุนงงไปครู่ถึงจะได้สติขึ้นมา เขารีบทำการคารวะ ท่าทางแตกต่างจากตอนที่พบกู้ชิงอย่างเห็นได้ชัด
ความรู้สึกมีระยะห่างอย่างชัดเจนเช่นนั้นคล้ายไม่ควรจะปรากฏขึ้นกับคนในครอบครัว
จิ๋งจิ่วไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ หากแต่กลับรู้สึกสบายเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า “ให้พ่อของเจ้ามาหาข้าหน่อย”
จากความเคยชินในอดีตของเขา ปกติในเวลาแบบนี้เขาจะไม่พูดอะไรให้ อย่างมากก็เพียงแค่ส่งเสียงอืมออกมา แต่หลายปีมานี้เขาเข้าใจแล้วว่ามิใช่ทุกคนจะเป็นเหมือนอย่างหลิ่วสือซุ่ย เจ้าล่าเยวี่ยหรือว่ากู้ชิง ที่เพียงแค่เห็นสายตาหรือท่าทางการเคลื่อนไหวก็สามารถเข้าใจความหมายของตนเองได้ อย่างเช่นหยวนฉวี่นั้นยังขาดประสบการณ์ในด้านนี้ แทนที่จะอธิบายเพิ่มเติม สู้พูดให้ชัดเจนตั้งแต่แรกเลยจะดีกว่า
ข้าวของภายในห้องหนังสือยังคงจัดวางเอาไว้เหมือนอย่างแต่ก่อน จิ๋งจิ่วคิดอยากจะหยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมานอน แต่กลับล้วงเจอแต่ความว่างเปล่า จึงคิดขึ้นมาได้ว่าตนเองได้เอาเก้าอี้ไม้ไผ่ทิ้งไว้ให้เสวี่ยจีแล้ว จึงได้แต่เดินไปนั่งลงตรงโต๊ะหนังสือ ท่าทางดูไม่ค่อยสบายเท่าไหร่
กู้ชิงต้มชามากาหนึ่ง แบ่งใส่ถ้วยแล้วยกมาตรงหน้าเขา
จิ๋งจิ่วมิได้ชื่นชอบชา แต่หลังดื่มมาหลายปีก็พอจะรู้บ้างว่าชาไหนดีชาไหนไม่ดี เมื่อเห็นน้ำชาที่ใสแต่ไม่บาง ในใจก็ครุ่นคิดว่าดีกว่าชาของสาวน้อยของหลีเกอร์ผู้นั้นมาก
ด้านนอกหน้าต่างมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา หลังจิ๋งซางได้รับแจ้งข่าวก็รีบวิ่งกลับมาจากวัดไท่ฉาง เขาเดินเข้าไปในห้องหนังสือ กล่าวทักทายกับจิ๋งจิ่วอย่างระมัดระวัง
สถานการณ์ในที่ราบหิมะค่อยๆ คลี่คลาย งานชุมนุมเหมยฮุ่ยจัดขึ้นตามปกติ เมื่อหลายวันก่อนเพิ่งจะเสร็จสิ้นการประลองวิถีพิณไป วันนี้เป็นการประลองวิถีหมาก ทั่วทั้งเมืองเจาเกอกำลังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้
จิ๋งซางเป็นเจ้าหน้าที่ว่างงานของวัดไท่ฉาง เขาย่อมไม่ได้ยุ่งวุ่นวายเหมือนอย่างเจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียน แต่เขาก็ยังต้องคอยประจำอยู่ในจวน
จิ๋งจิ่วมองดูผมสีขาวตรงตีนผมของเขา จู่ๆ พลันกล่าวว่า “ตอนนั้นไม่น่าอ้อมค้อมให้เจ้าชนะพนันการประลองวิถีหมากในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเลย สู้เอาใบไม้ทองคำให้เจ้าสักหีบหนึ่งง่ายกว่าเยอะ”
จิ๋งซางงุนงงเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงพูดถึงที่เรื่องผ่านมานานขนาดนี้
จิ๋งจิ่วกลาวว่า “เรื่องการแต่งงานของหลีเกอร์ เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?”
จิ๋งซางยิ่งตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าท่านสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ? จึงครุ่นคิดเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ท่าน… เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?”
“หากพวกเจ้าไม่คัดค้าน และหลีเกอร์อยากจะแต่ง อย่างนั้นก็ย่อมต้องแต่งเอานางเข้ามา”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เรื่องนี้ให้กู้ชิงจัดการ พวกเจ้าคอยฟังเขา”
จิ๋งซางมองไปทางกู้ชิง ในสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกจนปัญญา ในใจครุ่นคิดว่าจิ๋งจิ่วไม่รู้ว่าเรื่องนี้แอบซ่อนปัญหายุ่งยากอะไรเอาไว้เบื้องหลัง เจ้าต้องบอกเขาสิ
กู้ชิงยิ้มๆ เชิญเขาออกไปจากห้องหนังสือ มายังมุมหนึ่งที่เงียบสงบในสวนดอกไม้ด้านหลัง มองดูดวงตาของเขาพลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “เตรียมหาเวลาไปเรือนอัครมหาเสนาบดีเพื่อขอแต่งงาน”
จิ๋งซางตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ในใจคิดว่านี่มันหมายความว่าอย่างไร กู้ชิงไม่ได้อธิบาย เขากล่าวต่อว่า “ได้ยินว่าลูกชายของจานกั๋วกงจะขอแต่งงานในอีกแปดวันหลังจากนี้ อย่างนั้นพวกเราก็ได้แต่ต้องไปเร็วกว่านั้นหรือไม่ก็ไปวันเดียวกัน ท่านคิดว่าแบบไหนดีกว่า?”
“ในเมื่อท่านรู้ว่าเรือนอัครมหาเสนาบดีเตรียมจะเป็นทองแผ่นเดียวกับเรือนจานกั๋วกง แล้วทำไมถึงยังต้องให้พวกข้าไปขอแต่งงานอีก?”
จิ๋งซางยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “จากที่ข้ารู้มา คุณหนูผู้นั้นถูกส่งไปกักบริเวณอยู่ที่วัดจิ้งเจวี๋ยเพื่อรอแต่งงาน ท่าทีของเรือนอัครมหาเสนาบดีนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก”
กู้ชิงกล่าวว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไรมันก็ต้องพยายามช่วงชิงมาหน่อย
จิ๋งซางถอนใจ กล่าวว่า “จานกั๋วกงมีสำนักจงโจวหนุนหลัง หลายปีมานี้มีความสนิทสนมกับตำหนักขององค์ชายจิ่งซิน ข้าเป็นเพียงขุนนางธรรมดาของวัดไท่ฉาง จะไปแย่งชิงอะไรกับเขาได้?”
กู้ชิงยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “ด้านหลังท่านยังมีลู่กั๋วกง มีฝ่าบาท แล้วก็มีชิงซาน อยากจะแย่งชิงกับใครก็ได้ทั้งนั้น”
เมื่อกลับมาถึงห้องหนังสือ กู้ชิงก็บอกเล่าเรื่องท่าทีและความกังวลใจของจิ๋งซางให้จิ๋งจิ่วฟัง แต่กลับพบว่าจิ๋งจิ่วกำลังส่ 10 อืม แอร์องกระจก ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เลย คำพูดที่อยากจะพูดต่อจึงได้แต่ต้องหยุดเอาไว้ก่อน
ความสัมพันธ์ของอาจารย์กับในวังนั้นลึกลับเป็นอย่างมาก จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ถึงความจริง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่อาจปิดบังสายตาของคนในใต้หล้าไปได้ หากครั้งนี้ฝืนสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องงานแต่งงานระหว่างหลีเกอร์และคุณหนูของเรือนอัครมหาเสนาบดี เช่นนั้นจะต้องถูกทางสำนักจงโจวมองว่านี่เป็นท่าทีของฮ่องเต้และการท้าทายของสำนักชิงซานอย่างแน่นอน เกรงว่าจะทำให้เกิดเรื่องราววุ่นวายมากขึ้น
จิ๋งจิ่ววางคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่อยู่ในมือลง กล่าวว่า “หากเรื่องงานแต่งนี้จัดการได้ไม่สำเร็จ แล้วจิ่งเหยาจะเป็นรัชทายาทได้อย่างไร?”
กู้ชิงเข้าใจความหมายของอาจารย์ หากสามารถจัดการงานแต่งครั้งนี้ได้สำเร็จ ท่าทีของอัครมหาเสนาบดีก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจนส่งผลกระทบต่อความคิดของเรือนอี้เหมา อย่างน้อยก็ทำให้บัณฑิตเหล่านั้นรักษาจุดยืนที่เป็นกลาง แล้วก็จะส่งผลกระทบต่อเหล่าบัณฑิตและขุนนางในราชสำนัก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า…. หากคิดอยากจะทำให้งานแต่งครั้งนี้ประสบความสำเร็จ อันดับแรกก็คือต้องทำให้อัครมหาเสนาบดีเปลี่ยนแปลงท่าทีเสียก่อน หรือก็คือการทำให้เรือนอี้เหมาเปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่อจิ่งเหยา ซึ่งนี่แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนต่างรู้ว่าเรื่องที่อยากจะเปลี่ยนแปลงที่สุดบนโลกนี้มิใช่คำพูดติดปากของชิงซาน แล้วก็มิใช่ชื่อสกุลของสำนักจงโจว หากแต่เป็นความคิดของบัณฑิตเหล่านั้น
“ข้าไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ข้ารู้แต่เพียงว่าหากอยากจะได้ของสิ่งใดมา ก็ควรจะจ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกันออกไป อย่างเช่นเจ้าอยากจะซื้อของก็ควรจะจ่ายใบไม้ทองคำ”
จิ๋งจิ่วคิดถึงตอนที่ตนเองกับเจ้าล่าเยวี่ยออกไปจากชิงซานครั้งแรก คิดถึงเรื่องที่อยากจะซื้อหมวกลี่เม่าแต่กลับไม่ได้พกเงินมา จึงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “หรือจะเป็นเงินก็ได้”
กู้ชิงฟังอย่างตั้งใจ ราวกับว่าสิ่งที่อาจารย์พูดมานั้นมีเหตุผลเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเหตุผลที่ตนเองไม่เคยได้ยินมาก่อน
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “หากอยากจะเกลี้ยกล่อมเรือนอี้เหมา ก็จำเป็นต้องเอาของไปแลกกับพวกเขา”
กู้ชิงคล้ายจะทนไม่ไหวแล้ว ในใจครุ่นคิดว่าหลักเหตุผลที่อาจารย์ว่ามานั้น ไม่ว่าใครต่างก็ทราบอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าพวกเราจะใช้อะไรไปทำให้เหล่าบัณฑิตของเรือนอี้เหมาเปลี่ยนแปลงความคิดล่ะ? สำหรับพวกเขาเเล้ว ทรัพย์สินเงินทองเป็นเหมือนเมฆที่ล่องลอย อำนาจและชื่อเสียงเองก็เช่นเดียวกัน หรือต่อให้ท่านเอาฟ้าดินไปแลกก็ไม่มีประโยชน์
สำหรับบัณฑิตเหล่านั้น ความหนักแน่นของพวกเขาสำคัญยิ่งกว่าใต้หล้าเสียอีก
ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของยอดเขาเสินม่อ และเป็นตัวเลือกเจ้าสำนักชิงซานในอนาคต กู้ชิงรู้ดีว่าการคุยปัญหาเหล่านี้กับอาจารย์นั้นไม่มีประโยชน์ สุดท้ายตัวเองก็ได้แต่ต้องแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง จึงกล่าวว่า “ข้าลองไปดูทางงานชุมนุมเหมยฮุ่ยดีไหมขอรับ?”
ในฐานะที่ชิงซานเป็นผู้นำของฝ่ายธรรมะ พวกเขาย่อมต้องเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย
กู้ชิงคิดอยากจะเตือนเขาว่าเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการสืบทอดราชบัลลังก์เช่นนี้ การที่สำนักออกหน้ากับการที่ยอดเขาเสินม่อออกหน้านั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ดี”
กู้ชิงกล่าวว่า “ครั้งนี้คนที่นำสำนักมาคือจัวหรูซุ่ย ให้เขาออกหน้าหรือขอรับ?”
ความอาวุโสของจัวหรูซุ่ยนั้นยังน้อยไปหน่อย แต่เขาเป็นก็เป็นศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนัก สถานะมีความพิเศษ คำพูดคำจาย่อมต้องมีน้ำหนัก ในตอนแรกสุดจิ๋งจิ่วรู้สึกค่อนข้างชื่นชมจัวหรูซุ่ย หลังจากผ่านเรื่องราวในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง เขาก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายยิ่งขึ้น จึงสนับสนุนคำแนะนำของกู้ชิง กล่าวว่า “วันที่ไปขอแต่งงานก็ให้เขาตื่นตัวหน่อย อย่านอน”
กู้ชิงรับคำสั่ง ปิดประตูอย่างเรียบร้อยหลังออกไปจากห้องหนังสือ
จิ๋งจิ่วหยิบเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างชิ้นนั้นออกมาดูอีกครั้ง หลังมั่นใจเรื่องทิศทางและมุม เขาก็ใช้มือขวาจุ่มลงไปในน้ำชาเล็กน้อย จากนั้นเริ่มทำการลับกระบี่ ยังคงเป็นห้องหนังสือห้องนี้ น้ำชาในวันนี้ดีกว่าน้ำชาเก่าของเมื่อปีที่แล้ว คันฉ่องฟ้ากระจ่างเองก็ดีกว่ากระดูกปีศาจท่อนนั้น ความรู้สึกของเขาเองก็ย่อมดีกว่า ดังนั้นจึงมีความรู้สึกที่อยากจะคุยเล่นกับคนอื่น
“เจ้าคิดจะอยู่ในนั้นไม่ออกมาข้างนอก?”
คนที่เขาพูดด้วยย่อมต้องเป็นชิงเอ๋อร์ หลังจากเขาเอาเสวี่ยจีขังไว้ในคุกกระบี่ ชิงเอ๋อร์ก็กลับเข้าไปในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ไม่ยอมออกมาอีก
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “ข้ารับปากถงเหยียนเอาไว้ว่าผ่านไปอีกสักหลายวันจะเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างคืนให้แก่เขา แต่ข้ามักจะรู้สึกแปลกๆ กำลังคิดอยู่ว่าจะเปลี่ยนใจดีหรือไม่”
ชิงเอ๋อร์บินออกมาจากในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง นางกระพือปีกใสๆ พลางกล่าวกับเขาอย่างโมโหว่า “ทำไมเจ้าถึงเลวเช่นนี้?”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างจริงจังว่า “ข้าคิดว่าตัวเองดีมาก”
กู้ชิงเดินไปถึงสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหลัง ครุ่นคิดถึงภาระหน้าที่ของตนเอง ภายในใจพลันรู้สึกหนักอึ้งเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาก็คิดถึงท่าทีที่ไม่สนใจต่อเรื่องราวในโลกภายนอกของอาจารย์ จึงอดรู้สึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ ในใจคิดว่าผู้บำเพ็ญพรตควรเป็น เหมือนอย่างอาจารย์ ไม่ว่าจะยืนจะนั่งหรือจะนอนก็ล้วนแต่ใช้ชีวิตเหมือนอย่างเซียน เพียงแต่เสียดายที่ตนเองยังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
……
……
หอสูงที่ตั้งเรียงรายเหมือนใบไม้และดอกไม้อยู่ในสวนดอกเหมยใหม่แอบซ่อนตัวอยู่ในเมฆหมอก มองดูคล้ายดินแดนแห่งเซียน เพียงแต่วันนี้ไม่มีใครมาที่นี่
คนที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยต่างไปอยู่ที่เขาฉีผานเพื่อชมการประลองหมากล้อม กู้ชิงไม่ได้ไป เพราะอย่างไรเสียคนที่ชนะก็คือเชวี่ยเหนียง ยิ่งไปกว่านั้นเขาเชื่อว่าจัวหรูซุ่ยก็ไม่ได้ไปดูเช่นเดียวกัน
เขาไปยังเรือนพักเซียนของสำนักชิงซาน พบว่าจัวหรูซุ่ย….ไม่ได้หลับอยู่ หากแต่กำลังเลี้ยงกระบี่อยู่
ไอหมอกที่เบาบางแต่กลับบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่งสายหนึ่งลอยขึ้นมาจากศีรษะของเขา กระบี่เซียนเล่มหนึ่งกำลังหมุนวนอย่างช้าๆ อยู่ในเมฆหมอกนั้น
กู้ชิงยืนอยู่ด้านนอกหน้าต่าง มองดูภาพนี้ แอบรู้สึกถอนใจอยู่ในใจ
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น จัวหรูซุ่ยจะมีท่าทีเหมือนอย่างคนเกียจคร้าน แต่เมื่ออยู่ลับหลังคนอื่นเขากลับบำเพ็ญเพียรอย่างขยันขันแข็งถึงเพียงนี้ เป็นถึงเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด เหตุใดถึงต้องลำบากลำบนเช่นนี้ด้วย?
ว่ากันว่าเขาคล้ายคลึงกับอาจารย์เป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย อาจารย์ต่างหากถึงจะเรียกว่าเกียจคร้านอย่างแท้จริง
จัวหรูซุ่ย รู้สึกได้ถึงการมาของเขา จึงลืมตาขึ้น เก็บกระบี่บิน รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เวลาที่จะทำสมาธิเลี้ยงกระบี่ เขามักจะใช้เพลงกระบี่แบกสวรรค์มาตั้งเป็นค่ายพลัง เหตุใดกู้ชิงกลับมายืนอยู่ข้างหน้าต่าง อย่างง่ายดายเช่นนี้?
จัวหรูซุ่ยคิดถึงข่าวลือนั้นขึ้นมา ก่อนถามว่า “เจ้าเรียนเพลงกระบี่แบกสวรรค์จริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ขอรับ ศิษย์พี่”
นอกจากประโยคนี้ กู้ชิงก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มอีก
จัวหรูซุ่ยคิดถึงความสัมพันธ์ของจิ๋งจิ่วกับอาจารย์ตัวเอง ก่อนจะคิดถึงเรื่องอื่นขึ้นมา จึงลุกขึ้นแล้วถามว่า “ทำไมเจ้าถึงมาเมืองเจาเกอล่ะ?”
กู้ชิงกล่าวว่า “อาจารย์ก็มาที่นี่เช่นเดียวกัน อาจารย์เชิญให้ท่านไปหา”
จัวหรูซุ่ยประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวว่า “ได้”
กู้ชิงไม่ได้พาเข้าได้กลับไปยังเรือนตระกูลจิ๋งในทันที หากแต่คิดถึงเรื่องอีกเรื่องนึงขึ้นมา จึงไปยังที่พักของศิษย์เรือนอี้เหมา
วันนี้ช่างบังเอิญเสียจริง คนที่เขาต้องการพบล้วนแต่ไม่ชอบดูหมากล้อม
ลูกศิษย์ของเรือนอี้เหมาเชี่ยวชาญในการเขียนพู่กันจีน แล้วก็ชื่นชอบในการเล่นหมากล้อม แต่ซีอี้อวิ๋นชื่นชอบแต่เพียงอ่านหนังสือหรือไม่ก็เขียนหนังสือ เขาเป็นลูกศิษย์ของปู้ชิวเซียน ตอนที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง เขาได้แสดงความสามารถออกมาอย่างโดดเด่น ได้รับเสียงชื่นชมจากเหล่าอาวุโสในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตเป็นอย่างมาก ในอนาคตมีโอกาสที่จะกลายเป็นเจ้าแห่งเรือนอี้เหมารุ่นต่อไป
แต่แน่นอน สถานะของจัวหรูซุ่ยและกู้ชิงเองก็ไม่ได้แย่ ยิ่งไปกว่านั้นจัวหรูซุ่ยและเขาต่างก็เคยอยู่ในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ก่อนจะพากันตายไปเพราะลอบสังหารไป๋เชียนจวิน ต่างคนต่างย่อมต้องมีความรู้สึกเห็นใจกันและกัน บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งกู้ชิงกล่าวประโยคนั้นออกมา
ซีอี้อวิ๋นเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “จะให้ข้าไปเป็นอาจารย์ให้องค์ชายจิ่งเหยา? สหายกู้ชิง ท่านอยากจะดูหมิ่นข้าหรือ?”
กู้ชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “จำได้ว่าเรือนอี้เหมามีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งว่า ‘สั่งสอนมนุษย์ทุกคนโดยไม่เลือก’”
ซีอี้อวิ๋นมองดูดวงตาเขาอย่างเงียบๆ ก่อนกล่าวว่า “แต่เขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์ของข้า”
………………………………………………………………..