มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 43 ความลับของเรือนอี้เหมา
สายลมในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ นำพาเอาไอหมอกเข้ามาในเรือนที่พักบนเขา
บนภูเขาที่อยู่ไกลออกไปมีเสียงโห่ร้องยินดี ดูแลแล้วเชวี่ยเหนียงคงจะชนะอีกครั้ง
เมื่อเทียบกับความคึกคักของที่อื่นแล้ว ความเงียบของที่นี่ทำให้รู้สึกกดดัน
จัวหรูซุ่ยคิดในใจว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า อย่ามองข้า
ในขณะที่กำลังคิดถึงประโยคนี้ ซีอี้อวิ๋นได้หมุนตัวมามองเขาพลางกล่าวถามว่า “ความจริงข้าไม่เข้าใจว่านี่เป็นความคิดของยอดเขาเสินม่อหรือว่าเป็นความคิดของชิงซานกันแน่?”
จัวหรูซุ่ยเงยหน้าขึ้นมามองดูกู้ชิง คิดในใจว่าเจ้าเรียกข้ามาเพราะเหตุนี้อย่างนั้นหรือ?
จากนั้นเขาก็คิดถึงความสัมพันธ์ของอาจารย์แหละจิ๋งจิ่วขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หนังตาห้อยตกลง กล่าวด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ว่า “แล้วมันต่างกันอย่างไรล่ะ?”
ซีอี้อวิ๋นกล่าวว่า “อย่างนั้นข้าคงต้องขอส่งแขก”
การให้ลูกของปีศาจจิ้งจอกมาเป็นฮ่องเต้ สำหรับเหล่าบัณฑิตของเรือนอี้เหมาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพูดคุยตกลงกันได้
“พวกเราถือเป็นศิษย์รุ่นหลัง ไหนเลยจะมีสิทธิ์พูดคุยเรื่องเหล่านี้ เพียงแค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เพียงแต่ว่า…”
กู้ชิงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ไม่ทราบว่าท่านซีพอจะช่วยแนะนำให้ข้าพบท่านอัครมหาเสนาบดีได้หรือไม่?”
“ข้าไม่เคยพบศิษย์พี่เฉินมาก่อน”
ซีอี้อวิ๋นสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย กล่าวว่า “ก่อนที่จะเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนัก ศิษย์ของเรือนอี้เหมาจะไม่มีทางเข้าไปข้องเกี่ยวกับงานราชการเด็ดขาด”
ท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินคนปัจจุบันเคยเป็นนักเรียนของเรือนอี้เหมา ในแง่หนึ่งแล้วก็ถือเป็นศิษย์พี่ของเขาจริงๆ
กู้ชิงกล่าวว่า “ท่านเข้าใจผิดแล้ว นี่เป็นเรื่องส่วนตัว”
ซีอี้อวิ๋นกล่าวว่า “อย่างนั้นก็ยิ่งไม่อาจช่วยได้”
กู้ชิงยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “อย่างนั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน ช่วงนี้สำนักของท่านมีศิษย์คนใหม่ที่ชื่อเหอเสี่ยวหลิว ขอให้ข้าได้พาเขาไปพบผู้อาวุโสท่านหนึ่งได้หรือไม่?”
ซีอี้อวิ๋นจ้องมองดูดวงตาของเขา ไม่ได้กล่าวกับอะไร หากแต่หมุนตัวเดินออกไป
ผ่านไปไม่นาน บัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา
หนังตาที่ห้อยตกลงของจัวหรูซุ่ยยกขึ้นเล็กน้อย มองเห็นใบหน้าที่ค่อนข้างดำใบหน้านั้น แล้วก็ยังมีชุดที่ดูไม่ค่อยเข้ากันชุดนั้น รู้สึกตกใจเป็นอย่างมากจนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
……
……
ในเมืองเจาเกอห้ามมิให้ผู้บำเพ็ญพรตขี่กระบี่บินตามอำเภอใจ กรมชิงเทียนได้จัดเตรียมรถบินเอาไว้คันนึงให้อาจารย์เซียนสามท่าน เมื่อมั่นใจแล้วว่ารอบๆ รถไม่มีคน ในที่สุดจัวหรูซุ่ยก็อดเอ่ยปากพูดออกมาไม่ได้ เขามองดูบัณฑิตหนุ่มผู้นั้นพลางกล่าวว่า “นี่เจ้าคิดจะเข้าไปอยู่ในทุกสำนักทั้งใต้หล้าหรือไง? อย่างนั้นเมื่อไหร่เจ้าจะไปเป็นแม่ชีอยู่ที่สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยล่ะ?”
บัณฑิตหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมยาว แต่กลับยังดูเหมือนชาวนาผู้นี้ย่อมต้องเป็นหลิ่วสือซุ่ย
ตามหลักแล้ว ในเวลานี้เขาควรจะถูกขังอยู่ในคุกกระบี่ของชิงซาน แต่ความจริงทั่วทั้งชิงซานต่างทราบว่าเขาถูกปล่อยตัวออกมาตั้งนานแล้ว
ต่อให้ฟางจิ่งเทียนจะโกรธแค่ไหนก็ไม่อาจทำอะไรได้ เมื่อยอดเขาเทียนกวงไม่สนใจ เมื่อยอดเขาซั่งเต๋อไม่เห็นด้วย แล้วใครจะเข้าไปในคุกกระบี่เพื่อตรวจดูว่าเขายังอยู่หรือไม่ได้?
คำพูดของจัวหรูซุ่ยย่อมต้องเป็นการเสียดสี แต่ความจริงเขาก็มิได้กล่าวผิดเช่นกัน หลังจากหลิ่วสือซุ่ยออกไปจากชิงซาน เขาก็ไปยังปู้เหล่าหลิน ไปเรียนเพลงกระบี่จากสำนักกระบี่ซีไห่ ไปฟังธรรมอยู่ที่วัดกั่วเฉิงเป็นเวลาหลายปี แล้วตอนนี้ยังมาเรียนหนังสืออยู่ที่เรือนอี้เหมาอีก นี่ช่างเป็นประสบการณ์ที่ยากจะจินตนาการได้จริงๆ
หลิ่วสือซุ่ยมิได้สนใจเขา หากแต่มองกู้ชิงพลางกล่าวถามว่า “คุณชายมาเมืองเจาเกอทำไม?”
กูชิงรู้ว่าสิ่งที่เค้าอยากจะถามนั้นมิได้มีเพียงเท่านี้ หากแต่ยังมีสถานการณ์ของจิ๋งจิ่วในช่วงนี้ด้วย
พวกเขาต่างรู้ดีว่าจิ๋งจิ่วไม่เคยเที่ยวป่าวประกาศเรื่องพวกนี้ อย่างนั้นก็ได้แต่ต้องให้กู้ชิงเป็นคนเล่าออกมา
หัวหน้าผู้ดูแลแห่งยอดเขาเสินม่อมีงานมากมายที่ต้องทำ ถึงแม้จิ๋งจิ่วจะเป็นคนจัดการเรื่องที่หลิ่วสือซุ่ยไปเรียนอยู่ที่เรือนอี้เหมา แต่รายละเอียดทุกอย่าง รวมไปถึงงานในช่วงสุดท้ายของสวนผักที่อยู่ด้านนอกวัดกั่วเฉิงแห่งนั้นก็ล้วนแต่กู้ชิงเป็นคนจัดการ กระทั่งโรงเตี๊ยมที่อยู่ตรงปากทางเข้าระเบียงลมพันลี้ที่เสี่ยวเหอพักอยู่ก็ล้วนแต่เป็นเขาที่เป็นคนเลือกตำแหน่งและกำหนดแผนการ
กู้ชิงบอกเล่าเรื่องราวที่ตนเองรู้และสามารถพูดออกมาได้ในช่วงสองปีนี้ออกมา
หลิ่วสือซุ่ยฟังอย่างตั้งใจ พลางวิเคราะห์ดูว่าตนเองสามารถทำอะไรได้บ้าง
จัวหรูซุ่ยฟังอย่างเบื่อหน่าย เขากรอกตา ก่อนจะพลิกตัวนอนหลับไป
……
……
คันฉ่องฟ้ากระจ่างวางอยู่นิ่งๆ บนชั้น สร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยให้แก่ห้องหนังสือที่คล้ายจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงห้องนี้
หากเจ้าล่าเยวี่ยและไป๋เจ่ามายังห้องนี้อีกครั้ง พวกนางจะมองดูคันฉ่องหรือไม่?
“อาจารย์ ทางนั้นไม่ได้ผลขอรับ”
กู้ชิงคิดถึงท่าทีของซีอี้อวิ๋นก่อนหน้านี้ ในใจยิ่งรู้สึกหนักอึ้ง”
หากไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้เรือนอี้เหมาเปลี่ยนแปลงท่าทีได้ งานแต่งงานครั้งนี้ก็ย่อมไม่มีหวัง
“อย่างนั้นก็แย่งมาเลยสิ”
จัวหรูซุ่ย พูดเหมือนเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าที่เจ้าว่ามามันก็ใช่ แต่เจ้าสาวใหม่นั้นแย่งง่าย ทว่าตำแหน่งฮ่องเต้กลับแย่งได้ไม่ง่าย จากนั้นจึงโบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขาออกไปจัดการธุระอย่างอื่นก่อน
กู้ชิงพาจัวหรูซุ่ยไปหาจิ๋งซาง จากนั้นไปยังเรือนลู่กั๋วกงเพื่อพูดคุยธุระ ภายในห้องเหลือเพียงจิ๋งจิ่วและหลิ่วสือซุ่ยสองคน ไม่ได้เจอหน้ากันมาปีกว่าสองปี ยังคงไม่มีการทักทายใดๆ เขาใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่ตรวจสอบดูเส้นลมปราณของหลิ่วสือซุ่ย ก่อนจะมั่นใจว่าปัญหาปราณก่อกำเนิดที่ขัดแย้งกันได้รับการแก้ไขไปไม่น้อยแล้ว จึงมิได้รู้สึกเป็นห่วงอะไร
หลิ่วสือซุ่ยเคยชินกับการกลับมาพบหน้ากันอย่างเฉยชาเช่นนี้ เขาเป็นฝ่ายบอกเล่าเรื่องราวในช่วงนี้ของตนเองออกมา สถานการณ์ภายในเมืองเจาเกอมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก แต่เขาก็รู้ดีว่าสำนักชิงซานมิอาจเกลี้ยกล่อมสำนักจงโจวได้ ได้แต่ต้องสอดมือไปยังเรือนอี้เหมา เขาหวังว่าตนเองจะสามารถช่วยอะไรได้บ้าง สุดท้ายเขากล่าวออกมาว่า “อาจจะเป็นเพราะว่ามีจดหมายจากท่านเจ้าสำนักและฉานจึ เจ้าแห่งเรือนอี้เหมาจึงดีต่อข้าอย่างมาก ถึงขนาดมาสอนวิถีแห่งปราณคุณธรรมให้ข้าด้วยตนเอง ปัญหาที่แอบซ่อนอยู่ภายในร่างกายของข้าได้รับการแก้ไขไปมากแล้วขอรับ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “คนผู้นี้ไม่เลว”
หลิ่วสือซุ่ยลังเลอยู่ครู่ ก่อนกล่าวว่า “เพียงแต่…. เขาเหมือนจะรู้เรื่องนั้นแล้วขอรับ”
เรื่องนั้นเขาเล่าให้จิ๋งจิ่วฟังเพียงคนเดียว
ตอนที่อยู่ในปู้เหล่าหลิน เคยมีบัณฑิตชราแซ่เหยียนจากเรือนอี้เหมาคนหนึ่งที่ค่อนข้างดูแลเอาใจใส่เขา สุดท้ายถึงขนาดยอมตายเพื่อช่วยเขาออกมาจากคมกระบี่ของซีหวังซุน
ก่อนตายบัณฑิตชราแซ่เหยียนได้มอบของล้ำค่าประจำเรือนอี้เหมา — พู่กันครองเมืองให้เขาดูแล
ด้วยความสามารถของปู้ชิวเซียว ด้วยอิทธิพลของเรือนอี้เหมาภายในราชสำนัก เขาจะต้องสืบพบอะไรบางอย่างจากเบาะแสที่มีอยู่เพียงน้อยนิดเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน
และก็เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้หลิ่วสือซุ่ยจึงไม่ยอมไปยังเรือนอี้เหมา ตอนนี้ดูเหมือนว่ายังคงถูกสงสัยเข้าแล้ว
“ข้าเคยสืบปู้ชิวเซียว”
จิ๋งจิ่วคิดถึงคำวิจารณ์ที่ชิงเอ๋อร์มีต่อตนและคำตอบของตนเอง ก่อนกล่าวว่า “เขาเป็นคนดีอย่างแท้จริง”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ในใจคิดว่าถ้าหากเขาเป็นคนดีจริงๆ เหตุใดบัณฑิตเหยียนถึงถูกบีบให้ต้องทรยศเรือนอี้เหมา ปิดบังชื่อแซ่แอบซ่อนตัวอยู่ในปู้เหล่าหลิน
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกลัว ก็เหมือนกับที่ข้าเคยบอกเจ้าครั้งที่แล้ว แค่อย่าไปหาเรื่องก็พอ”
หลิ่วสือซุ่ยมองเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนกล่าวว่า “เอ่อ… ความจริงข้าพอจะสืบเจออะไรบ้างแล้วขอรับ”
จิ๋งจิ่วมองดูเขาอย่างเงียบๆ สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ในใจกลับรู้สึกค่อนข้างเหนื่อยใจ
หลิ่วสือซุ่ยกับเจ้าล่าเยวี่ยเป็นสองคนแรกที่เขาพามาอยู่ข้างกายในชีวิตครั้งนี้ แล้วก็ยังเป็นคนที่ชอบหาเรื่องมากที่สุด เจ้าล่าเยวี่ยนั้นยังดีหน่อย ตอนนี้คล้ายเขาเข้าไปทุกที เก็บตัวอยู่แต่บนยอดเขาเสินม่อ แต่หลิ่วสือซุ่ยนับวันกลับยิ่งคล้ายศิษย์พี่ ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหนก็ล้วนแต่กระตือรือร้นที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย นั่นมันเป็นความลับที่น่าอายของสำนักอื่น เจ้าจะไปสืบทำไม? ต่อให้บัณฑิตชราผู้นั้นจะมีบุญคุณต่อเจ้า…. เอาล่ะ สืบมาหน่อยก็ดีเหมือนกัน
“สืบเจออะไรบ้าง?” เขากล่าวถาม
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “บัณฑิตเหยียนเป็นลูกศิษย์ของเจ้าเรือนคนก่อนหน้า สภาวะสูงส่ง ชื่อเสียงบารมีเองก็สูงส่งอย่างมากเช่นกัน สถานะภายในเรือนค่อนข้างคล้ายกับอาจารย์ลุงกฎกระบี่ที่ชิงซาน เมื่อหลายสิบปีก่อน จู่ๆ เขาพลันบอกว่าปู้ชิวเซียว คุณธรรมบกพร่อง ขอให้อีกฝ่ายสละตำแหน่ง ไม่ว่าบัณฑิตภายในเรือนคนอื่นจะทักท้วงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมฟัง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “นิสัยเขาเป็นอย่างนั้นหรือ?”
“บัณฑิตเหยียนขึ้นชื่อเรื่องความดื้อดึง ตอนอยู่ในเรือนมีฉายาว่าบัณฑิตดื้อดึง”
หลิ่วสือซุ่ยคิดในใจว่าบัณฑิตชราผู้นั้นถึงแม้จะไปยังปู้เหล่านั้นแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดที่จะเป็นคนดีและทำเรื่องดี จะบอกว่าเขาดื้อดึงก็ถือว่าถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “สุดท้าย?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ปู้ชิวเซียวย่อมไม่ได้สละตำแหน่ง หากแต่ขอให้เขาป่าวประกาศความผิดของตนเองต่อหน้าทุกคน ผลสุดท้าย…. บัณฑิตเหยียนกลับแอบขโมยพู่กันครองเมืองหนีไป”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “กลัวว่าจะถูกคนฆ่าปิดปาก?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ข้าเคยอ่านบันทึกประจำวันของเรือนในตอนนั้น ตอนนั้นเรื่องนี้ได้ทำให้เกิดการถกเถียงขึ้นอย่างมากมาย ปู้ชิวเซียวคิดอยากจะสังหารเขาอย่างเงียบๆ ย่อมมิใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้นขอเพียงเขาตาย ทุกคนก็จะต้องสงสัยปู้ชิวเซียวอย่างแน่นอน ไม่ว่ามองยังไงเขาก็ปลอดภัย ไม่ควรจะทำเรื่องแบบนั้นเลย”
บัณฑิตเหยียนขโมยของล้ำค่าประจำเรือนหนีออกมา ไหนเลยยังจะมีคนเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหาปู้ชิวเซียวอีก
จิ๋งจิ่วย่อมต้อคาดเดาความคิดของเหล่าบัณฑิตในเรือนอี้เหมาในเวลานั้นได้ จึงกล่าวถามต่อว่า “หลังจากนั้น?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “เขาฝืนที่จะออกมาจากระเบียงลมพันลี้ ทำให้ใจแห่งปราชญ์เสียหาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส สภาวะถดถอยไปหน่อย ภายหลังไม่รู้ว่าเข้ามาอยู่ในปู้เหล่าหลินได้อย่างไร”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าสืบมาได้ไม่น้อยเลย”
หลิ่วสือซุ่ยดูเหมือนเป็นคนซื่อ ซึ่งความจริงแล้วก็ซื่ออย่างมาก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่เฉลียวฉลาดอย่างมากเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในปู้เหล่าหลินและได้รับการชี้แนะจากซีหวังซุนมาเป็นเวลาหลายปี เขาย่อมต้องรู้ดีว่าควรทำอย่างไรถึงจะสามารถสืบหาความจริงของเรื่องราวเรื่องหนึ่งได้โดยไม่ถูกคนพบเห็น เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาสับสนก็คือเขาคิดมาตลอดว่าบัณฑิตเหยียนที่ทรยศออกมาจากเรือนอี้เหมานั้นเป็นคนดี อย่างนั้นปู้ชิวเซียวที่เป็นเจ้าแห่งเรือนอี้เหมาก็ต้องเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมที่แอบซ่อนตัวเองเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนที่สุด แต่ผลลัพธ์ที่มีอยู่ในตอนนี้คล้ายจะไม่เพียงพอที่จะสรุปแบบนี้ได้
บัณฑิตเหยียนกุมความลับอะไรของปู้ชิวเซียวเอาไว้กันแน่ ถึงขนาดทำให้เขาคิดว่าปู้ชิวเซียวจะต้องฆ่าเขาให้ได้ แม้นจะต้องถูกคนสงสัยก็ตาม? หากความลับนั้นมีอยู่จริง เหตุใดเขาแอบซ่อนตัวอยู่ในปู้เหล่าหลินมานานหลายปีขนาดนี้ ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนกลับไม่มีข่าวคราวที่เกี่ยวข้องเล็ดรอดออกมาเลย จนกระทั่งเขาตายอยู่ภายใต้กระบี่ของซีหวังซุนก็ยังไม่มีใครล่วงรู้?
นี่คือข้อสงสัยของหลิ่วสือซุ่ย ขณะเดียวกันก็เป็นข้อสงสัยของจิ๋งจิ่วเช่นเดียวกัน
เขานิ่งเงียบไปครู่ จู่ๆ พลันกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าจำบันทึกประจำวันได้มากน้อยเท่าไหร่?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ข้าจำได้แค่ช่วงหนึ่งร้อยปีนี้ขอรับ”
สิ่งที่บัณฑิตเรือนอี้เหมาฝึกฝนก็คือวิถีคุณธรรม สิ่งที่ฟูมฟักคือใจแห่งปราชญ์ สิ่งที่แสวงหาคือไม่มีเรื่องใดที่พูดไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมาลูกศิษย์ที่อยู่ในเรือนสามารถพลิกอ่านบันทึกประจำวันภายในเรือนได้ทุกเมื่อ เพียงแต่ห้ามแพร่งพรายออกไปยังภายนอก
บันทึกประจำวันเหล่านั้นล้วนแต่บันทึกเอาไว้ได้อย่างละเอียดครบถ้วน ในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีไม่รู้ว่าเกิดเรื่องราวขึ้นมากน้อยเท่าไหร่ คิดไม่ถึงว่าหลิ่วสือซุ่ยจะสามารถจดจำได้ทั้งหมด แต่เขากลับยังไม่ค่อยพอใจตนเองเท่าไหร่
“น้อยไปจริงๆ ไหนลองว่ามาก่อน”
จิ๋งจิ่วหยิบเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างลงมาจากชั้น
หลิ่วสือซุ่ยเริ่มท่องบันทึกประจำวันตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อนขึ้นมา
จิ๋งจิ่วย่อมไม่มีความอดทนที่จะฟังบันทึกมากมายเหล่านี้จนจบ แต่ละท่อนเขาฟังเพียงไม่กี่คำก็ทำการวิเคราะห์ออกมา ก่อนจะเคาะคันฉ่องฟ้ากระจ่างเบาๆ เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้หลิ่วสือซุ่ยข้ามไป
……
……
“ปีที่เก้าสิบเจ็ด กระท่องฟางถูกซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ พบแผ่นไม้ไผ่เจี่ยนตู๋[1]สมัยโบราณอยู่ใต้ศาลาสามมัด”
“ปีที่เก้าสิบห้า คนของราชวงศ์หยวนเข้าไปยังสุสาน เจ้าเรือนพาศิษย์สามคนเข้าไปยังเมืองเจาเกอ คัดบทเพลงแห่งความเที่ยงธรรมมอบให้ นักพรตไป๋แห่งสำนักจงโจว….”
“ปีที่แปดสิบสี่ ทะเลสาบจิ้งหูตรงระเบียงลมมีน้ำไหลทะลัก ที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ของจี้ตงถูกน้ำท่วม ศิษย์ภายในเรือนตั้งข่ายพลังกันน้ำท่วม บาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งหมด….”
……
……
จิ๋งจิ่วมองดูท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง พบว่าต่อให้ฟังไปแบบนี้ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะฟังจนจบ จึงกล่าวกับหลิ่วสือซุ่ยว่า “เริ่มท่องตั้งแต่สิบปีก่อนที่บัณฑิตเหยียนจะหนีไป ไม่สิ เริ่มท่องตั้งแต่สามปีก่อนที่ปู้ชิวเซียวจะถูกกำหนดให้เป็น เจ้าแห่งเรือนคนต่อไป”
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิด นั่นน่าจะเป็นเรื่องเมื่อห้าสิบสี่ปีก่อน จึงกล่าวว่า “ปีนั้นเจ้าแห่งเรือนคนก่อนอยู่ในกระท่อมฟาง แจกไม้ไผ่เจี่ยนตู๋ให้นักเรียนในเรือน ปู้ชิวเซียวคนเดียวได้ไปสิบแท่ง สร้างความไม่พอใจให้แก่หลายคน”
จิ๋งจิ่วเคาะคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
เสียงของหลิ่วสือซุ่ยดังสะท้อนไปมาในห้องหนังสือ
คันฉ่องฟ้ากระจ่างส่งเสียงดังชัดเจนออกมาเป็นระยะ คล้ายกำลังประกอบจังหวะ
“เมื่อสี่สิบเก้าปีก่อน ปู้ชิวเซียวกลายเป็นเจ้าเรือน พาบัณฑิตสี่สิบกว่าคนขึ้นเหนือ เขียนยันต์อยู่ในกองทัพเสินเว่ยสามปี”
“เมื่อสี่สิบเจ็ดปีก่อน ระเบียงลมพันลี้เกิดเรื่อง มหาปุโรหิตของเผ่าหมิงขี่ปีศาจลอบโจมตี ปู้ชิวเซียวเข้าช่วยชีวิตคนธรรมดาจึงได้รับบาดเจ็บ ริมทะเลสาบจิ้งหูมีโลหิตปีศาจที่เหมือนน้ำหมึกเจิ่งนอง”
“เมื่อสี่สิบห้าปีก่อน บัณฑิตเหยียนขโมยพู่กันครองเมืองหนีไปจากเรือนอี้เหมา”
“เมื่อสี่สิบปีก่อน...”
……
……
“หยุด ถอยกลับไปที่สี่สิบเจ็ดปีก่อน”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ในบันทึกได้เขียนเอาไว้หรือไม่ว่าโลหิตปีศาจที่เหมือนน้ำหมึกนั้นมาจากปีศาจอะไร?”
หลิ่วสือซุ่ยส่ายศีรษะ กล่าวว่า “ไม่มีขอรับ ในบันทึกที่เพิ่มขึ้นมาภายหลังก็บอกไว้เพียงว่าปีศาจยักษ์ตนนั้นผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในทะเลสาบจิ้งหู ลำคอของมันมีลักษณะเรียวยาว”
“เมื่อยี่สิบเจ็ดปีก่อน ปู้ชิวเซียวอยู่ที่ไหน?”
“ จัดงานชุมนุมเหมยฮุ่ยอยู่ในเมืองเจาเกอขอรับ”
“ฤดูใบไม้ร่วงปีนั่นล่ะ?”
“หลังจบงานชุมนุมเหมยฮุ่ย เขาก็ท่องเที่ยวไปบนโลกเป็นเวลายี่สิบกว่าวัน ถึงจะกลับไปยังเรือนอี้เหมาขอรับ”
จิ๋งจิ่วไม่ได้ถามอะไรต่อ นิ้วมือลูบไล้ไปบนคันฉ่องฟ้ากระจ่างอย่างแผ่วเบา มองดูน้ำชาที่อยู่ภายในถ้วย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าคุณชายจะต้องพบความลับอะไรบางอย่างจากในบันทึกประจำวันเหล่านี้อย่างแน่นอน จึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
…………………………………………………………………..
[1]แผ่นไม้เจี่ยนตู๋ คือ แผ่นไม้ไผ่สำหรับใช้เขียน