มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 44 สิ่งสำคัญของเรื่องราวคือการแต่งและการทำซ้ำ
ผิวของคันฉ่องฟ้ากระจ่างมีลวดลาย แต่ว่าเล็กละเอียดอย่างมาก
บนนิ้วมือเองก็มีลายเส้น แต่ว่าเล็กละเอียดมากกว่า
ดังนั้นในตอนที่นิ้วมือค่อยๆ ลูบไปบนคันฉ่องฟ้ากระจ่างจึงไม่มีเสียงใดๆ
ห้องหนังสือเงียบสงัดเหมือนเวลาส่วนใหญ่ในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา
เวลาค่อยๆ เดินไป จิ๋งจิ่วมองดูชาที่อยู่ในถ้วย ยังคงไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่ากำลังคิดคำนวนความลับที่น่าตกตะลึ งอะไรอยู่
หลิ่วสือซุ่ยยิ่งตื่นเต้น รู้สึกกระหายเล็กน้อย จึงหยิบถ้วยชาขึ้นมา ดื่มชาที่เย็นแล้วไปจนหมด จากนั้นถึงจะพบว่า าตนเองได้ทำ พลาดไป
เขากำถ้วยชาเอาไว้แน่น ค่อยๆ หมุนตัว เดินไปตรงหน้าเตาอย่างเงียบๆ แล้วเริ่มต้มชา
ในระหว่างนี้ สายตาของจิ๋งจิ่วไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขากำลังมองอยู่นั้นมิใช่ชาที่อยู่ใน ถ้วย
น้ำภายในกาค่อยๆ เดือด ส่งเสียงดังสับสน
หลิ่วสือซุ่ยเอาถ้วยชาวางลงตรงหน้าเขา ไม่กล้ารบกวนอีก ก่อนจะถอยไปยืนอยู่ด้านข้าง
ยอดอ่อนของชาใหม่ภายในถ้วยชาค่อยๆ เบ่งบานออก แต่สีหน้าของจิ๋งจิ่วกลับไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนคลาย
บันทึกที่อยู่ในบันทึกประจำวันเหล่านั้น เรื่องราวที่ดูเหมือนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเหล่านั้น คำพูดที่ดูเป็นปกติเ เหล่านั้นคล้ายมี ความเกี่ยวโยงที่ลึกลับอะไรบางอย่างระหว่างกันอยู่
ความเกี่ยวโยงเหล่านั้นก็เป็นเหมือนกับฟองอากาศเล็กๆ ที่อยู่ในน้ำชา ที่ปรากฏขึ้นมาก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วโดยไ ไม่ทราบสาเหตุ ยากที่จะมองตามได้ทัน
……
……
เลือดปีศาจที่เป็นเหมือนน้ำหมึก[1]
มังกรมั่วเจียว
กระดูกมังกรเจียว
กระดูกที่สามารถใช้แช่สุราได้
ในส่วนลึกภายใต้ดวงตาของจิ๋งจิ่วมีลำแสงกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นมา สว่างเจิดจ้าและแหลมคมเป็นที่สุด
ในปีนั้นหลังจากถูกเทพกระบี่ซีไห่โจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาและกั้วตงก็ท่องเที่ยวไปบนแผ่นดินเฉาเทียนเป็นเว วลาสามปี ผ่านฤดูต่างๆ มาสิบกว่าฤดู มองเห็นทิวทัศน์มามากมาย แล้วก็ย่อมพูดคุยกันไม่น้อย
เขาไม่ชอบฟังนางพูดเรื่องหลักการและเหตุผล นางทราบถึงจุดนี้ดีกว่าใคร ดังนั้นในบทสนทนาเหล่านั้นจึงไม่มีการพูดถ ถึงปณิธานอันยิ่งใหญ่ของนาง ไม่มีความรู้สึกกังวลและแผนการที่นางวางเอาไว้สำหรับโลกแห่งการบำเพ็ญพรตและอนาคตขอ องเผ่าพันธุ์มนุษย์ ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต
เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตก็คือเรื่องในครอบครัว ญาติเพียงคนเดียวที่กั้วตงมีอยู่ในโลกนี้ก็คือเหอจานที่ เป็นหลานของนาง
จิ๋งจิ่วคาดเดาได้อย่างง่ายดายว่ามารดาของเหอจานคือใคร
ในสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมีคนที่มีความอาวุโสสูงสุดอยู่สามคน
กั้วตง เจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยและผู้อาวุโสสูงสุด ผู้อาวุโสสูงสุดฟังดูแล้วเหมือนจะมีความอาวุโสสูงสุด แต่ความจริ งแล้วกลับเป็นคนที่เล็กที่สุด
เกี้ยวเล็กผ้าม่านเขียวหลังนั้นสามารถบินได้เอง พาจิ๋งจิ่วเดินทางจากวัดกั่วเฉิงไปยังสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
หลายคนต่างเคยได้ยินผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่ในเกี้ยวผู้นั้นพูด แต่กลับไม่เคยมีใครเลิกผ้าม่านสีเขียวมองดูนางพ พูดมาก่อน
เครื่องมือวิเศษสำหรับถ่ายทอดเสียงสามารถทำเช่นนี้ได้ หรือกระทั่งมีความเป็นไปได้ว่าในหลายๆ ครั้งเป็นตัวเจ้าสำนั กแม่ชีสุ่ยเยวี่ยที่นั่งอยู่ในเกี้ยว
ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต เหอจานมีชื่อเสียงที่สุดเรื่องความโชคดี ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้หนึ่งที่ไม่มีใครคอยหน นุนหลังกลับพบเจอของวิเศษครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องราวดูน่าเหลือเชื่อเสียยิ่งกว่าชีวิตของหวังเสี่ยวหมิงเสียอีก ก วันนี้ดูแล้วอาจจะไม่ใช่ฝีมือของกั้วตงไปเสียทั้งหมด
ในเวลานั้นกั้วตงน่าจะยังอยู่ในรังไหมฟ้า จะจัดการทุกอย่างได้ดีขนาดนั้นได้อย่างไร
เพียงแต่การอนุมานเหล่านี้ไม่มีหลักฐานใดๆ ดูแล้วเหมือนจะไม่มีความหมายใดๆ อยู่เช่นกัน ต่อให้เป็นเรื่องจริง ก็ไม่ มีทางที่จะปะติดปะต่อให้เป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์ได้
จิ๋งจิ่วไม่สนใจ ปล่อยให้ความคิดกระจายตัวไป
เวลายังคงไหลไปเรื่อยๆ ชาร้อนที่อยู่ในถ้วยเย็นลงอีกครั้ง หลิ่วสือซุ่ยหยิบถ้วยชาออกไปเปลี่ยนเป็นชาใหม่
ไอร้อนภายในถ้วยชาลอยขึ้นมา ตกกระทบลงบนผิวของคันฉ่องฟ้ากระจ่างก่อนจะสลายตัวไป ทำให้เขตแดนระหว่างโลกแห่งควา ามเป็นจริงและโลกแห่งความฝันยิ่งดูเลือนลาง
สายตาของจิ๋งจิ่วเลื่อนออกจากถ้วยชา มองตามไอร้อนไปยังผิวของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
ในโลกใบนั้น เขามองเห็นแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่ง มองเห็นเรืออูเผิงลำหนึ่ง มองเห็นสะพานหินแห่งหนึ่ง มองเห็นสำนั กแม่ชีแห่งหนึ่ง มองเห็นทารกคนหนึ่ง
ภายในป่าที่อยู่ห่างออกไป มีบัณฑิตผู้หนึ่งกำลังเดินจากไป พลางหยุดฝีเท้าเหลียวหน้ากลับมามองดูเป็นระยะ
จิ๋งจิ่วคล้ายจะเข้าใจแล้ว รู้ว่าเรื่องราวน่าจะเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐาน
หากเขาคิดที่จะสืบ ก็น่าจะสืบพบความจริงได้ แต่เขาย่อมไม่มีทางไปทำเรื่องแบบนั้น
เขาเพียงแค่ต้องการเรื่องราวนี้ ไม่ได้ต้องการหลักฐาน เพราะเขาไม่ได้คิดที่จะเกลี้ยกล่อมคนที่อยู่ในเรื่องราว เขา าเพียงแค่ต้องการเกลี้ยกล่อมตัวเอง
……
……
จิ๋งจิ่วรู้สึกค่อนข้างเหนื่อย ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ พบว่าค่อนข้างเย็นแล้ว
ต่อให้หลิ่วสือซุ่ยจะขยันขันแข็งแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะทำให้ชาที่อยู่ในถ้วยร้อนอยู่ตลอดเวลาได้ นี่ไม่ได้เกี่ยว วกับความตั้งใจ
เขาเงยหน้ามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง พบว่าค่อนข้างมืดแล้ว ถึงได้พบว่าตัวเองใช้เวลาในการคำนวณนานขนาดนี้
“คุณชาย?” หลิ่วสือซุ่ยตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “พอแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”
หลิ่วสือซุ่ยคิดในใจ ท่านไม่คิดจะแบ่งปันความลับนั้นกับข้าหน่อยหรือ?
จิ๋งจิ่วไม่มีนิสัยแบ่งปันความลับกับเขา อีกทั้งเขาก็มิใช่เจ้าล่าเยวี่ย จากนั้นกล่าวถามว่า “เจ้าจะเป็นตัวแทนเรื อนอี้เหมาเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย?”
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เมื่อก่อนไม่เคยเข้าร่วม เลยรู้สึกอยากรู้น่ะขอรับ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ประลองวิถีพรต?”
หลิ่วสือซุ่ยยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วน กล่าวว่า “พิณหมากเขียนพู่กันข้ารู้เรื่องที่ไหนกันล่ะขอรับ ก็มีแต่ต่อสู้ นี่แหละขอรับ”
ถึงแม้จะเป็นตัวแทนของเรือนอี้เหมา แต่หลิ่วสือซุ่ยก็ยังเป็นศิษย์ชิงซาน ไม่เข้าใจเรื่องพิณหมากล้อมและการเขียน พู่กัน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการต่อสู้ นี่ย่อมต้องเป็นศิษย์ชิงซานอย่างแน่นอน
จิ๋งจิ่วเข้าใจหลักเหตุผลนี้ จึงกล่าวว่า “ซีอี้อวิ๋นไม่เลว เจ้าเรียนรู้จากเขาได้”
หลิ่วสือซุ่ยคิดไม่ถึงว่าคุณชายจะชื่นชมซีอี้อวิ๋นขนาดนี้ จึงรู้สึกตกใจเล็กน้อย
จิ๋งจิ่วกล่าวอธิบายว่า “บัณฑิตของเรื่องอี้เหมาไม่เหมือนกับบัณฑิตที่ยากจนและอวดรู้ในโลกมนุษย์เหล่านั้น พวกเข ขาเป็นบัณฑิตจริงๆ”
ก็เหมือนกับพระของวัดกั่วเฉิงที่ไม่เหมือนกับพระที่หลอกลวงเงินบนโลกเหล่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาเองคงก็ไม่วางใจท ที่จะให้หลิ่วสือซุ่ยไปเรียนอยู่ที่ทั้งสองที่นี้
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวถามว่า “คุณชายมีอะไรจะสั่งอีกไหมขอรับ?”
จิ๋งจิ่วมองไปทางท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง รู้ว่ากู้ชิงกับจัวหรูซุ่ยและจิ๋งซางยังคงหารือเรื่องน นั้นอยู่ที่เรือนลู่กั๋วกง จึงครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนกล่าวว่า “ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ปู้ชิวเซียว ข้าต้องก การพบเขา”
หลิ่วสือซุ่ยตกใจเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เมื่อไรขอรับ?”
จิ๋งจิ่วคิดถึงวันที่จะขอแต่งงาน จึงกล่าวว่า “ต้องมาภายในแปดวัน”
หากให้คนอื่นได้ยินคำขอของเขา จะต้องตกใจจนพูดไม่ออกอย่างแน่นอน ต่อให้เจ้าเป็นศิษย์หลานของนักพรตจิ๋งหยาง เป็ นผู้อาวุโสของยอดเขาเสินม่อ แล้วมีสิทธิ์อะไรให้เจ้าเรือนอี้เหมามาหาเจ้า?
หลิ่วสือซุ่ยย่อมไม่ได้คิดเช่นนี้ เขารับคำจิ๋งจิ่ว
……
……
เวลาแปดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ภายในเรือนอัครมหาเสนาบดีมิได้มีการแขวนโคมไฟประดับประดา ภายในสวนเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ไม่ว่าจะบนต้นไม้หรือบน นพื้นทางเดินก็ล้วนแต่ไม่มีฝุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับเตรียมพร้อมสำหรับรับราชโองการอย่างไรอย่างนั้น
วันนี้เป็นวันที่เรือนจานกั๋วกงจะมาขอแต่งงาน ขั้นตอนต่างๆ ก่อนจะที่ขอแต่งงานได้จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อว วานนี้คุณหนูเจ็ดเฉินซือก็กลับมาจากวัดจิ้งเจวี๋ย ทุกอย่างเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว ทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยความสุข
การที่สามารถทำให้คุณหนูเจ็ดที่ดื้อรั้นและไม่ยอมแต่งงานแต่งออกไปได้ย่อมต้องเป็นเรื่องยินดีที่ควรค่าแก่การเ เฉลิมฉลอง ที่สำคัญกว่านั้นก็คืออัครมหาเสนาบดีเฉินได้ทำการตัดสินใจออกมาแล้ว คนที่อยู่ในเรือนย่อมไม่ต้องแบกรั บความกดดันที่มาจากที่ต่างๆ อีก
ภรรยาของลูกชายของลู่กั่วกงกลับมายังเรือน นางมองเห็นความรู้สึกยินดีบนใบหน้าของเหล่าพี่สะใภ้และพี่เขย จึงรู้ สึกทำตัวไม่ค่อยถูก
ลู่กั๋วกงอยู่ฝ่ายองค์ชายจิ่งเหยา อัครมหาเสนาบดีเป็นศิษย์เรือนอี้เหมา แต่เหล่าญาติมิตรส่วนใหญ่กลับมีสำนักจงโ โจวอยู่เบื้องหลัง นางซึ่งอยู่ตรงกลางรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวชีก็ไม่อยากจะแต่งให้กับลูกชายของจานกั๋วกงผู้นั้นด้วย แล้วพวกท่านมีความสุขกันขนาดนี้มั นเหมาะแล้วหรือ?
ภรรยาลูกชายลู่กั๋วกงเดินเข้าไปในห้องของเฉินซือพลางครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ ก่อนจะพบว่าบนใบหน้านางกลับไม่มีค คราบน้ำตา ภายใต้ดวงตาคล้ายมีความรู้สึกยินดีอยู่ จึงอดประหลาดใจไม่ได้
คุณหนูเจ็ดมิได้ร้องไห้โวยวายอีก เหล่าคุณนายแม่บ้านและสาวใช้ต่างโล่งใจ แต่นางกลับรู้สึกแปลกๆ จึงพูดคุยกับเฉ ฉินซือสองสามประโยค จากนั้นค่อยๆ ออกไปยังเรือนด้านหลังเพื่อหาลู่หมิง ก่อนจะบอกเล่าถึงสถานการณ์ของเฉินซือเสียง เบาๆ พลางกล่าวถามอย่างเป็นห่วงว่า “วันนี้คงไม่เกิดเรื่องใช่ไหม?”
ลู่หมิงมองดูนาง ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ต่อให้เกิดเรื่อง มันก็เป็นเรื่องดี”
ฮูหยินได้ฟังคำพูดนี้ก็มิได้รู้สึกวางใจ แต่กลับยิ่งรู้สึกแปลกๆ
ลู่หมิงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย กล่าวว่า “จะเริ่มแล้ว ข้าไปดูด้านหน้าหน่อย”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็รีบเดินไปยังเรือนด้านหน้า ในใจคิดว่าหากพลาดเรื่องสนุกนี้ไปคงน่าเสียดายเป็นยิ งนัก
แขกเหรื่อเต็มโถง อัครมหาเสนาบดีเฉินและจานกั๋วกงยืนคู่กันอยู่บนแทน บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
ลู่หมิงมองดูบุตรชายผู้สืบทอดที่หน้าตาหล่อเหลาที่ยืนอยู่ด้านหลังจานกั๋วกงผู้นั้น ในใจคิดว่าหน้าตาไม่ได้ด้อ อยไปกว่าหลีเกอร์เลย แต่เกรงว่างานแต่งครั้งนี้คงจะไม่สำเร็จเสียแล้ว
ตามขั้นตอนประเพณี ทั้งสองฝ่ายต้องกราบไหว้ฟ้าดินและบุพการีตามลำดับ เหล่าแขกในงานมองดูบ่าวสาวด้วยรอยยิ้ม กระทั งขั้นตอนต่างๆ เสร็จเรียบร้อย ก็จะรีบเข้าไปกล่าวแสดงความยินดีกับบ่าวสาว
ในเวลานี้เอง ด้านนอกเรือนอัครมหาเสนาบดีพลันมีเสียงวุ่นวายดังขึ้นมา
เหล่าแขกเหรื่อภายในงานต่างตกใจ มองออกไปทางด้านนอกเรือน ในใจคิดว่าใครที่ไหนกล้ามาวุ่นวายถึงหน้าประตูเรือนอั ครมหาเสนาบดี
ผู้ดูแลและเหล่าคนคุ้มกันต่างถอยเข้ามาในเรือนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ไม่กล้าเข้าไปขวาง
คนกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาในเรือน
คนที่เดินอยู่หน้าสุดคือลู่กั๋วกง
ใครจะกล้าทำร้ายเขา?
………………………………………………………
[1]น้ำหมึก ภาษาจีนออกเสียงว่ามั่ว