มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 45 แย่งแต่งงาน?
เมื่อเห็นลู่กั๋วกงพาคนกรูเข้ามา เหล่าแขกภายในงานก็ตกใจ ในใจคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?
มีบางคนคิดขึ้นมาได้ว่าครอบครัวของลู่กั๋วกงและครอบครัวของอัครมหาเสนาบดีเฉินเกี่ยวดองเป็นญาติกัน อีกทั้งยังอาศัยอยู่ใกล้กัน แต่วันนี้กลับไม่ได้รับเชิญจากอัครมหาเสนาบดีเฉินให้มาร่วมงาน หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองเรือน? สายตาจำนวนมากต่างมองไปยังตัวลูกสาวของลู่หมิงทันที
ลู่หมิงเดินเข้าไปหาพ่อของตัวเองอย่างรวดเร็ว แสร้งทำเป็นกล่าวอย่างตกใจว่า “ท่านพ่อ ท่านสุขภาพไม่ค่อยดีไม่ใช่หรือ? ทำไมจู่ๆ ถึงมาที่นี่ล่ะขอรับ?”
แต่อาการตกใจของฮูหยินของเขากลับเป็นเรื่องจริง นางกล่าวเสียงสั่นเครือว่า “ท่านพ่อ นี่ท่าน….นี่ท่าน….”
ลู่กั๋วกงโบกมือเพื่อบอกให้ลู่หมิงถอยไป วันนี้ไม่จำเป็นต้องแสร้งเล่นละครเหล่านี้ จากนั้นยิ้มให้กับลูกสะใภ้อย่างอ่อนโยนพลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร แค่มาคุยเรื่องวันเก่าๆ กับพ่อของเจ้าเท่านั้น”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็เดินเข้าไปยังสวนที่อยู่ด้านหน้า
เหล่าแขกภายในงานรีบเปิดทาง ต่างคนต่างพากันโค้งคำนับคารวะ ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย
เมื่อก่อนลู่กั๋วกงทำตัวเรียบง่ายไม่โดดเด่น แต่ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ โดยเฉพาะเมื่อถูกจิ๋งจิ่วใช้งานมามากมายขนาดนี้ เขาจึงไม่สามารถทำตัวเรียบง่ายต่อไปได้อีก มีใครไม่รู้บ้างว่าเขาต่างหากที่เป็นคนสนิทอันดับหนึ่งที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทอย่างแท้จริง
อัครมหาเสนาบดีเฉินมองดูกลุ่มคนที่เดินเข้ามา เขาย่อมต้องรู้ว่าขุนนางที่เดินอยู่ข้างกายลู่กั๋วกงผู้นั้นก็คือจิ๋งซาง ส่วนชายหนุ่มที่ดู…หน้าตาหล่อเหลาที่อยู่ด้านหลังจิ๋งซางก็คือจิ๋งหลี เขาสูดหายใจลึกๆ พยายามสะกดความโกรธที่อยู่ภายในใจ มองไปทางลู่กั๋วกงพลางกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “จู่ๆ วันนี้กั๋วกงมาเยือน มีเรื่องใดหรือ?”
ลู่กั๋วกงแสร้งทำเป็นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พวกเราเป็นญาติกัน ท่านจะแต่งหลานสาว แล้วทำไมข้าถึงจะมาไม่ได้? ท่านไม่เชิญข้า เป็นท่านที่เสียมารยาท แต่ข้าไม่โทษท่าน”
อัครมหาเสนาบดีเฉินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หรือท่านไม่รู้ว่าเหตุใดข้าถึงไม่เชิญท่าน?”
เขาชี้ไปยังจิ๋งซางพลางกล่าวว่า “ท่านมานั้นยังถือว่าพอมีเหตุผล แต่ท่านจิ๋งล่ะ? ท่านพาเขามาทำไม? วัดไท่ฉางจะทำคดีอย่างนั้นรึ!”
ในตอนที่กล่าวถึงช่วงสุดท้าย เสียงของเขาก็ดังขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าโมโหเป็นอย่างมาก
“เดิมข้าคิดจะบอกว่าพวกเราสามครอบครัวต่างก็เป็นเพื่อนบ้านกัน ท่านไม่เชิญเขาก็ถือว่าเสียมารยาทเช่นเดียวกัน แต่ท่านทราบดีว่าวันนี้เขามาทำไม มา เจ้าพูดเองก็แล้วกัน”
ลู่กั๋วกงกล่าวจบประโยคนี้ก็เปิดทางให้จิ๋งซางเดินเข้ามา
เมื่อหลายปีก่อน จิ๋งจิ่วปรากฎตัวอย่างยิ่งใหญ่ขึ้นบนโลก ด้วยการประจบสอพลอและจัดการของคนบางคน เรือนตระกูลจิ๋งได้ทำการซ่อมแซมขยายตัวเรือนออกไป จนเชื่อมต่อเข้ากับตัวเรือนของลู่กั๋วกงและอัครมหาเสนาบดี
ในเวลานั้นจิ๋งหลีก็ได้รู้จักกับเฉินซือตรงกำแพงสวน ตอนนั้นพวกเขายังเป็นเพียงเด็กน้อย
เหล่าแขกที่อยู่ภายในงานอาจจะ ไม่ทราบถึงเรื่องราวเหล่านี้ แต่มีหรือที่พวกเขาทั้งสามครอบครัวจะไม่รู้
อัครมหาเสนาบดีเฉินจ้องมองดวงตาของจิ๋งซาง กล่าวว่า “ท่านจิ๋ง หรือท่านคิดจะบีบบังคับข้าจริงๆ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ภายในงานพลันเงียบสงัด
มีแขกคนหนึ่งตกใจเป็นอย่างมาก กล่าวถามเสียงเบาว่า “นั่นมันท่านจิ๋งจากวัดไท่ฉางมิใช่หรือ? เหตุใดท่านอัครมหาเสนาบดีถึง…”
สายตาดูถูกจำนวนนับไม่ถ้วนต่างมองไปที่เขา
มีขุนนางคนหนึ่งแค่นหัวเราะกล่าวขึ้นมาว่า “หรือท่านไม่รู้ว่าน้องชายของท่านจิ๋งเป็นใคร? ที่ตระกูลจิ๋งสามารถเป็นเพื่อนบ้านกับเรือนอัครมหาเสนาบดีและเรือนกั๋วกงได้ ท่านไม่รู้สึกสงสัยบ้างหรือว่าเป็นเพราะเหตุใด?”
หลังงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเมื่อหลายร้อยปีก่อน ราชวงศ์ตระกูลจิ่งก็ได้กลายเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างโลกแห่งการบำเพ็ญพรตและโลกมนุษย์ ชาวบ้านทั่วไปย่อมไม่รู้ว่าจิ๋งจิ่วเป็นใคร แต่เหล่าขุนนางระดับสูงภายในเมืองเจาเกอกลับทราบเป็นอย่างดี
ทั่วทั้งโลกต่างให้การยอมรับว่าจิ๋งจิ่ว นั้นเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์ แล้วก็เป็นกระบี่ที่ชี้มายังเมืองเจาเกอของชิงซาน
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าวันนี้จานกั๋วกงมายังเรือนอัครมหาเสนาบดีเพื่อขอแต่งงาน แล้วลู่กั๋วกงพาจิ๋งซางมาที่นี่ทำไม?
จิ๋งซางถอนใจพลางกล่าว “ข้าน้อยไหนเลยจะกล้าทำให้ท่านอัครมหาเสนาบดีลำบากใจ ข้าเพียงแต่ต้องทำหน้าที่พ่อแม่เท่านั้น”
อัครมหาเสนาบดีเฉินย่อมต้องรู้ดีกว่าใครว่าเบื้องหลังของจิ๋งซางนั้นมีใครอยู่ หากเป็นเมื่อก่อนนี้ ตระกูลจิ๋งย่อมต้องเป็นคู่ที่เหมาะสมที่จะเกี่ยวดองด้วย
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเขาเป็นผู้นำของเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นที่คัดค้านไม่ให้จิ๋งเหยาขึ้นครองราชย์อย่างหัวชนฝา แล้วเขาจะปล่อยให้หลานสาวของตัวเองแต่งงานกับจิ๋งหลีซึ่งเป็นเพื่อนเรียนหนังสือของจิ่งเหยา แล้วก็มีชิงซานอยู่เบื้องหลังได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นจิ๋งจิ่วก็เป็นแค่เพียงผู้อาวุโสของยอดเขาเสินม่อ แต่ต่อให้เขาเป็นเจ้าสำนักชิงซาน อัครมหาเสนาบดีก็ไม่มีทางตกลงกับการแต่งงานครั้งนี้ เผลอๆ อาจจะคัดค้านหนักเสียยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ
จานกั๋วกงก้าวออกไปข้างหน้า ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? จะคัดค้านงานแต่งครั้งนี้อย่างนั้นหรือ?”
จิ๋งซางกล่าว “ไม่ขอรับ ข้าเพียงแต่มาขอคุณหนูเจ็ดแห่งเรือนอัครมหาเสนาบดีแต่งงานแทนลูกชายของข้าเท่านั้น”
ลู่กั๋วกงทอดถอนใจว่า “จิ๋งหลีและคุณหนูเจ็ดรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งสองรักใคร่กัน ไยท่านอัครมหาเสนาบดีต้องขัดขวางด้วย?”
คำพูดนี้กล่าวกับอัครมหาเสนาบดี แต่สายตาเขากลับมองไปยังใบหน้าของจานกั๋วกง
จานกั๋วกงโกรธเกรี้ยว ในใจคิดว่าเจ้าแก่นี่จะหยามกันเกินไปแล้ว จึงกล่าวตะคอกเสียงดังว่า “ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครมันจะกล้ามาหยุดงานแต่งงานนี้!”
จานกั๋วกงทั้งสามรุ่นล้วนแต่เป็นศิษย์นอกสำนักของสำนักจงโจว จนกระทั่งมาถึงรุ่นเขาถึงได้มีอำนาจอยู่ในกองทัพ ถึงแม้จะไม่ได้รับความเมตตาจากฝ่าบาทเหมือนอย่างลู่กั๋วกง แต่เขาก็ไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
ขุนนางบางคนมีการตอบสนองที่รวดเร็ว ในใจคิดว่างานแต่งครั้งนี้ถึงขนาดทำให้ลู่กั๋วกงที่เป็นคนเรียบง่ายมาโดยตลอดบุกเข้ามาถึงที่นี่ เกรงว่า….นี่คงเป็นความต้องการจากในวัง
แล้วก็เป็นดังคาด ลู่กั๋วกงเองก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำกับจานกั๋วกง เขาหยิบเอาพระราชโองการฉบับหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ มองไปทางอัครมหาเสนาบดีแล้วกล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี เชิญรับราชโองการเถอะ”
ภายในเรือนอัครมหาเสนาบดีมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา ก่อนจะเงียบสงัดลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีเสียงใดๆ ดังเล็ดรอดขึ้นมาแม้แต่น้อย
อัครมหาเสนาบดีเฉินมองดูสวนที่เก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน มองดูธูปเทียนที่เตรียมเอาไว้กราบไหว้ฟ้าดิน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยัน แต่กลับไม่ได้มีท่าทีว่าจะคุกเข่าลงไป
ภายในใจของลู่กั๋วกงเต้นตึกตักๆ แต่ก็ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากขนาดนั้น เขากางพระราชโองการออกก่อนจะเริ่มอ่านออกมา
ภายในสวนมีเสียงคนคุกเข่าดังขึ้นมา แต่กลับยังคงมีหลายคนที่ยืนอยู่ รวมไปถึงอัครมหาเสนาบดีเฉินด้วย
ก็เป็นเหมืนอย่างที่หลายๆ คนคิดเอาไว้ พระราชโองการของฝ่าบาทนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงต้องการจัดงานแต่งให้จิ๋งหลีและเฉินซือ
ลู่กั๋วกงอ่านพระราชโองการจบก็ยื่นพระราชโองการไปตรงหน้าอัครมหาเสนาบดี ก่อนจะกล่าวเตือนว่า “เหล่าเฉิน ยังไม่รับพระราชโองการ?”
อัครมหาเสนาบดีเฉินยืนสองมือไพล่หลัง มองลู่กั๋วกงอย่างเงียบๆ ก่อนกล่าวว่า “ข้าแต่งลูกสาวคนเล็กที่ข้ารักมากที่สุดให้กับลู่หมิงที่ดื้อรั้นที่สุดในตอนนั้น ข้าคิดมาตลอดว่าข้าสายตาเฉียบแหลม แต่แน่นอนว่าเป็นเพราะท่านสั่งสอนมาดีด้วย พวกเราสองตระกูลเกี่ยวดองเป็นญาติกัน แล้ววันนี้มันหมายความว่าอย่างไร ท่านคิดจะบีบข้าอย่างนั้นหรือ?”
ลู่กั๋วกงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนต่างรู้ว่าฝ่าบาททรงต้องการจะแต่งตั้งองค์ชายจิ่งเหยาเป็นรัชทายาทมาโดยตลอด เพียงแต่ถูกเหล่าขุนนางโดยมีอัครมหาเสนาบดีเป็นผู้นำคอยคัดค้านเอาไว้
วันนี้ทรงมีพระราชโองการสั่งให้แต่งงานฉบับนี้ออกมา เกรงว่าคงยังมีความหมายอื่นแอบแฝงเอาไว้อีก
ภายในสวนเงียบสงัด บรรยากาศตึงเครียดเป็นอย่างมาก
อัครมหาเสนาดีเฉินสูดหายใจลึกๆ ก่อนกล่าวว่า “ต่อให้ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้แต่งงาน ข้าก็ไม่อาจเห็นด้วยกับการแต่งงานนี้ได้ ดังนั้นพระราชโองการฉบับนี้ ข้าจึงไม่อาจรับเอาไว้ได้”
กลุ่มคนมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเงียบลงไปอย่างรวดเร็ว เหล่าขุนนางสบตากันไม่พูดอะไร
อัครมหาเสนาบดีเฉินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้าเรียนหนังสืออยู่ในเรือนอี้เหมามาเพียงเจ็ดปี แต่ข้าจำคำพูดประโยคหนึ่งได้ไม่เคยลืม นั่นก็คือหากราชาสั่งการไม่ถูกต้อง ขุนนางไม่ทำตาม”
หากบอกว่าพระราชโองการให้แต่งงานของฝ่าบาทมีความหมายที่ลึกซึ้งแอบซ่อนเอาไว้อยู่ เช่นนั้นคำตอบของอัครมหาเสนาบดีเองก็มีความหมายที่ลึกซึ้งเช่นเดียวกัน
ลู่กั๋วกงจ้องมองดวงตาของเขาพลางกล่าวว่า “ท่านน่าจะทราบดีว่านี้มิใช่เป็นเพียงความคิดของฝ่าบาทเท่านั้น”
“สำนักชิงซานร้ายกาจนักหรือ?”
ด้านหลังจานกั๋วกงมีเสียงที่ฟังดูเฉยชาดังขึ้นมา
ผู้คนหันมองไป พบว่าชายหนุ่มที่พูดก็คือหนึ่งในหลายๆ คนที่ไม่ยอมคุกเข่าลงก่อนหน้านี้
ชายผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่ ดูเย็นยะเยือกและดุร้าย ให้ความรู้สึกที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก
ไป๋เชียนจวินคืออันดับสองในงานชุมนุมแสวงมรรคา เป็นยอดฝีมือขั้นจิตก่อรูปที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นญาติห่างๆ ของนักพรตไป๋ด้วย
เขาปรากฏตัวขึ้นในเรือนอัครมหาเสนาบดี เช่นนั้นก็ย่อมต้องเป็นตัวแทนสำนักจงโจวยืนอยู่ฝั่งจานกั๋วกง
ในเวลานี้เอง ด้านหลังลู่กั๋วกงก็มีเสียงดังขึ้นมาเช่นเดียวกัน
เสียงนั้นฟังดูค่อนข้างเกียจคร้าน ดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา แต่สิ่งที่พูดออกมากลับทำให้ร่างกายของใครหลายๆ คนต้องสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย
“ถูกต้อง ชิงซานร้ายกาจ….”
จัวหรูซุ่ยเดินออกมาจากด้านหลังลู่กั๋วกง
เหล่าแขกภายในงานไม่รู้ว่าเขาคือใคร แต่พอจะเดาที่มาที่ไปของเขาได้ จึงพากันแตกตื่นขึ้นมา
สีหน้าของไป๋เชียนจวินดูแย่ขึ้นมาเล็กน้อย
จัวหรูซุ่ยมองเขา ก่อนกล่าวอย่างเฉยชาว่า “มีปัญญาก็เอาชนะข้าให้ได้สิ”
…………………………………………………………….