มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 46 ต้นหยางและต้นหลิวบนฝั่ง
ภายในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง จัวหรูซุ่ยลอบสังหารฮ่องเต้แคว้นฉินไม่สำเร็จ แต่ระหว่างเขากับไป๋เชียนจวิน ใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอนั้นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน กระทั่งเหล่าผู้อาวุโสของสำนักจงโจวก็ยังไม่สามารถปฏิเสธได้
สีหน้าของไป๋เชียนจวินยิ่งดูแย่
แขกเหรื่อภายในเรือนอัครมหาเสนาบดีคาดเดาได้แล้วว่าเขาและจัวหรูซุ่ยคือใคร จึงตกตะลึงเป็นอย่างมาก
นี่เป็นแค่เพียงงานขอแต่งงานภายในเมืองเจาเกองานหนึ่งเท่านั้น ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะเป็นเรือนอัครมหาเสนาบดีและเรือนกั๋วกง แต่มันไปเกี่ยวพันถึงอาจารย์เซียนที่เดิมควรจะอยู่ห่างไกลจากโลกปุถุชนได้อย่างไร?
ไม่นานแขกเหล่านั้นก็เข้าใจ ก็เหมือนกับเหตุผลที่ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้แต่งงาน การแต่งงานครั้งนี้มิใช่เป็นแค่เพียงการแต่งงานธรรมดา หากแต่แสดงถึงอะไรที่มากกว่านั้น
หากอัครมหาเสนาบดียินดีที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลจิ๋ง นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเขาและเหล่าขุนนางในราชสำนักมีโอกาสที่จะสนับสนุนองค์ชายจิ่งเหยาให้ขึ้นครองราชย์
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเรือนอี้เหมาไม่มีทางอนุญาตให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน อัครมหาเสนาบดีไม่มีทางที่จะตอบตกลงการแต่งงานครั้งนี้ หรือสำนักชิงซานคิดจะดึงดันที่จะแต่งให้ได้?
……
……
ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทหรือว่าการแต่งงานครั้งนี้ ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถใช้กำลังผลักดันได้ อย่างน้อยก็ไม่สามารถทำได้ในเวลานี้
กู้ชิงยืนอยู่ใต้ต้นไม้มองดูจัวหรูซุ่ยที่กำลังเผชิญหน้ากับไป๋เชียนจวิน ภายในใจกำลังครุ่นคิดเช่นนี้
นี่เป็นสถานการณ์ที่ยากจะคลี่คลายได้ ภายในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง เพลิงไหม้ในเมืองเสียนหยางได้อธิบายทุกอย่างเอาไว้อย่างกระจ่าง
เช่นนั้นก็ได้แต่ต้องเดินทางเส้นอื่น
ตามที่จัวหรูซุ่ยคิด สู้ชิงตัวคุณหนูเจ็ดแห่งเรือนอัครมหาเสนาบดีมา จากนั้นส่งไปยังชิงซานพร้อมกับจิ๋งหลีดีกว่า แต่กู้ชิงรู้ว่าการทำแบบนั้นมีแต่จะยิ่งทำให้สถานการณ์ยุ่งยากและเกิดผลเสียมากขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือนั่นมิใช่ผลลัพธ์ที่อาจารย์ต้องการ
กู้ชิงมองดูบุตรชายของจานกั๋วกงที่ใบหน้าหล่อเหลาและดูสุขุมนุ่มลึกผู้นั้น ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
บุตรชายผู้สืบทอดของจานกั๋วกงผู้นี้ถือเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง แม้นในวันที่ขอแต่งงานจะเจอเรื่องราวเช่นนี้ แต่เขาก็ยังรักษาความสุขุมเอาไว้ได้อยู่
ประเดี๋ยวตอนที่ได้เห็นแม่นางคนนั้นและลูกของตัวเอง เจ้ายังจะใจเย็นอย่างนี้ได้หรือเปล่า?
……
……
บนถนนที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนอัครมหาเสนาบดีมีร้านอัญมณีอยู่แห่งหนึ่ง
ร้านอัญมณีแห่งนี้เป็นของตระกูลกู้
ตระกูลกู้เป็นตระกูลใหญ่อยู่ในแผ่นดินทางใต้ หลังพยายามมาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยมีเรือนลู่กั๋วกงและตระกูลเจ้าคอยให้ความช่วยเหลือ ในที่สุดพวกเขาก็ปักหลักอยู่ในเมืองเจาเกอได้
ภายในห้องที่ลับที่สุด เจ้าของร้านอัญมณีซึ่งเป็นคนของตระกูลกู้มองไปทางหญิงสาววัยกลางคนที่อุ้มเด็กคนหนึ่งเอาไว้ในอ้อมอก นางมีใบหน้าขาวซีดแต่ยังดูงดงามอยู่ จากนั้นเจ้าของร้านอัญมณีกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล แค่ทำตามที่พวกเราได้คุยกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นพวกข้าจะพาเจ้าออกไปจากเมืองเจาเกอ ให้เจ้าได้แต่งงานกับคนดี แล้วก็ยังเตรียมเงินเอาไว้ให้เจ้าด้วย”
หญิงสาวผู้นี้เคยเป็นสาวคณิกาที่มีชื่อเสียงที่สุดในหอนางโลมของเมืองเจาเกอ เมื่อหลายปีก่อนถูกบุตรชายของจานกั๋วกงแอบไถ่ตัวออกมา ก่อนจะให้นางพักอาศัยอยู่ที่เรือนอีกแห่งและให้กำเนิดลูกสาวออกมาคนหนึ่ง เมื่อปีที่แล้วเรือนจานกั๋วกงต้องการ เกี่ยวดองกับเรือนอัครมหาเสนาบดี พวกเขาย่อมต้องการเก็บกวาดเรื่องนี้ให้สะอาดสะอ้าน เพียงแต่ใครจะไปคิดถึงว่านางจะยังไม่ตาย อีกทั้งยังถูกตระกูลกู้เก็บซ่อนตัวเอาไว้
หญิงสาวคิดถึงผู้ดูแลของตระกูลกู้ที่บุกเข้าไปในเรือนในคืนนั้น ใบหน้ายิ่งขาวซีด กอดลูกเอาไว้ในอ้อมอกแน่นขึ้นพลางพยักหน้า
ตามแผนการที่วางเอาไว้เดิม ในเวลานี้นางควรจะถูกส่งตัวเข้าไปในเรือนอัครมหาเสนาบดีและบอกเล่าความจริงนี้ต่อหน้าอัครมหาเสนาบดีและแขกเหรื่อที่มากันเต็มงาน
ในเวลานี้เอง บัณฑิตผู้หนึ่งได้เดินเข้ามาในห้อง
ที่นี่คือห้องที่ลับที่สุดของร้านอัญมณี เขาเดินเข้ามาได้อย่างไร?
เขามองดูหญิงสาวที่อุ้มเด็กเอาไว้ผู้นั้น พลางกล่าวยังสงสารว่า “ตกอยู่ในมือตระกูลกู้ก็ใช่ว่าจะดี หากเจ้าไม่กลัวความลำบาก สู้ไปเป็นคนซักเสื้อผ้าอยู่ในเรือนอี้เหมาไม่ดีกว่าหรือ เงินที่หาได้ในแต่ละเดือนแม้จะน้อยไปบ้าง แต่ลูกของเจ้าสามารถเรียนหนังสือได้โดยไม่เสียเงิน ถือเป็นทางออกอีกทางหนึ่งให้เจ้า”
……
……
ผ่านไปไม่นาน
บัณฑิตผู้นั้นก็เดินออกมาจากในร้านอัญมณี จากนั้นไปยังเรือนอัครมหาเสนาบดี
อัครมหาเสนาบดีเฉินมองดูเขา รู้สึกค่อนข้างแปลกใจ จึงเดินเข้าไปต้อนรับพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องอวิ๋น เหตุใดถึงมาที่นี่ล่ะ?”
บัณฑิตผู้นั้นก็คือซีอี้อวิ๋นแห่งเรือนอี้เหมา เขาคารวะอัครมหาเสนาบดีพลางกล่าวว่า “อาจารย์ก็มาด้วยเช่นกันขอรับ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ภายในเรือนอัครมหาเสนาบดีพลันมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา
ปู้ชิวเซียวนั้นมีสถานะเป็นอย่างไร คิดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี้ด้วย
ซีอี้อวิ๋นกล่าวต่อว่า “ท่านมีคำพูดฝากข้ามาบอกศิษย์พี่สองสามประโยค แต่ว่าก่อนหน้านั้น ข้ามีอะไรอยากจะพูดกับสหายชิงซานเสียหน่อย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหล่าแขกที่อยู่ภายในเรือนต่างรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่จากนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง
สำนักชิงซานและสำนักจงโจวทะเลาะกันเพราะงานแต่งงานครั้งนี้ ตอนนี้เรือนอี้เหมายังยื่นมือเข้ามาเพื่อจะสนับสนุนท่านอัครมหาเสนาบดีอีก!
สิ่งที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมายก็คือซีอี้อวิ๋นไม่ได้มองไปทางจัวหรูซุ่ย หากแต่มองไปยังใต้ต้นไม้ที่อยู่นอกกลุ่มคน
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองตามไป ก่อนจะมองเห็นคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้
ซีอี้อวิ๋นกล่าวกับคนผู้นั้นว่า “อาจารย์ขององค์ชายจิ่งเหยา คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีสกปรกเช่นนี้ นี่ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังเสียจริง”
เหล่าแขกภายในงานถึงได้รู้ว่าชายหนุ่มที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษคนนั้นคือกู้ชิงแห่งชิงซาน จึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
กู้ชิงไม่ต้องรอจนหญิงคนิกาผู้นั้นปรากฏตัวก็รู้ว่าแผนการนี้ถูกคนล่วงรู้เสียแล้ว
แต่ก็ไม่เป็นไร เขายังมีแผนการเตรียมเอาไว้ให้ลูกชายของจานกั๋วกงอยู่อีกหลายแผน เวลาแปดวันนี้มิได้สูญเปล่า
ต่อให้เรือนอี้เหมาจะมีอิทธิพลอยู่ในเมืองเจาเกอมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะทำลายแผนการทั้งหมดได้
แต่อันดับแรกเขาจำเป็นต้องตอบคำถามนี้ของซีอี้อวิ๋นเสียก่อน เพราะเขาเป็นตัวแทนยอดเขาเสินม่อและองค์ชายจิ่งเหยา
“เจ้าไม่ยินดีที่จะเป็นอาจารย์ของจิ่งเหยา แต่กลับมาแก้ต่างให้คนสกปรกอย่างลูกชายของจานกั๋วกง”
กู้ชิงเดินออกมาจากใต้ต้นไม้ มองซีอี้อวิ๋นพลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่เพียงแต่ผิดหวัง แต่ยังรู้สึกโกรธด้วย”
บริเวณนั้นมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา
จานกั๋วกงโกรธเกรี้ยว
ซีอี้อวิ๋นกล่าวถามอย่างจริงจังว่า “นั่นเป็นเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อน หากเจ้าคิดอยากจะช่วยแม่นางผู้นั้นจริงๆ อยากจะทำลายความไม่ยุติธรรมจริงๆ ไยต้องรอจนถึงตอนนี้?”
กู้ชิงกล่าวว่า “เจ้าอยากจะบอกว่าข้าเจ้าเล่ห์เพทุบาย?”
ซีอี้อวิ๋นกล่าวว่า “ถูกต้อง”
กู้ชิงกล่าวว่า “ข้ามิใช่หลิ่วสือซุ่ยที่คิดแต่อยากจะทำลายความไม่ยุติธรรม ข้าเป็นพ่อค้า จะช่วยคนย่อมต้องการสิ่งตอบแทน”
เมื่อได้ฟังบทสนทนาสองประโยคนี้ ใบหน้าของลูกชายจานกั๋วกงก็ขาวซีดขึ้นมาราวกระดาษ
จัวหรูซุ่ยทนไม่ไหว กล่าวว่า “พวกเจ้ากำลังคุยอะไรอยู่กันแน่?”
ซีอี้อวิ๋นเลิกคิ้วพลางกล่าวว่า “เรื่องนี้ประเดี๋ยวค่อยคุยกัน”
กู้ชิงค่อนข้างโกรธเกรี้ยว กล่าวว่า “เพื่อที่จะไม่แต่งงานกับศิษย์ของชิงซาน ถึงขนาดยอมให้แม่นางเฉินแต่งงานกับคนสกปรกเช่นนี้ เจ้าเรียนหนังสือมาอย่างไรกันแน่?”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าเองก็คัดค้านที่จะให้แม่นางเฉินแต่งงานกับบุตรชายของจานกั๋วกงด้วยเช่นกัน
ซีอี้อวิ๋นส่ายศีรษะ จากนั้นก็มองไปทางอัครมหาเสนาบดีพลางกล่าวว่า “นี่ก็เป็นความคิดของอาจารย์เช่นกันเดียวขอรับ”
ภายในบริเวณนั้นมีเสียงดังฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง
กู้ชิงรู้สึกคาดไม่ถึง กล่าวถามว่า “อย่างนั้นเหตุใดเจ้าต้องถามข้าประโยคนั้น”
ซีอี้อวิ๋นนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ข้าเพียงแต่ไม่เข้าใจว่าพวกเจ้าใช้วิธีอะไรกันแน่… ถึงได้ทำให้อาจารย์เปลี่ยนความคิด”
……
……
ภายในสวนดอกเหมยเก่ามีทะเลสาบเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง
ริมทะเลสาบมีป่าหนาทึบ
ภายในป่ามีอารามแม่ชีเก่าๆ อยู่หลังหนึ่ง
ในอดีตเทียนจิ้นเหรินเคยพักอาศัยอยู่ที่นี่
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านต้นหยางและต้นหลิวที่อยู่บนฝั่ง ไม่มีเสียงเล่นหมากล้อมให้รำคาญใจ รู้สึกสบายเป็นอย่างมาก
บนทะเลสาบมีสะพาน บนสะพานไร้ซึ่งผู้คน
ปู้ชิวเซียวยืนอยู่ริมทะเลสาบ มองดูเงาต้นหยางและต้นหลิวที่สะท้อนอยู่ในน้ำ เงาชุดสีน้ำเงินตกกระทบลงไปในน้ำราวท้องฟ้า
ลักษณะท่าทางของเจ้าแห่งเรือนอี้เหมาผู้นี้ไม่ธรรมดา ให้ความรู้สึกลึกล้ำจนยากประมาณได้
จิ๋งจิ่วเดินลงมาจากสะพาน กล่าวว่า “ข้าบอกเอาไว้ในจดหมายอย่างชัดเจนว่าท่านต้องหยุดงานแต่งงานครั้งนี้ก่อน จากนั้นพวกเราค่อยมาคุยเรื่องอื่น”
ปู้ชิวเซียวกล่าวว่า “ข้าได้ให้ซีอี้อวิ๋นไปแล้ว แต่เจ้าควรจะรู้เอาไว้ว่างานแต่งงานสามารถหยุดได้ แต่มันก็สามารถเริ่มใหม่ได้ทุกเมื่อเช่นกัน ต่อให้ลูกชายของจานกั๋วกงแต่งไม่สำเร็จ ในเมืองเจาเกอก็ยังมีคนอีกมากมายที่สามารถแต่งได้ ดังนั้นข้าหวังว่าการสนทนาหลังจากนี้ มันจะควรค่าแก่การที่้ข้าเดินทางมาที่นี่”
จิ๋งจิ่วไม่ได้กล่าวกระไร หากแต่เดินตรงไปยังอารามแม่ชีหลังเก่าที่อยู่ในป่าหลังนั้น
………………………………………………………