มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 47 ข้าและเจ้าเรือนเชื่อมโยงสองจิต
การขอแต่งงานนั้นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าหากมีสองตระกูลมาขอแต่งงานพร้อมกัน มันก็จะกลายเป็นเรื่องร้าย
ก็เหมือนอย่างแขกที่ไม่ได้รับเชิญนั้นมักจะเป็นแขกที่ไม่ดี อย่างเช่นลู่กั๋วกง จัวหรูซุ่ย แล้วก็ยังมีกู้ชิง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การขอแต่งงานย่อมได้แต่ต้องหยุดลง เหล่าแขกที่มาร่วมงานต่างถูกเชิญให้ออกไปจากเรือน กระทั่งจานกั๋วกงและลูกชายก็ต้องเดินออกไปจากเรือนอย่างอับอาย
จัวหรูซุ่ยกล่าวอย่างชัดเจน ในเมื่อเรือนอี้เหมาปฏิเสธงานแต่งงานครั้งนี้ พวกเจ้ายังจะอยู่ที่นี่ทำอะไร?
ดูเรื่องสนุกหรือ?
สำนักชิงซานจะแสดงปาหี่ลิงหรือ?
อยากตายหรือ?
หืม?
แต่ไป๋เชียนจวินกลับยังอยู่ ไม่ว่าจัวหรูซุ่ยจะกล่าวเยาะเย้ยเสียดสีอย่างไร เขาก็มิได้สนใจ นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับไปไหน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
ในฐานะที่เป็นลูกชายของลู่กั๋วกง และเป็นลูกเขยคนเล็กของอัครมหาเสนาบดี ลู่หมิงรับผิดชอบหน้าที่เทน้ำชาอย่างเต็มที่
น้ำชาเทลงในชาม ส่งเสียงที่ฟังดูเงียบเหงา ทำให้ห้องหนังสือยิ่งดูเงียบสงัด
ในเวลานี้ทั่วทั้งเรือนอัครมหาเสนาบดีไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา อบอวลไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด
ก็เหมือนอย่างไป๋เชียนจวิน ทุกคนต่างรู้ว่าในเวลานี้จิ๋งจิ่วกำลังคุยอะไรบางอย่างอยู่กับปู้ชิวเซียว ต่างคนต่างรอคอยผลลัพธ์จากการพูดคุยครั้งนี้อย่างกระสับกระส่าย
กู้ชิงรับเอาถ้วยชามาพลางกล่าวขอบคุณลู่หมิง ก่อนจะถือเอาไว้ในมือ จากนั้นเดินไปยังริมหน้าต่าง ทอดตามองออกไปยังอีกฟากหนึ่ง
อีกฟากหนึ่งไม่รู้ว่าที่ใด เพราะเขาไม่รู้ว่าอาจารย์และปู้ชิวเซียวนัดคุยกันที่ไหน
ในเวลานี้เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้อาจารย์และปู้ชิวเซียวนัดหมายกัน เช่นนั้นแผนการที่ตนเองเตรียมเอาไว้ในตอนแรกเหล่านั้นก็ย่อมต้องเปล่าประโยชน์
เขาไม่ได้รู้สึกเสียดายหรือว่าเสียเวลา หากแต่รู้สึกโล่งใจ แล้วก็รู้สึกเป็นห่วงอาจารย์ด้วย
การคิดจะเปลี่ยนความคิดของบัณฑิตเรือนอี้เหมานั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากที่สุดในแผ่นดินเฉาเทียนจริงๆ
อาจารย์ท่านคิดจะทำอย่างไรกันแน่?
……
……
จิ๋งจิ่วเดินทะลุผืนป่าที่อยู่ริมทะเลสาบ ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าอารามแม่ชีเก่าหลังนั้น ปู้ชิวเซียวเดินตามมา ยืนอยู่ข้างกายเขา
หากมีคนมาเห็นภาพนี้จะต้องรู้สึกแปลกอย่างแน่นอน หรือพูดอีกอย่างก็คือไม่เข้ากัน ความสามารถและสภาวะของปู้ชิวเซียว ไม่อาจเทียบยอดคนอย่างหลิ่วฉือนักพรตไป๋เทพดาบหรือฉานจึได้ แต่สถานะของเขาสูงส่ง ต่อให้จิ๋งจิ่วเป็นศิษย์หลานของนักพรตจิ่งหยาง หากไปเยือนยังเรือนอี้เหมาก็คงจะได้รับการต้อนรับจากปู้ชิวเซียวอยู่บ้าง แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่ปู้ชิวเซียวจะเดินทางมาพบเขาเป็นการส่วนตัว?
จิ๋งจิ่วกล่าว “เทียนจิ้นเหรินน่าจะแก่กว่าท่าน แต่สำนักกระบี่ซีไห่เพิ่งจะตั้งขึ้นมาได้ไม่นาน”
สวนดอกเหมยเก่าคือสถานที่ที่ใช้จัดงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งแรกเมื่อในอดีต ในเวลานั้นบนโลกนี้ยังไม่มีสำนักกระบี่ซีไห่ คำพูดประโยคนี้ของเขาแอบแฝงความหมายเอาไว้มากมาย
ปู้ชิวเซียวเดินไปยังข้างกายเขา กล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าจะยกเอางานชุมนุมเหมยฮุ่ยขึ้นมาเปรียบ เจ้าคิดว่าการพบกันครั้งนี้สำคัญขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “งานชุมนุมเหมยฮุ่ยในตอนนั้นจัดตั้งขึ้นมาเพื่อกำหนดโครงสร้างของโลกมนุษย์ การพบกันครั้งนี้ของพวกเราก็เพื่อกำหนดโครงสร้างของโลกมนุษย์เช่นเดียวกัน ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกัน”
ผู้ที่จะถูกเลือกมาเป็นฮ่องเต้ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของโลกมนุษย์อย่างแน่นอน ถึงแม้สถานการณ์ในตอนนี้จะ ไม่ได้ตึงเครียดเหมือนเมื่อในอดีต
ปู้ชิวเซียวนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะเป็นตัวแทนชิงซานอย่างนั้นหรือ?”
โดยปกติแล้ว จิ๋งจิ่วไม่มีทางที่จะตอบคำถามที่น่าเบื่อและโง่เขลาเช่นนี้ — หากเจ้าคิดว่าข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นตัวแทนชิงซาน อย่างนั้นเจ้ามาพบข้าทำไม?
แต่ปู้ชิวเซียวนั้นเป็นคนดีจริงๆ ในศึกต่อสู้ระหว่างแคว้นเสวี่ยและเผ่าหมิง เขาทำเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์มากมาย สำนักชิงซานให้การชื่นชมเขามาโดยตลอด
ในอดีตตอนที่เกิดเรื่องขึ้นในคุกสะกดมาร แม้นจะต้องเผชิญหน้ากับมังกรชางหลง ปู้ชิวเซียวก็เรียกเอาจานฝนหมึกหางมังกรออกมาอย่างไม่ลังเล ตัวเขาที่ในมือถือจานฝนหมึกหางมังกรเรียกได้ว่าเสมือนกึ่งเทพ แต่กลับยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักพรตไป๋และนักพรตถาน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังก้าวออกมา ไม่ได้สนใจความรู้สึกของสำนักจงโจว แล้วก็ไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ฉันพันธมิตรของเรือนอี้เหมาและสำนักจงโจวเลย
เรื่องนี้ทำให้จิ๋งจิ่วรู้สึกประทับใจในตัวเขาอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลดทิฐิของตนเองและคุยกับอีกฝ่ายอย่างจริงจัง เขากล่าวว่า “สถานการณ์ภายในเมืองเจาเกอในเวลานี้ล้วนแต่เป็นเพราะข้า ท่านคงจะสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของข้ากับฮ่องเต้อย่างแน่นอน แล้วก็เรื่องที่ว่าสำนักชิงซานคิดจะทำอะไรกันแน่”
ปู้ชิวเซียวนึกว่าเขาหมายถึงเรื่องที่กู้ชิงไปเป็นอาจารย์ให้จิ่งเหยา ไหนเลยจะรู้ว่าเขากำลังคิดอยากจะพูดอีกเรื่องหนึ่ง
ที่ฮ่องเต้ตัดสินใจที่จะกำจัดจิ่งซิน นั่นก็เป็นความคิดของจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วทำแบบนี้เพราะว่าเขาเคยพบจิ่งซินในสวนดอกเหมยเก่า รู้สึกว่าคนผู้นี้ใช้การไม่ได้
“เรื่องแรกนั้นข้าไม่มีทางพูดกับท่าน เพราะข้ากลัวยุ่งยาก แต่อีกเรื่องหนึ่งวันนี้ข้าจะพูดกับท่านให้ชัดเจน”
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “สิ่งที่ชิงซานต้องการนั้นเรียบง่ายและชัดเจน จิ่งเหยาเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป จิ่งซินไปเป็นพระอยู่ที่วัดกั่วเฉิง หรือไม่ก็ตาย”
ปู้ชิวเซียวยิ้มเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เพราะเหตุใด?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบจิ่งซิน ท่านเองก็รู้ว่าเขาใช้ไม่ได้”
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าล่าเยวี่ยที่ถูกแทงในตอนแรก หรือว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายในคุกสะกดมารหลังจากนั้น จิ่งซินและเหล่าขุนนางที่อยู่ด้านหลังเขาก็ล้วนแต่แสดงออกถึงความมุทะลุและโง่เขลาเป็นอย่างมาก
“ท่าทีของเรือนอี้เหมาเองก็ชัดเจน จิ่งเหยาใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน”
ปู้ชิวเซียวมองดูดวงตาของเขาพลางกล่าวว่า “เขาเป็นลูกชายของปีศาจจิ้งจอก”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตอนนี้ปีศาจมังกรเจียวตัวนั้นยังก่อความวุ่นวายอยู่ในต้าเจ๋อ ชางหลงทำเรื่องชั่วร้ายมากมายขนาดนั้นในเมืองเจาเกอ แล้วเคยมีคนจัดการเขาไหม? แล้วก็ยังมีฉีหลินที่อารมณ์ร้าย แล้วก็พวกผู้พิทักษ์ในสำนักข้า… พวกเขาก็ล้วนแต่เป็นปีศาจมิใช่หรือ?”
ปู้ชิวเซียวกล่าวว่า “สัตว์เทพโบราณจะมาเทียบกับพวกปีศาจได้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “สัตว์เทพที่ว่าเดิมก็เป็นปีศาจ เพียงแต่ใช้ชีวิตมานานหน่อย สภาวะร้ายกาจกว่าหน่อยเท่านั้น ต่อให้ไม่พูดถึงปีศาจเหล่านี้ อย่างนั้นฉานจึล่ะ?”
ปู้ชิวเซียวเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “ฉานจึทำไม?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “พ่อบุญธรรมของเขาเป็นปีศาจภูเขาตนหนึ่ง แต่ทำไมวัดกั่วเฉิงถึงไม่เผาเขาให้ตาย?”
ปู้ชิวเซียวนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
จิ๋งจิ่วเดินไปตรงหน้าอารามแม่ชี ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
ในอดีตเทียนจิ้นเหรินเคยพักอาศัยอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง แล้วก็ยังเคยพยายามใช้กระแสจิตลอบทำร้ายเขา ผลปรากฏว่าถูกเขาทำร้ายกลับ หลังศึกลานเมฆสิ้นสุดลง สำนักปัญญาชนไป๋ลู่ก็ถูกเผาจนราบคาบ เทียนจิ้นเหรินหายตัวไป ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด วันนี้กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง เขาพลันรู้สึกแปลกๆ
เขารู้เรื่องแผนจัดการสำนักกระบี่ซีไห่ของกั้วตง แล้วก็รู้ด้วยว่าถงเหยียนยังคงดำเนินแผนการนั้นอยู่ หรือว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?
เมื่อเดินออกมาจากในอารามแม่ชี ปู้ชิวเซียวยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขากล่าวว่า “ต่อให้เจ้ามีเหตุผล ข้าก็ยังไม่อาจเห็นด้วยได้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เป็นหลักการของเรือนอี้เหมา?”
“เจ้าจะบอกว่ามันเป็นกฎก็ได้ กฎคือสิ่งสำคัญของการเป็นคน คือระเบียบ คือรากฐานที่ทำให้มนุษย์สามารถยืนหยัดอยู่บนแผ่นดินเฉาเทียนได้”
ปู้ชิวเซียวกล่าวต่อว่า “ในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง เจ้าเคยได้เห็นแล้วว่าอวิ๋นเอ๋อร์เป็นอย่างไร เช่นนั้นก็น่าจะรู้ว่าบัณฑิตอวดรู้อย่างพวกข้ากำลังคิดอะไรอยู่”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ยึดถือหลักการกับดื้อรั้นมันเป็นคนละเรื่องกัน”
ปู้ชิวเซียวกล่าวว่า “ความจริงข้าอยากรู้มาตลอดว่าคนเราแยกแยะสองสิ่งนี้อย่างไร”
จิ๋งจิ่วมองดูเขาพลางกล่าวว่า “ในตอนนั้นหากบัณฑิตเหยียนบอกกล่าวความผิดของท่านออกมา จากนั้นท่านออกจากตำแหน่งเจ้าเรือน นี่ก็คือการยึดมั่นหลักการ ทว่าเขากลับไม่ยอมพูดออกมา ทั้งยังขโมยพู่กันครองเมืองหนีไป แต่สุดท้ายก็ยังคิดว่าท่านไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้าเรือน นี่ก็คือดื้อรั้น”
คำพูดประโยคนี้ยังมีอีกความหมายหนึ่ง นั่นก็คือถ้าหากเรือนอี้เหมายึดมั่นในหลักการจริงๆ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ต้องมีคนผิดและคนถูก จะมาดูคลุมเครือเหมือนอย่างในตอนนี้ได้อย่างไร?
ปู้ชิวเซียวนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าเป็นอาจารย์อาเล็กของชิงซาน ความจริงข้าเองก็เป็นอาจารย์อาเล็กของเรือนอี้เหมาเช่นกัน บัณฑิตเหยียนเป็นศิษย์หลานของข้า….”
จิ๋งจิ่วไม่สนใจที่จะฟังเรื่องราวในอดีตเหล่านั้น เขากล่าวว่า “เรื่องเหล่านั้นล้วนแต่ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือทำไมเขาถึงคิดว่าท่านไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้าเรือน”
ปู้ชิวเซียวมองดูเขาพลางกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “หากมิเป็นเพราะรู้ว่าเจ้าช่วยคนๆ นั้นจากกระบี่ของซีไหล วันนี้ข้าอาจจะฆ่าเจ้าจริงๆ ก็เป็นได้”
“แต่ไหนแต่ไรมาเรือนอี้เหมาไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงจะไม่ฆ่าข้าเพราะเรื่องนี้?”
จิ๋งจิ่วมองดูดวงตาของเขาพลางกล่าวว่า “เพราะท่านรู้สึกผิดต่อที่นั่น หรือว่าเคยได้ทิ้งกรรมอะไรบางอย่างเอาไว้ที่นั่น?”
รอบๆ อารามแม่ชีพลันเงียบสงัดขึ้นมา
จู่ๆ มีลมสายหนึ่งพัดมาจากทางทะเลสาบ
ลมสายนั้นพัดผ่านป่า กลายเป็นเส้นที่มองไม่เห็นจำนวนนับไม่ถ้วน เชื่อมโยงก้อนหิน ต้นหญ้า ดอกไม้และใบไม้ที่อยู่รอบๆ เข้าไว้ด้วยกัน
ในชีวิตของทุกๆ คนมักจะทิ้งร่องรอยเอาไว้มากมาย ร่องรอยเหล่านั้นมักจะชี้ไปยังจุดที่เป็นความลับมากที่สุด
ปู้ชิวเซียวมองดูดวงตาของเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและจริงจังว่า “หลายคนล้วนแต่กำลังคาดเดาว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าเป็นใคร กระทั่งเคยสงสัยว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดของวัดกั่วเฉิงที่มาธุดงค์ยังโลกปุถุชน จนกระทั่งเหอจานปรากฏตัว ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเจ้าจะเป็นวิชาเชื่อมโยงสองจิตของวัดกั่วเฉิงจริงๆ แต่เจ้าควรจะรู้เอาไว้ว่ามันใช้กับข้าไม่ได้ผล มีแต่จะยั่วโมโหให้ข้าโกรธ”
จิ๋งจิ่วใช้วิชาเชื่อมโยงสองจิตไปจริงๆ แต่เขารู้ว่าตนเองมิใช่ศิษย์พี่ ไม่สามารถใช้สุดยอดวิชาของวัดกั่วเฉิงออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีทางที่จะได้ยินความคิดของคนอย่างปู้ชิวเซียว มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว แต่ว่าไม่เป็นไร เดิมเขาก็อยากให้อีกฝ่ายรู้ตัวอยู่แล้ว หากบอกว่านี้เป็นการขอดูไพ่ จะเข้าใจว่าเขากำลังลักไก่อยู่ก็ได้
เขายิ่งมั่นใจในการวิเคราะห์ของตัวเองจากปฏิกิริยาของปู้ชิวเซียว
สายตาของปู้ชิวเซียวเย็นยะเยือกเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เจ้ารู้อะไรมากันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เหอจานคือลูกของท่าน”
……
……
ไม่มีการแอบส่งสัญญาณ ไม่มีการเกริ่นนำ ไม่มีลำดับใดๆ ไม่มีการเชื่อมโยง ไม่มีการปูเรื่องใดๆ
เพียงแค่กล่าวออกมาประโยคเดียว เป็นประโยคที่ฟังดูเรียบง่าย แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกได้ถึงความเด็ดขาดและนิสัยของผู้พูด
สายตาของปู้ชิวเซียวยิ่งเย็นยะเยือก ดูคล้ายก้อนน้ำแข็ง จากนั้นแตกออกกลายเป็นความตกตะลึง
“ท่านกับคนๆ นั้นของสำนักแม่ชีแอบมีความรักต่อกันจนให้กำเนิดเหอจานออกมา เป็นเพราะเรื่องนี้นางจึงไม่สามารถบรรลุสภาวะได้สำเร็จ สุดท้ายลาโลกไป เหลือทิ้งไว้เพียงเกี้ยวหลังนั้น”
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “บัณฑิตเหยียนทราบเรื่องนี้ คิดว่าท่านขาดคุณธรรม ไม่คู่ควรที่จะเป็นเจ้าเรือน ดังนั้นท่านจึงคิดจะฆ่าเขาปิดปาก?”
ภายในสวนดอกเหมยเก่าเงียบสงัดวังเวง ลมทะเลสาบพัดผ่านผืนป่าอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นเส้นจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้ปู้ชิวเซียวหายใจได้ลำบาก
เขาไม่เข้าใจว่าความลับที่ตนเองเก็บซ่อนมาเป็นเวลาหลายสิบปี ทำไมจู่ๆ ถึงได้ถูกจิ๋งจิ่วเปิดเผยออกมาจนหมด
ไม่มีใครรู้เรื่องนี้
สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยไม่รู้ เรือนอี้เหมาไม่รู้ กระทั่งตัวเหอจานก็ไม่รู้
กระทั่งก่อนที่จะหนีไป ตัวบัณฑิตเหยียนเองก็รู้เพียงเรื่องราวในส่วนแรกเท่านั้น แล้วจิ๋งจิ่วรู้เรื่องราวทั้งหมดได้อย่างไร?
มือขวาของเขาสั่นขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายพร้อมจะลงมือทุกเมื่อ
………………………………………………………………