มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 48 ปราชญ์ไร้นาม
บรรยากาศภายในเรือนอัครมหาเสนาบดีเองก็ตึงเครียดเป็นอย่างมากเช่นกัน ยกเว้นก็แต่เพียงจัวหรูซุ่ย
เขากำลังง่วงเหงาหาวนอนเหมือนอย่างในเวลาปกติ
สีหน้าของอัครมหาเสนาบดีดูแย่ บนใบหน้าของไป๋เชียนจวินไม่มีความรู้สึกใดๆ
ซีอี้อวิ๋นนั่งเงียบๆ เขายังคงไม่เชื่อว่าจิ๋งจิ่วจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้อาจารย์เปลี่ยนความคิดได้
กู้ชิงพลันคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา ใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย มือขวาสั่นระริกขึ้นมาเบาๆ ในใจคิดว่าคงไม่ใช่ว่ าคุยจนเกิดปัญหาหรอกนะ?
ไม่หรอก ปู้ชิวเซียวมิใช่คนเช่นนั้น
เขาได้แต่หวังแบบนี้
……
……
ภายในสวนดอกเหมยเก่า
จิ๋งจิ่วมองดูมือขวาที่สั่นเบาๆ ของปู้ชิวเซียว กล่าวว่า “อย่าได้คิดที่จะฆ่าตัวตาย มิเช่นนั้นข้าจะป่าวประกาศเรื องนี้ไปทั่วทั้งใต้หล้า”
ปู้ชิวเซียวจ้องมองดวงตาของเขา กล่าวว่า “ทำไมถึงไม่ใช่ฆ่าเจ้าปิดปาก?”
“เพราะท่านไม่รู้ว่าข้าได้เอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นหรือเปล่า การฆ่าข้านั้นไม่ปลอดภัย”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นจากที่ข้าดูแล้ว เหล่าบัณฑิตของเรือนอี้เหมาเรียนหนังสือจนคร่ำครึล้าหลัง น่าจะ ะไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้”
ปู้ชิวเซียวนิ่งเงียบไปเป็นเวลาครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “ถูกต้อง”
เมื่อกล่าวจบสองพยางค์นี้ เขาก็สูดหายใจลึกๆ
ลมพัดมาจากทางทะเลสาบ ยอดไม้ไหวเอน
สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นสุขุมเยือกเย็นอีกครั้ง กล่าวว่า “ดังนั้นข้าไม่เคยคิดที่จะสังหารศิษย์หลานเหยียนเพื่อปิด ดปากมาก่อน”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงหนี?”
“เขาไม่รู้ความคิดของข้า นึกว่าข้าจะสังหารเขาปิดปาก แต่อีกด้านหนึ่งเขาก็คิดว่าข้าไม่ใช่คนแบบนั้น หรือบา างทีอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ เขาก็เลยไม่เคยพูดความลับนี้ออกมาจวบจนกระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต”
สายตาของปู้ชิวเซียวมองทะลุป่าออกไป สายตาตกลงบนผิวทะเลสาบ ก่อนจะกล่าวอย่างทอดถอนใจออกมาว่า “และเป็นเพราะคว วามเชื่อใจแบบเดียวกัน ข้าก็เลยยังคงมองเขาเป็นศิษย์ในเรือนอี้เหมามาโดยตลอด ที่ผ่านมาตะเกียงชีวิตของเขาถูก ตั้งอยู่ในเรือน เพียงแต่ตอนนี้ได้กลายเป็นป้ายวิญญาณไปแล้ว
ตะเกียงชีวิตของบัณฑิตเหยียนถูกตั้งเอาไว้อยู่ในเรือนอี้เหมามาโดยตลอด ดังนั้นหลังจากที่ถูกซีหวังซุนสังหาร ปู ชิวเซียวถึงได้รู้ทันที ก่อนจะรีบตามออกไป
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ “ล้วนแต่ดื้อรันกันจริงๆ”
ปู้ชิวเซียวกล่าวว่า “เขาเพียงแค่ไม่สามารถยอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับข้าได้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “คนปกติก็ล้วนแต่ยากจะยอมรับได้ นับประสาอะไรกับเขาที่เรียนหนังสือจนคร่ำครึ”
ปู้ชิวเซียวดึงสายตากลับมา มองดูเขาพลางกล่าวอย่างจริงจัง “เรื่องนี้ไม่เหมือนอย่างที่เจ้าคิดเอาไว้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “แน่นอน ในเวลานั้นท่านอายุยังน้อย เป็นเจ้าเรือนในอนาคต แต่นางกลับเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนัก กแม่ชีสุ่ยเยวี่ยแล้ว ดูยังไงก็….”
สายตาของปู้ชิวเซียวพลันเย็นยะเยือกขึ้นมา
จิ๋งจิ่วหยุดพูดอย่างรู้ตัว
ปู้ชิวเซียวสะกดอารมณ์ที่สับสนเป็นอย่างยิ่งภายในจิตใจ ก่อนกล่าวว่า “ว่ามา เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เรื่องงานแต่งของหลีเกอร์และเฉินซือ ท่านต้องเห็นด้วยและรีบเร่งให้จัดงาน ส่วนเรื่องสืบทอดรา าชบัลลังก์ เรือนอี้เหมาต้องรักษาจุดยืนที่เป็นกลาง”
ปู้ชิวเซียวนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ความจริงข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าหากข้าไม่เห็นด้วย เจ้าจะทำอย่างไร”
เกี่ยวกับเรื่องในตอนนั้น จิ๋งจิ่วเพียงแค่คาดเดาเท่านั้น หาได้มีหลักฐานใดๆ ไม่
ต่อให้มีหลักฐาน แต่เรื่องในอดีตเหล่านั้นจะทำอะไรคนอย่างเจ้าแห่งเรือนอี้เหมาได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ข้าสามารถให้เจวี่ยนเหลียนเหรินป่าวประกาศข่าวนี้ออกไปได้ แต่แบบนั้นมันช้าเกินไป ข้าจะไปที่สำนักแม่ชีสุ่ยเย ยวี่ยเลย”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากให้สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยรู้ว่าคนผู้นั้นคือเจ้า เอาไว้นางตื่นขึ้นมา ท่านว่ามันจะเกิดเรื่อ องอะไรขึ้น? เรือนอี้เหมายังจะมีคนรอดชีวิตอยู่กี่คน?”
ปู้ชิวเซียวหนึ่งเงียบไปอีกครั้ง ก่อนกล่าวว่า “ในตอนนั้นนางสาบานว่าจะรักษาร่างกายให้บริสุทธิ์เพื่อรองรับธรรม วิถี แต่กลับถูกบีบให้ต้องทำผิดศีล ข้ายินดีที่จะรับผิดชอบ แต่นางกลับไม่ยอม ภายหลังจึงได้เกิดปัญหาขึ้น ข้า ไม่คิดว่าตัวเองมีความผิด แต่ข้าเองก็เข้าใจว่าตนเองไม่อาจปฏิเสธความเกี่ยวข้องได้ เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจว่าทั้งห หมดนี้มันเพื่ออะไรกันแน่”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “การตัดสินใจของนางหรือว่าการที่ท่านยอมรับผิดชอบ?”
“คำว่ารัก”
ปู้ชิวเซียวกล่าวว่า “ตอนนั้นข้ารู้จักแต่เพียงเรียนหนังสือ ไม่เข้าใจว่าคำนี้มันหมายความว่าอย่างไร หลังผ่านเรื่ องนี้ไป ข้าอ่านหนังสือมากขึ้น เข้าใจหลักเหตุผลมากขึ้น แต่กลับยังไม่เข้าใจคำคำนี้”
จิ๋งจิ่วคิดถึงคำพูดที่เจ้าล่าเยวี่ยเคยพูดเอาไว้ประโยคนั้น
ม้ากินหญ้าอยู่บนเนินเขา หรือหญ้าเหล่านั้นยังต้องติดหนี้มัน?”
เขากล่าวว่า “บางทีอาจจะเป็นเพียงกรรมของชาติที่แล้ว นางติดค้างท่านมากเกินไป หรือไม่ก็เป็นท่านที่ติดค้างนางม มากเกินไป”
ปู้ชิวเซียวยกมือขึ้นมาเพื่อบอกว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้อีก ก่อนกล่าวว่า “ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ชิงซานเคยผิดสัญญาตั้งแต่เมื่อไร?”
“คนหนุ่มอย่างกั้วหนานซาน กู้หานข้าเคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง พวกเขาข้าเชื่อใจได้ แต่เจ้าไม่ได้ เพราะเจ้าไม่ใช่ศ ศิษย์ชิงซานธรรมดา”
ปู้ชิวเซียวกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังต้องมั่นใจก่อนว่านี่้เป็นความคิดของตัวเจ้าเองหรือว่าเป็นความคิดของ ชิงซาน?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ความคิดของข้าก็คือความคิดของชิงซาน ท่านมาพบข้าก็น่าจะเข้าใจถึงจุดนี้แล้ว”
ปู้ชิวเซียวกล่าวว่า “ที่ข้ามาก็เพราะตราประทับที่อยู่บนจดหมายอันนั้น”
เรื่องเล่านั้นไม่ต้องการหลักฐาน มันสามารถเติมแต่งได้อย่างเต็มที่ จากนั้นค่อยปรับเปลี่ยนหรือกำหนดทิศทางและบทส สรุปของเรื่องราวตามการตอบสนองของผู้ฟัง แต่เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องมีหลักฐาน
จิ๋งจิ่วหยิบเอาป้ายไม้ไผ่สีเขียวมรกตอันหนึ่งออกมา บนป้ายมีรูปไก่ฟ้าแกะสลักเอาไว้ตัวหนึ่ง
นี่คือป้ายชีวิตของอินเฟิ่ง ในอดีตถูกเขาเอามาใช้เป็นป้ายคำสั่งของยอดเขาเสินม่อ เหตุผลเป็นเพราะในบรรดายอดเ เขาทั้งเก้า ยอดเขาเสินม่ออยู่ในอันดับสุดท้าย
อินเฟิ่งไม่พอใจเหตุผลนี้อย่างมาก เพราะมันมองว่าคำว่า ‘เยา’ ในชื่อของตัวเองนั้นหมายถึงอันดับที่หนึ่ง ไม่ได้ หมายความว่าเล็กที่สุด
แต่ไม่ว่าอย่างไร ป้ายไม้ไผ่อันนี้ก็ได้กลายเป็นของประหลาดชิ้นหนึ่งของชิงซาน
ป้ายไม้ไผ่ปรากฏ เหมือนนักพรตจิ่งหยางมาด้วยตัวเอง
ที่วันนี้ปู้ชิวเซียวรับปากมาพบเขาก็เป็นเพราะเห็นตราประทับอันนี้บนจดหมาย
เมื่อเห็นป้ายไม้ไผ่สีเขียวสีเขียวมรกต ปู้ชิวเซียวก็รู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย ก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญพรตทุกคนบนแผ่ นดินเฉาเทียน
สุดท้ายเขาก็ตอบรับข้อเสนอของจิ๋งจิ่ว เพียงแต่เขายื่นเงื่อนไปข้อหนึ่ง “เอาพู่กันครองเมืองมาคืนให้พวกข้า”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตอนนี้หลิ่วสือซุ่ยก็ถือเป็นศิษย์ในเรือนอี้เหมาของพวกท่าน พู่กันครองเมืองอยู่ในมือเขา เช ช่นนั้นจะต่างอะไรกับการคืนให้เรือนอี้เหมา?”
ปู้ชิวเซียวทนไม่ไหว กล่าวออกมาว่า “หากนักพรตจิ่งหยางรู้ว่าตอนนี้ชิงซานกลายเป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่าง งไร”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เชื่อข้าเถอะ เขาเองก็จะต้องรู้สึกแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แต่เขาจะชอบมันอย่างแน่นอน น”
ปู้ชิวเซียวมองดูใบหน้าเขา กล่าวว่า “คนหน้าตาดีเช่นนี้กลับพูดจาไร้ยางอายเช่นนี้ ไม่เข้ากันเลยจริงๆ”
“นิสัยของหลิวสือซุ่ยเหมาะที่จะใช้พู่กันครองเมือง”
จิ๋งจิ่วพูดเรื่องนี้กลับไป กล่าวว่า “ตอนนี้เขาเองก็เป็นนักเรียนของท่าน ให้เขาใช้แล้วจะเป็นอะไร? จะเอาของดี ไปให้แต่เหอจานก็คงไม่ได้กระมัง”
ในช่วงเวลาหลายสิบปีมานี้ คนที่โชคดีที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตก็คือเหอจานกับหวังเสี่ยวหมิง
โชคดีที่หลั่งไหลมาตลอดเวลาของเหอจานนั้นไม่มีทางที่จะเป็นฝีมือของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยไปเสียทั้งหมด
ในเวลานั้นกั้วตงน่าจะยังอยู่ในรังไหมฟ้า
เขากล่าวว่า “อาการป่วยของสือซุ่ยท่านเองก็ต้องรักษาให้หาย นี่เป็นเรื่องที่ท่านรับปากเจ้าสำนักกับฉานจึเอาไว้ ”
ปู้ชิวเซียวกล่าวเย้ยหยันเล็กน้อย “หรือว่าเจ้าคิดจะใช้เรื่องนี้มาคอยข่มขู่ข้า?”
“ชื่อของเหอจานน่าจะเป็นสำนักแม่ชีตั้งให้ แต่มันกลับเหมาะกับท่านพอดีเลย”
จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เจ้าเรือนคือคนที่จะกลายเป็นปราชญ์ ไยต้องแปดเปื้อน[1]กรรม”
สิ่งที่นักเรียนของเรือนอี้เหมาฝึกก็คือวิถีแห่งความเที่ยงธรรม สิ่งที่แสวงหาคือโลกสงบสุข สิ่งที่ปรารถนาก็คื อกลายเป็นปราชญ์บนโลก
ไปถึงเป้าหมายเดียวกันด้วยวิถีที่ต่างกัน นี่เป็นหลักเหตุผลเดียวกับการบรรลุกลายเป็นเซียนของเต๋า
ปู้ชิวเซียวจ้องมองดวงตาของเขาพลางกล่าว “เจ้าคิดอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “วันนี้ท่านตอบรับคำขอไปตั้งหลายเรื่อง ข้าขอมอบคำพูดประโยคหนึ่งให้ท่านก็แล้วกัน”
ปู้ชิวเซียวกล่าว “เชิญว่ามา”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ผู้เป็นปราชญ์ไร้ซึ่งนาม”
……
……
ซีอี้อวิ๋ืนลืมตา ยื่นมือไปหยิบนกกระเรียนกระดาษที่บินมาจากด้านนอกหน้าต่าง ใช้วิชายันต์แกะออก มองดูตัวหนังสือ อสองสามบรรทัดที่เขียนอยู่บนกระดาษ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะส่งกระดาษแผ่นนั้นให้อั ครมหาเสนาบดีเฉิน อัครมหาเสนาบดีเฉินมองดูข้อความที่เขียนอยู่บนกระดาษ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมามองดูกู้ชิงด้วยสีหน้า าสับสน
กู้ชิงโล่งใจ เขาลุกขึ้นยืนพลางยกมือคารวะอัครมหาเสนาบดี
อัครมหาเสนาบดีพยักหน้าด้วยสีหน้าเฉยชา
กู้ชิงผลักประตูเดินออกไป มองดูจิ๋งซางและจิ๋งหลีที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้พลางยิ้มเล็กน้อย จิ๋งซางยังคงสับสน จิ๋งหลี รู้ตัวเร็วกว่า เขากำหมัดพร้อมออกแรงเหวี่ยงอย่างยินดี สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอกเรือนอัครมหาเสน นาดี ในใจคิดว่าอาจารย์อาเล็กช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!
ผ่านไปไม่นานเท่าไร ภายในเรือนด้านหลังของเรือนอัครมหาเสนาบดีมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาคล้ายเสียงกระดิ่ง
ยังไม่ต้องไปพูดถึงพวกญาติที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อนกับเขาอวิ๋นเมิ่งเหล่านั้นว่ารู้สึกอย่างไร แต่เหล่าแม่บ้านแล ละคนใช้ภายในเรือนต่างรู้สึกโล่งใจกันจริงๆ ภายในใจพวกเขาคิดว่าในที่สุดคุณหนูเจ็ดก็แต่งออกไปได้แล้ว
เฉินซือนั่งเท้าแขนอยู่ริมหน้าต่าง มองดูท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอกเรือน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี ในใจคิดว่าเทช ชาให้ท่านอาสองถ้วย คุ้มจริงๆ เลย
ข่าวคราวแพร่กระจายไปในเมืองเจาเกออย่างรวดเร็ว ตำหนักองค์ชายจิ่งซินย่อมต้องเป็นสถานที่ที่ได้รับข่าวสารเร็วท ที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นตัวองค์ชายจิ่งซินเองหรือว่าเหล่าอาจารย์เซียนของสำนักจงโจว สีหน้าก็ล้วนแต่ดูแย่เป็นอย่างมาก
ภายในวังกลับอบอวลไปด้วยความรู้สึกยินดี จิ่งเหยาดีใจเพราะในที่สุดหลีเกอร์ก็ได้สาวงามกลับไป พระสนมหูดีใจเพราะ ะจิ่งเหยา
นางเลือกของดีบางอย่างเตรียมส่งไปยังเรือนตระกูลจิ๋ง ราวกับว่าตนเองกำลังแต่งลูกสะใภ้อย่างไรอย่างนั้น
ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความโกรธเกรี้ยว งานแต่งระหว่างเรือนอัครมหาเสนาบดีกับเรือนตระกูลจิ๋งก็สร้างความตกตะลึงใ ให้แก่ทุกคน
เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าจิ๋งจิ่วทำอย่างไรถึงสามารถเกลี้ยกล่อมปู้ชิวเซียวได้
……
……
เหล่าบัณฑิตของเรือนอี้เหมานั้นให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะตอนมีชีวิตอยู่หรือว่าหลังจากตายไป ปแล้ว สำหรับจิ๋งจิ่วแล้วนี่เป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด
ธรรมวิถีไม่สนใจเรื่องรายละเอียดเล็กน้อย เมื่อไรที่อีกฝ่ายเข้าใจหลักเหตุผลนี้ เบื้องหน้าก็จะไร้ซึ่งอุปสรรค ดั งนั้นวันนี้เขาจึงได้พูดไปว่าผู้เป็นปราชญ์ไร้ซึ่งนาม
ผู้เป็นปราชญ์ไร้ซึ่งนามนี้สามารถเข้าใจตามตัวอักษรได้ แล้วก็สามารถเข้าใจให้ลึกซึ้งกว่านั้นก็ได้ แต่ไม่ว่าจ จะเป็นความเข้าใจแบบไหน มันก็น่าจะมีประโยชน์ของปู้ชิวเซียว
จิ๋งจิ่วยังคงรู้สึกชื่นชมปู้ชิวเซียวเป็นอย่างมาก ถึงแม้ในการสนทนาในสวนดอกเหมยเก่าในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าปู้ช ชิวเซียวยังคงเก็บซ่อนความจริงเอาไว้อีกหลายอย่าง
มีความเป็นไปได้ว่าพ่อแท้ๆ ของเหอจานอาจจะไม่ใช่เขา
แต่คนผู้นั้นจะต้องสำคัญกว่าชื่อเสียงและชีวิตของตัวเขาอย่างแน่นอน
จะว่าไปแล้วมันก็ใช่ ต่อให้เขาและอีกฝ่ายจะอายุต่างกันหลายร้อยปี หากอีกฝ่ายจะผิดศีลทำลายความบริสุทธิ์ของร่าง งกายแล้วจะทำไม?
หลังจากเหลียนซานเยวี่ยปรากฏตัวขึ้นมา สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีก ยังจะมีเรื่องอะไรที่ยอมรับไม่ ได้?
มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นปัญหาของทางบิดาของเหอจาน และปู้ชิวเซียวก็กำลังแบกรับความผิดแทนคนผู้นั้นเอาไว้
เจ้าเรือนอี้เหมาคนก่อนเป็นคนมีคุณธรรมและเป็นที่เคารพนับถือ มีความรักต่อผู้เป็นภรรยาอย่างลึกซึ้ง เคยเขียนบท ทกวีขึ้นมาบทหนึ่ง แพร่หลายเป็นเวลาหลายร้อยปีจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
หากคนที่แอบมีความรักกับผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยคือเจ้าเรือนอี้เหมาคนก่อน เรื่องราวทั้งหมดก็จ จะได้มีคำอธิบาย
ช่วงเวลาที่ปู้ชิวเซียวออกไปจากเรือนอี้เหมาเหล่านั้น เขาล้วนแต่ไปคอยเก็บกวาดเรื่องราววุ่นวายต่างๆ ให้กับผู้ เป็นอาจารย์ของตน
หลังเจ้าเรือนคนก่อนตายไป เขาก็แอบดูแลเหอจานอย่างลับๆ ฟังดูก็มีเหตุผลเช่นเดียวกัน
บัณฑิตเหยียนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดผิดไป
ปู้ชิวเซียวไม่สามารถแก้ต่างได้
แต่ว่าการคาดการณ์แบบนี้ก็ไม่สามารถแน่ใจได้เช่นกัน เพราะปู้ชิวเซียวไม่มีทางยอมรับอะไรเด็ดขาด และพ่อแม่ของเหอ อจานก็ตายไปแล้วหลายสิบปี
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ จิ๋งจิ่วก็ยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวปู้ชิวเซียว
ในฐานะที่เป็นศิษย์ ก็สมควรที่จะจัดการเรื่องเหล่านี้แทนอาจารย์ให้ดี นี่ก็ถือเป็นวีรบุรุษไร้นามอย่างหนึ่งใ ใช่หรือเปล่า?
ริมทะเลสาบไป๋หม่ามีเรือนพักเซียนอยู่แห่งหนึ่ง โต๊ะกินเลี้ยงของที่นี่ขึ้นชื่อเป็นอย่างมาก แต่ขอเพียงมีเงินมา ากพอ หม้อไฟก็สามารถทำได้ประณีตเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน
จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว สายตามองทะลุไอน้ำไปบนใบหน้าของกู้ชิง พลางกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “หลายปีนี้ล ลำบากเจ้าแล้ว คืนนี้ดื่มสุราเสียหน่อยเถอะ”
กู้ชิงตกตะลึง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
จากนั้นเขามองหลิ่วสือซุ่ย ในใจครุ่นคิดว่าเจ้านี่ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย จึงกล่าวว่า “เจ้าต้องเตรียมตัวไปปร ระลองวิถีพรต อย่าดื่มแล้วกัน”
หลิ่วสือซุ่ยรับคำอย่างว่านอนสอนง่าย
จัวหรูซุ่ยยิ้มๆ พลางกล่าวว่า “ล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญพรตกันทั้งนั้น ดื่มสุราก็สามารถขับออกมาได้ทุกเมื่อ ไม่เป ป็นไรๆ”
จิ๋งจิ่วมองดูเขา ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับยอดเขาเสินม่อเลย แล้วมานั่งกินข้าวด้วยกันทำไม?
………………………………………………………..
[1]ไยต้องแปดเปื้อน (何必沾染) สามารถย่อได้เป็น 何沾 ซึ่งออกเสียงพ้องกันชื่อของเหอจาน (何霑)