มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 5 ไม่ว่าจะเป็นหมาดำหรือแมวขาว ขอเพียงดุพอก็เป็นหมาที่ดี (1)
จริงอยู่ที่ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินแก่มากแล้ว แต่เทียนจิ้นเหรินแก่กว่าเขา จากการคาดการณ์ของจิ๋งจิ่ว เทียนจิ้นเหรินออกมาจากทะเลใต้เมื่อหกร้อยปีก่อน มาตามหาผู้สืบทอดแทนหนานชวีผู้เป็นปรมาจารย์แห่งเกาะหมอก สุดท้ายก็อาศัยสถานะผู้นำทางเลือกเจี้ยนซีไหลให้เป็นผู้สืบทอด เช่นนั้นตอนนี้อย่างน้อยเขาก็น่าจะมีอายุเจ็ดร้อยกว่าปีแล้ว
พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของเขาธรรมดา แต่จิตใจกลับแข็งแกร่งอย่างชนิดที่หาได้ยาก บำเพ็ญเพียรมาเจ็ดร้อยกว่าปี พลังจิตสามารถเคลื่อนฟ้าดิน ตามหลักแล้วยากที่จะเจอศัตรูได้ แต่ที่น่าเสียดายก็คือเขาถนัดในการทำนายดวงชะตาให้คนอื่น แต่กลับไม่ได้ทำนายดวงชะตาตนเองว่าจะแย่ขนาดนี้ ตอนแรกไปเจอจิ๋งจิ่วกับฉานจึที่เมืองเจาเกอ ตอนนี้ยังมาเจอกับอินซานอีก
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขานึกว่านี่เป็นกับดักที่ตนเองกับปรมาจารย์สำนักเสวียนอินวางขึ้นมา ไหนเลยจะคิดถึงว่าสุดท้ายตัวเองกลับกลายเป็นคนที่อยู่ในกับดักเสียเอง ดังนั้นย่อมต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน กระทั่งจะฆ่าตัวตายก็ยังไม่ทันการ สุดท้ายถูกอินซานควบคุมดวงจิตไป
“ความจริงแผนการนี้ของเจ้ายอดเยี่ยมอย่างมาก”
อินซานมองดูปรมาจารย์สำนักเสวียนอินพลางกล่าว สีหน้าดูชื่นชมเป็นอย่างมาก
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินรู้สึกเขิน เขาลูบจมูกที่เป็นสีแดงของตัวเองพลางกล่าวว่า “อยู่กับนักพรตมานาน ก็ต้องเรียนรู้อะไรมาบ้าง”
หลังอินซานหนีออกมาจากคุกกระบี่ เขาก็ไปหาปรมาจารย์แห่งเกาะหมอกที่ทะเลใต้ก่อน จากนั้นพาซีหวังซุนกลับมายังแผ่นดิน วางหมากที่จะใช้ชิงปู้เหล่าหลินกลับมา จากนั้นก็ไปยังทุ่งรกร้างในเขาเหลิ่งซานหาปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน จากนั้นก็ท่องไปบนโลกด้วยกันเป็นเวลายี่สิบปีแล้ว
ในช่วงเวลายี่สิบปีนี้ ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเป็นผู้คุ้มกัน เป็นคนรับใช้ เป็นตัวตลก เป็นที่ปรึกษา แล้วก็สุนัขให้แก่อินซาน
ไม่มีใครอยากเป็นสุนัข นับประสาอะไรกับจอมมารเหมือนอย่างเขา
ด้วยสภาวะของปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน การจะสังหารอินซานนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพียงแค่ดีดนิ้ว หรือกระทั่งเป่าลม
ปัญหาอยู่ที่ว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าอินซานใช้วิธีอะไรถึงทำให้ข่ายพลังกระบี่ชิงซานไม่พบเห็นตน
เขาไม่อยากจะกลับไปอยู่ใต้ดินในเขาเหลิ่งซานอีกแล้ว
วันเวลาที่ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันนั้นทุกข์ทรมานเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อตัวเขาได้ออกมาแล้ว ไหนเลยจะมีความกล้ากลับไปอีก
หากเขาอยากจะหลุดพ้นจากอินซาน ตัดขาดโซ่ที่ล่ามอยู่ตรงคอ เขาก็ต้องหาวิธีสังหารอินซานแล้วตัวเองยังไม่ถูกข่ายพลังกระบี่ชิงซานพบเห็นให้ได้
เขาเคยคิดจะชักชวนคนที่ใส่กระดองเต่าที่อยู่ริมต้าเจ๋อผู้นั้น แต่ภายหลังถึงได้พบว่าฮ่องเต้เซียวนั้นเป็นผู้ติดตามที่จงรักภักดีต่ออินซานที่สุด จึงได้แต่ต้องล้มเลิกความคิดนี้ จากนี้นเขาก็คิดไปถึงผู้หลบหนีกระบี่อีกคน สายตามองไปยังเกาะหมอกที่อยู่ในทะเลใต้ที่ห่างไกล
ในวัดกั่วเฉิง เขาได้ติดต่อกับซูจึเย่ที่หนีไปเข้ากับสำนักกระบี่ซีไห่ผ่านทางสมณะอ้วนที่อยู่ในครัวด้านหลังผู้นั้น แจ้งให้อีกฝ่ายทราบถึงสถานะของตนเอง เสนอแนะให้เทพกระบี่ซีไห่ร่วมมือกับตนเองทำเรื่องบางเรื่อง — สำนักกระบี่ซีไห่เป็นสายสืบทอดเดียวกับเกาะหมอก เรื่องนี้ถึงแม้จะเป็นความลับ แต่สำหรับจอมมารอย่างเขานั้นมิใช่เรื่องยากที่จะคาดเดา
ไม่ว่าจะสังหารอินซานหรือว่าจิ๋งจิ่ว ก็ล้วนแต่เป็นความเย้ายวนที่ไม่อาจต้านทานได้สำหรับเทพกระบี่ซีไห่ ขอเพียงเขาทราบถึงสถานะที่แท้จริงของอีกฝ่าย
ในตอนแรกสุด สิ่งที่ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินคิดเอาไว้ก็คือหลังสังหารอินซานแล้ว ค่อยใช้วิธีของเกาะหมอกในการปิดบังพลัง ไม่ใช่ข่ายพลังกระบี่ชิงซานหาตัวเองพบ ภายหลังพบว่าอินซานรู้สึกสนใจกระบี่พรหมจรรย์ ดังนั้นเขาจึงคิดแผนการที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิมขึ้นมาได้ นั่นก็คือในตอนที่อินซานพยายามจะควบคุมเทียนจิ้นเหริน เขาจะลอบโจมตีอีกฝ่าย แล้วก็ให้เทียนจิ้นเหรินควบคุมดวงจิตเพื่อหาวิธีหลบข่ายพลังกระบี่ชิงซาน
ก็เหมือนอย่างที่อินซานว่ามา นี่้เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ เพียงแต่มีปัญหาอย่างหนึ่ง
อินซานรู้เข้าแล้ว
……
……
อินซานมิได้พูดอะไร เพียงแต่ให้บทเรียนแก่ปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน
เขารู้ๆ อยู่ว่าจิ๋งจิ่วมีแผนการแอบซ่อนเอาไว้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือว่าชิงซาน แต่เขากลับไม่บอกปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน หากแต่มองดูเขาถูกกระบี่หลิ่วฉือแทงทะลุจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
หลังปรมาจารย์สำนักเสวียนอินตื่นขึ้นมาที่ริมต้าเจ๋อ เขาก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นมาจากในถังเลือดด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า คุกเข่าลงตรงหน้าอินซาน ร่ำไห้หลั่งน้ำตาบอกว่าตนเองผิดไปแล้ว ขอให้เขายกโทษให้ด้วย อีกทั้งยังบอกเรื่องที่ร่วมมือกับสำนักกระบี่ซีไห่ให้อีกฝ่ายรู้
อินซานดึงเอาฟางเส้นหนึ่งออกมาจากในกองฟาง ใส่เข้าไปปากแล้วขบอย่างช้าๆ มองดูพระอาทิตย์ที่กำลังลอยขึ้นไปบนฟ้า พลางกล่าวอย่างเหนื่อยล้าว่า “ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกล่ะ”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินรีบลุกขึ้นยืนเหมือนเด็กน้อยที่ไม่ประสีประสา มือทั้งสองข้างแนบชิดลำตัว กล่าวว่า “ต่อไปไม่กล้าแล้ว”
เขาเกือบต้องตายอยู่ในวัดกั่วเฉิง บทเรียนนี้ฝังลึกยิ่งนัก ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดวันนั้นไป๋กุ่ยถึงไม่ยอมเผยตัว
ผู้พิทักษ์ชิงซาน ต่อให้เป็นเขาในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดก็ยังรับมือได้ค่อนข้างลำบาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านักพรตผู้นี้มันกลับเชื่องเหมือนแมวที่ถูกตอน เหตุใดมันถึงได้หวาดกลัวนักพรตถึงเพียงนี้?
สมณะอ้วนที่อยู่ในห้องครัวด้านหลังวัดกั่วเฉิงตายไปอย่างกะทันหัน ไม่มีโอกาสได้กินหมั่นโถวจิ้มเต้าหู้ยี้กับเนื้อย่างห่อใบงาอีกแล้ว
เหลาสุราที่อยู่ในเมืองไห่โจวแห่งนั้นเป็นสถานที่ิติดต่อที่ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินนัดหมายกับทางซีไห่เอาไว้ ใครจะไปคิดบ้างว่านั่นจะเป็นกิจการของปู้เหล่าหลินด้วยเช่นกัน
ทั่วทั้งใต้หล้า ไม่มีเรื่องใดที่เขาไม่รู้ จากทะเลตะวันตกไปจนถึงทะเลตะวันออก จากที่ราบหิมะไปจนถึงเกาะเผิงไหล ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนล้วนแต่อยู่ในสายตาของนักพรต
นักพรตมิใช่แค่เพียงทำได้ทุกอย่างอีกต่อไป แต่คล้ายว่าเขายังรู้ทุกเรื่องด้วย ความรู้สึกแบบนี้มันช่างน่ากลัวจริงๆ
เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตอนที่อยู่ในวัดกั่วเฉิง การโจมตีที่ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินโจมตีใส่ฉีหลินดูแล้วเหมือนจะรุนแรง แต่ความจริงกลับมิได้ทำให้มันบาดเจ็บอะไรมากนัก
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมองดูชายหนุ่มที่หน้าตางดงามที่อยู่บนกองฟางผู้นั้น พลางลอบถอนใจว่า “นักพรตรู้เบาะแสของกระบี่พรหมจรรย์แล้วหรือ?”
เทียนจิ้นเหรินนอนหลับตาอยู่ด้านล่างกองฟาง ยังมีลมหายใจอยู่
อินซานมองดูเขาพลางกล่าวว่า “ยังรู้เรื่องอื่นอีกด้วย”
ในฐานะที่เป็นผู้นำทางที่เดินทางจากเกาะหมอกในทะเลทางใต้มายังแผ่นดินเฉาเทียนเป็นคนแรกสุด เทียนจิ้นเหรินล่วงรู้ความลับต่างๆ มากมาย และสนิทสนมกับสำนักกระบี่ซีไห่เป็นอย่างมาก
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินฉีกยิ้มพลางกล่าว “ขอแสดงความยินดีกับนักพรต”
อินซานกระโดดลงมาจากกองฟาง ปัดเศษฟางที่อยู่บนร่างกาย ทอดตามองออกไป
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินหิ้วเทียนจิ้นเหรินขึ้นมา เดินตามอยู่ด้านหลังเขาเหมือนสุนัขที่กำลังคาบกระดูก
พวกเขามุ่งหน้าไปยังทิศทางที่พระอาทิตย์ลอยขึ้นมา ไม่รู้ว่ากำลังไปที่ใด
……
……
เจ้าเคยได้ยินเรื่องเพลงกระบี่ที่ตกลงมาจากฟ้าไหม?
เจ้าล่าเยวี่ยเคยได้ยินจิ๋งจิ่วถามประโยคนี้
นั่นเป็นตอนที่อยู่ในเมืองไห่โจวเมื่อหลายปีก่อน พวกเขาเป็นคนร้ายที่กรมชิงเทียนต้องการตัว ผู้บำเพ็ญพรตของสำนักต่างๆ ที่เข้าร่วมงานชุมนุมซื่อไห่ต่างเตรียมล้อมสังหารพวกเขา
เมฆหมอกจางลงเรื่อยๆ จะกระทั่งสลายหายไปจนหมด เจตน์กระบี่ที่อยู่บริเวณหน้าผายิ่งทวีความรุนแรง คล้ายพยายามจะพุ่งออกไปอย่างไรอย่างนั้น
ถึงแม้จะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เจ้าล่าเยวี่ยก็คาดเดาได้ว่านี่คือข่ายพลังกระบี่ชิงซาน
ในช่วงเวลาสามร้อยปีหลังจากนักพรตไท่ผิงเก็บตัวไม่ออกมา ข่ายพลังกระบี่ชิงซานไม่เคยทำงานมาก่อน กระทั่งสัญญาณว่ามันจะทำงานก็ยังไม่มี
ในช่วงเวลาหนึ่งปีนี้ ข่ายพลังกระบี่ชิงซานมีสัญญาณเริ่มทำงานติดต่อกันถึงสองครั้ง คมกระบี่ปรากฏขึ้นต่อหน้าศิษย์แต่ละยอดเขาและฟ้าดินถึงสองครั้ง น่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
เมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ข่ายพลังกระบี่ชิงซานทำงานในครั้งนั้นก็เพื่อจะสังหารปรมาจารย์สำนักเสวียนอินที่อยู่ในวัดกั่วเฉิง แล้วครั้งนี้เป็นเพราะเหตุใด?
ในขณะที่นางกำลังคิดถึงปัญหาเหล่านี้ เมฆหมอกพลันกลับมารวมตัวยังบริเวณยอดเขาใหม่อีกครั้ง ข่ายพลังกระบี่ชิงซานสงบลง แสดงว่าเป้าหมายได้หายไปแล้ว
อยากจะทำให้ข่ายพลังกระบี่ชิงซานทำงานนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าจะทำให้มันหยุดทำงานนั้นยากยิ่งกว่า
จิ๋งจิ่วรู้ว่าคนผู้นั้นคือศิษย์พี่ มีเพียงเขาถึงจะรู้จักรูปแบบการทำงานของข่ายพลังกระบี่ชิงซาน ทำให้ข่ายพลังกระบี่ชิงซานเป็นกระบี่ที่สามารถทะยานออกไปได้ไกลหมื่นลี้
เขาใช้กระบี่เล่มนี้บีบให้ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเป็นผู้คุ้มกันอยู่ข้างกาย แล้วก็ย่อมต้องสามารถใช้พลังของข่ายพลังกระบี่ชิงซานไปทำเรื่องบางเรื่องที่สภาวะของเขาในตอนนี้ไม่สามารถทำได้ เหมือนอย่างเช่นก่อนหน้านี้ — เมื่อดูจากทิศทางที่ข่ายพลังกระบี่ชิงซานเตรียมจะพุ่งออกไปก่อนหน้านี้ คนที่เขาอยากจะจัดการอาจจะเป็นเจี้ยนซีไหล
ในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานมีผี อย่างเช่นฟางจิ่งเทียน อย่างเช่นคนที่ซ่อนตัวอยู่ลึกกว่านั้น
ในบรรดาผู้พิทักษ์ทั้งสี่ ไก่กับหมาไม่สามารถบรรลุเป็นเซียนได้ แต่ก็ต้องโน้มเอียงไปทางศิษย์พี่อย่างแน่นอน อาต้าขี้ขลาดไม่กล้าทำผิดต่อทั้งสองฝ่าย หยวนกุยนั้นเอาแต่นอน
ส่วนข่ายพลังกระบี่ชิงซานก็เหมือนเป็นของเล่นของเขา
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ศิษย์พี่ก็ยังมีอิทธิพลอยู่ในชิงซานเป็นอย่างมาก หากในอนาคตต้องเผชิญหน้ากันจริงๆ ใครจะแพ้ใครจะชนะก็มิอาจรู้ได้