มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 50 เมฆก้อนหนึ่งที่ลอยมาจากทางใต้
นักฆ่าระดับสูงสุดของปู้เหล่าหลินอาจจะมีวิธีบางอย่างที่ทำให้ตนเองแอบซ่อนอยู่ในเงามืดได้ แต่เงาที่อยู่ใต้ต้นไ ไม้เงานั้นเป็นเงาจริงๆ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นี่คือเงาที่มาจากดินแดนหมิง
ภายในหุบเขาหมิงชุ่ยนอกเมืองเจาเกอเมื่อยี่สิบปีก่อน นักฆ่าของปู้เหล่าหลินลอบสังหารเจ้าล่าเยวี่ยไม่สำเร็จ จึงถู กเงาของศิษย์อันดับสามของหมิงซือสังหารอย่างเงียบๆ
อย่างนั้นเงามืดที่ปรากฏขึ้นในเมืองเจาเกอคืนนี้เป็นเงาของใครกัน?
เงาเงานั้นคอยๆ ปูดนูนขึ้นมา คล้ายกำลังจะแยกตัวออกจากพื้น จากนั้นถูกแสงดาวที่สะท้อนมาจากกำแพงส่องสว่าง ค่อยๆ ปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นมา
เงาเงานั้นทั้งเตี้ยและอ้วน มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน พอจะมองเห็นเสื้อผ้าที่เป็นสีสันได้ลางๆ แสดงให้เห็นว่าผู้ที มาเยือนมีสถานะที่สูงส่งอยู่ในเผ่าหมิง
“ขอแนะนำตัวเองหน่อย”
เงาที่อ้วนเตี้ยเงานั้นมีเสียงที่เล็กแหลมและน่ากลัว แต่กลับดูทรงพลังและน่าเกรงขามอย่างมากด้วย
การออกเสียงของเขาดูแปลกประหลาดเล็กน้อย น่าจะไม่ค่อยได้พูดภาษามนุษย์เท่าไร
“ข้าคือมหาปุโรหิตแห่งโลกด้านล่าง”
หากบอกว่าหมิงซือคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าหมิงหลังจากที่จักรพรรดิแห่งหมิงตายไปแล้ว เช่นนั้นก็มีเพียงค คนเดียวที่มีสิทธิ์จะแสดงความเห็นคัดค้านหมิงซือได้
บนร่างกายของมหาปุโรหิตมีสายเลือดของราชวงศ์ไหลเวียนอยู่ อำนาจและสภาวะล้วนแต่สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะมองอย่ างไรก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญพรตคนอื่น ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับผู้อาวุโสของสำนักต่างๆ ถ้าหากจู่ๆ มหาปุโรหิตแห่งเผ่าห หมิงมาปรากฏขึ้นตรงหน้า ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นจะมีการตอบสนองเพียงสองอย่างเท่านั้น นั่นคือถ้าไม่กรีดร้องพยายามขอคว วามช่วยเหลือด้วยใบหน้าที่ขาวซีด ก็คงจะหวาดกลัวจนเป็นลมสลบไป
ทว่าจิ๋งจิ่วกลับสงบนิ่ง ราวกับเจอคนแก่ที่มาถามทางคนหนึ่งเท่านั้น เขากล่าวว่า “มีธุระอะไร?”
เสียงของมหาปุโรหิตเป็นเหมือนลมที่พัดผ่านภายในตรอกนี้ ราวกับสายพิณที่พร้อมจะขาดลงทุกเมื่อ ฟังดูค่อนข้างประ ะหลาดใจ “หรือเจ้าไม่กลัวข้า?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าอาจจะแข็งแกร่ง แต่ที่นี่คือเมืองเจาเกอ ต่อให้กลัว แต่คนที่กลัวก็น่าจะเป็นเจ้า”
มหาปุโรหิตกล่าวว่า “ตอนที่อาจารย์ของเจ้าบรรลุกลายเป็นเซียน ข้ายังเคยไปดูที่ชิงซาน นับประสาอะไรกับเมืองเจาเกอ อ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ว่าธุระมา”
เสื้อผ้าที่เป็นสีสันและเงาที่มืดมิดของมหาปุโรหิตผสมเข้าด้วยกัน ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก เหมือนกับเสียงของเขา า “ได้ยินว่าเจ้าเป็นคนที่ถนัดในการเจรจา เช่นนั้นดูแล้วคงจะเป็นคนที่ไม่มีจุดยืนที่หนักแน่นอะไร”
คำพูดประโยคนี้มีเหตุผลอย่างมาก แต่จิ๋งจิ่วกลับฟังออกถึงอะไรที่มากกว่านั้น เขาเพิ่งจะเจรจากับปู้ชิวเซียวไปวั นนี้ แต่ข่าวคราวกลับแพร่ไปถึงเผ่าหมิงแล้ว
เขากล่าวว่า “ตรงประเด็นหน่อย”
มหาปุโรหิตกล่าวว่า “หากลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงอยู่ในมือเจ้าจริงๆ บางทีพวกเราอาจจะร่วมมือกันได้?”
ไม่มีกำแพงไหนที่ไม่มีลมผ่าน ถึงแม้จะเป็นกำแพงยักษ์ที่ขวางกั้นระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนหมิง ถึงแม้จะเป็นหุบเหว ลึก
ข่าวการเจรจาของเขากับปู้ชิวเซียวแพร่กระจายไปถึงเผ่าหมิง กระทั่งการเจรจาระหว่างเขากับหมิงซือที่ไม่มีใครรู้ ครั้งนั้นก็ยังถูกมหาปุโรหิตล่วงรู้เข้า
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเจรจากับเขาก่อน”
มหาปุโรหิตกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าเพียงแต่มาแนะนำตัวกับเจ้าที่นี่ก่อน ต่อไปในตอนที่เจ้าตัดสินใจ ก็ขอให้จำเอาไว้ ว่ายังมีข้าเป็นทางเลือกอยู่ก็พอ อย่างน้อยก็ให้โอกาสพวกข้าได้เสนอราคา”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าจินตนาการไม่ออกว่าร่วมมือกับเจ้าแล้วจะได้ประโยชน์อะไร”
มหาปุโรหิตกล่าวว่า “กำจัดคนชั่วไท่ผิง นี่คือประโยชน์สูงสุด”
จิ๋งจิ่วพลันกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าสนิทกับสำนักจงโจว?”
มหาปุโรหิตกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หากเจ้าไม่เชื่อใจข้า ก็คิดเสียว่าข้าไม่เคยปรากฏตัวขึ้นที่นี่ แต่บทสน นทนาครั้งนี้ หวังว่าเจ้าจะจำเอาไว้”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ แสงดาวก็ค่อยๆ เลือนลาง เงาที่อยู่ใต้ต้นไม้ก็ค่อยๆ จางไปเช่นกัน
ลมสงบใบไม้ร่วง เงากลับมาทอดลงบนพื้น ทุกอย่างกลับคืนสู่ความปกติ
จิ๋งจิ่วหมุนตัวเดินออกไปจากตรอก
เขาไม่ได้กลับไปยังชิงซาน หากแต่เดินไปยังสวนดอกเหมยเก่า
อารามแม่ชีที่อยู่ในสวนดอกเหมยถูกแสงดาวปกคลุม คล้ายมีน้ำที่ใสสะอาดชะล้างชายหลังคากระเบื้อง
เขาเดินเข้าไปในอารามแม่ชี มาถึงตรงหน้าโต๊ะที่มีฝุ่นเกาะแล้วนั่งลงไป
ผู้ที่มานั้นไม่ใช่ร่างจริงของมหาปุโรหิต หากแต่เป็นเงาของเขา
แต่ถ้าหากจู่ๆ มหาปุโรหิตพลันลงมือ เขาก็อาจจะเจอกับปัญหาใหญ่ก็เป็นได้ เพราะบางทีข่ายพลังของเมืองเจาเกออาจ จจะไม่สามารถทำงานได้
มหาปุโรหิตกล้าส่งเงามายังเมืองเจาเกอ เห็นทีคงจะได้รับการรับรองอะไรบางอย่าง ในเมื่อไม่ใช่นักพรตไท่ผิง เช่นนั้ นเป็นใคร?
จักรพรรดิแห่งหมิงถูกขังอยู่ในคุกสะกดมารมาเป็นเวลาหกร้อยกว่าปี สำนักจงโจวและโลกด้านล่างจะต้องมีการติดต่อไปม มาอย่างลับๆ อย่างแน่นอน นี่ถือเป็นเรื่องปกติอย่างมาก
เขาอวิ๋นเมิ่งคิดอยากจะตรวจสอบดูว่าตนเองเป็นใครอีกครั้งหรือว่าคิดอยากจะทำอะไรตนเองกับชิงซาน? เมื่อก่อนเขามั กจะคิดว่าเมืองเจาเกอเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดนอกจากชิงซานกับวัดกั่วเฉิง ไม่มีใครที่จะลอบสังหารตนเองที่นี่ ได้ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดกั่วเฉิงเมื่อสองปีก่อน ความคิดเช่นนี้ย่อมมีปัญหา
แสงดาวทอดผ่านหน้าต่าง ตกกระทบลงบนร่างกายของเขา ทอดเป็นเงาลงบนพื้นและบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า
ทันใดนั้น เงาสายหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นมา คล้ายใบไม้ที่ถูกลมพัดจนปลิวขึ้น
ภาพเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นตรงหน้าเขาเมื่อไม่นานมานี้
“ยังมาอีกหรือ?”
เขารู้สึกค่อนข้างเหนื่อยล้า
ร่างที่ปรากฏขึ้นภายในเงาครั้งนี้ดูผอมเล็กกว่า
เงาที่มาครั้งนี้คือเงาของหมิงซือ
จิ๋งจิ่วกล่าวถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”
หมิงซือปัดชุดที่เป็นสีน้ำเงินไพลินเบาๆ ร่างที่อยู่ภายในเงาประเดี๋ยวดูคล้ายร่างจริงประเดี๋ยวดูคล้ายร่างลวงต ตา
“เขารู้เรื่องการเจรจาของพวกเราครั้งนั้น แล้วข้าจะสืบไม่ได้หรือว่าเขากำลังทำอะไร? ความจริงแล้ว ข้าเป็นคนปล่ อยข่าวเรื่องลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงออกไปเอง”
ไม่ว่าจะเป็นโลกมนุษย์หรือว่าดินแดนหมิง การวางแผนต่อสู้ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจมักจะยอดเยี่ยมเช่นนี้เสมอ ยอดเยี่ยม มจนทำให้จิ๋งจิ่วรู้สึกเบื่อหน่าย
เขาเคาะโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า กล่าวว่า “เข้าประเด็นดีกว่า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่สวนดอกเหมยเก่า”
หมิงซือไม่ได้ตอบคำถามนี้ของเขา หากแต่กล่าวตรงๆ ว่า “ร่วมมือกับข้าเถอะ ส่งมหาปุโรหิตไปยังแม่น้ำหมิง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ประโยชน์?”
หมิงซือเดินสองมือไพล่หลังไปยังริมหน้าต่าง เงามืดทำให้แสงดาวที่ทอดมาจากด้านนอกดูจางลง
เงาของเขามีขนาดเล็กกว่าร่างจริง ดูแล้วเหมือนหุ่นเชิดที่แปลกประหลาดและน่ากลัว
“ข้าสืบมาพักใหญ่แล้ว ในที่สุดวันนี้ก็มั่นใจว่าเขาแอบติดต่ออยู่กับเขาอวิ๋นเมิ่งมาโดยตลอด การสังหารเขาจะเป็นปร ระโยชน์ต่อข้าและชิงซานของพวกเจ้า”
หมิงซือหมุนตัวมามองดูเขาพลางกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากเขาตายอยู่ที่แม่น้ำหมิง ความวุ่นวายในโลกด้านล่างก็ จะยุติลง เจ้าและข้าก็จะได้เลือกจักรพรรดิองค์ใหม่อย่างสบายใจ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “นี่ถือว่าพวกเราบรรลุข้อตกลง?”
หมิงซือกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่หลิ่วฉือ แล้วก็ไม่ใช่หยวนฉีจิง เจ้าอยากจะเกลี้ยกล่อมข้าให้ทรยศนักพรต เพียงเท่านี้มันย ยังไม่พอ ข้าจะจับมือกับผู้ชนะในตอนสุดท้ายเท่านั้น เจ้าอ่อนแอถึงเพียงนี้ ยังไม่อาจทำให้ข้าเชื่อใจได้จริงๆ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่ส่ง”
หมิงซือกล่าวว่า “ข้ามาส่งจดหมาย เจ้าแน่ใจนะว่าไม่อยากรู้ว่าเนื้อหาในจดหมายนั้นเขียนไว้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วคิดอยากจะหยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมานอน ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นถูกเสวี่ยจีเอาไปนั่ งอยู่ จึงได้แต่ต้องนอนลงไปบนพื้น มองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาราด้านนอกหน้าต่าง
หมิงซือมองดูเขา สะบัดแขนเสื้อเบาๆ เงามืดค่อยๆ กลายเป็นสีน้ำเงิน ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ได้พบยอดฝีมือที่มีอำนาจที่สุดของเผ่าหมิงถึงสองคนในเวลาหนึ่งคืน กระทั่งจิ๋งจิ่วเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ แล้วก็ รู้สึกเหนื่อย
เขาดูเยือกเย็นเป็นอย่างมากในการสนทนาสองครั้งนี้ แล้วยังมีทีท่าดูแคลนเล็กด้วย แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่แสดง งออกมา
ไม่ว่าจะเป็นเงาของมหาปุโรหิตหรือว่าหมิงซือก็ล้วนแต่น่ากลัวสำหรับเขาอย่างมาก
ระดับชั้นระหว่างทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไป ถ้าหากมิใช่เป็นเพราะลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงอยู่ในมือเขา การสนท ทนาสองครั้งนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
ก็เหมือนว่าถ้าหากเขาไม่มีป้ายชีวิตของอินเฟิ่ง ไม่ได้กุมความลับนั้นเอาไว้ เมื่อตอนกลางวันปู้ชิวเซียวก็ไม่มีทาง งเดินทางมาที่นี่เพื่อเจรจากับเขาเช่นกัน
ชายหนุ่มผู้หนึ่งถือสมุดที่ล้ำค่าที่สุดเดินไปเดินมาบนโลก ได้นั่งพูดคุยกับองค์ชายและขุนนาง ดูคล้ายเป็นธรรมชา าติและใจเย็น แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมากเช่นกัน
เขารู้ว่าใครเป็นคนเขียนจดหมายที่หมิงซือพูดถึงฉบับนั้น
จริงอยู่ที่การใช้เงาของยอดฝีมือเผ่าหมิงมาส่งข่าวนั้นเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียนอันกว้างใหญ่ เผล ลอๆ อาจจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุดด้วย
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าคนที่อยู่บนแผ่นดินจะเอาจดหมายส่งไปยังเผ่าหมิงได้อย่างไร
ก่อนหน้าที่เขาจะมียุงของคุกสะกดมาร ก็มีเพียงนักพรตไท่ผิงเท่านั้นที่มีความสามารถนี้ ส่วนสำนักจงโจวบางทีอาจจ จะมีวิธีบางอย่างอยู่เช่นกัน
เขารู้จักศิษย์พี่ดี รู้ว่าต่อให้เหลือบมองเพียงแวบเดียวก็สามารถตกไปอยู่ในกับดักของอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเขาจึ งไม่คิดอยากจะดูจดหมายฉบับนั้นเลย
แต่ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง นั่นคือถ้าหากมหาปุโรหิตตามตนเองมาได้เพราะมีสำนักจงโจวคอยแจ้งข่าว เช่นนั้นหมิงซือรู้ ว่าตนเองอยู่สวนดอกเหมยเก่าได้อย่างไร?
ก่อนที่เขาจะคิด กระทั่งตัวเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองจะมาที่นี่
จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกๆ
ตอนที่เจรจากับปู้ชิวเซียวเมื่อตอนกลางวัน เขาก็มีความรู้สึกคล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้น
หรือว่าในร่างกายตนเองจะถูกใครทิ้งอะไรบางอย่างที่ใช้ติดตามร่องรอยได้เอาไว้?
เขาครุ่นคิดถึงประสบการณ์ในชีวิตที่แล้วอย่างละเอียด พลางตรวจสอบดูในจุดที่ละเอียดที่สุดในร่างกาย พบว่าไม่มีป ปัญหาใดๆ แล้วก็ไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ
ตอนที่สู้กับเทียนจิ้นเหรินในตอนนั้น จริงอยู่ที่กระแสจิตของอีกฝ่ายเคยเข้ามาในร่างกายของเขา แต่ตอนนี้มันก็ มิได้มีหลงเหลืออยู่แล้ว
ร่างกายของเขายังคงสะอาดและบริสุทธิ์อยู่ เพียงแต่ตรงส่วนเอวและในกระดูกสันหลังยังมีไหมฟ้าอยู่เล็กน้อย
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เวลาหนึ่งคืนก็ผ่านไป
แสงสว่างยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เขาลุกขึ้นยืนเตรียมจากไป แต่กลับพบว่าบนพื้นตรงจุดที่หมิงซือหายตัว ไปมีตัวหนังสืออยู่แถวหนึ่ง
“ทางใต้มีเมฆลอยมาก้อนหนึ่ง”
เมื่อเห็นประโยคนี้ ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หมุนตัวมองไปทางทิศใต้ด้านนอกหน้าต่าง
ในท้องฟ้าทางใต้มีเมฆจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วเมฆก้อนไหนถึงเป็นก้อนที่ต้องตายก้อนนั้น?