มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 52 ข้าเห็นชิงซานงดงาม
หมิงกั๋วซิ่งตกใจเป็นอย่างมาก รีบลุกขึ้นคารวะ
จิ๋งจิ่วพยักหน้าเดินผ่านไป กลายเป็นชุดสีขาวที่ลอยไปไกลบนทางเดินขึ้นเขา
เขาไม่ได้ขี่กระบี่ มิได้เป็นเพราะมารยาท แล้วก็มิได้เป็นเพราะการเปิดใช้งานข่ายพลังชิงซานมีความยุ่งยาก
เมื่อมีป้ายคำสั่งอยู่กับตัว ก็ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้
เพียงแต่เมื่อเทียบกับการขี่กระบี่แล้ว การเดินทางในระยะทางไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้ เขาเคยชินกับการเดินมากกว่า
การเดินสามารถมองดูทิวทัศน์ สงบจิตใจ สามารถเอาเรื่องที่ซับซ้อนและยากที่จะคิดคำนวนให้ชัดเจนได้เหล่านั้นมาจัดเรียบเรียงภายในใจอีกรอบหนึ่ง
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ เขาก็มาถึงศาลาหนานซง
ภายในป่าสนมีสวนเล็กๆ แอบซ่อนอยู่หลายสิบแห่ง ศิษย์นอกสำนักหนุ่มสาวเหล่านั้น บ้างก็กำลังฝึกออกหมัดอยู่ใต้ต้นสน บ้างก็นั่งสมาธิอยู่ริมธาร
เรื่องที่เขาและหลิ่วสือซุ่ยเรียนอยู่ที่นี่กลายเป็นเรื่องเมื่อสามสิบปีก่อนไปแล้ว รายละเอียดหลายๆ อย่างค่อยๆ ลืมเลือนไป อย่างเช่นเด็กหนุ่มแซ่เซวียที่น่าเบื่อผู้นั้นเป็นหลาน นของผู้อาวุโสคนไหนนะ? กลับกลายเป็นความทรงจำเมื่อแปดร้อยกว่าปีก่อนที่มีความชัดเจนมากกว่า จนกระทั่งถึงวันนี้เขายังจำตอนที่ถูกอาจารย์ปู่พาออกมาจากวังในเมืองเจาเกอได้ พี่ ชายของเขายืนมองดูอยู่ตรงลานหน้าตำหนัก ค่อยๆ กลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ
ถูกต้อง เขาถูกนักพรตเต้าหยวนที่เป็นอาจารย์ปู่พากลับมายังชิงซาน เพราะว่าเขาคืออัจฉริยะในการบำเพ็ญพรตอย่างแท้จริง
หลังมาถึงชิงซาน เขาก็เคยเจอหน้าอาจารย์ปู่เพียงแค่ไม่กี่ครั้ง ก่อนที่อาจารย์ปู่จะถูกหนานชวีลอบทำร้ายจนเสียชีวิต
ในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีหลังจากนั้น อาจารย์เก็บตัวบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบาก ด้วยคิดอยากจะบรรลุสภาวะไปจนถึงขั้นซ่อนพิภพ เพื่อที่จะได้ไปยังเกาะหมอกสังหารหนานชวี แต่ผลสุดท้ายเป ป็นเพราะว่ารีบร้อนเกินไป ใจแห่งเต๋าจึงแตกสลายและตายลงไป
สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง ศิษย์พี่และเขากลายเป็นเด็กที่ไม่มีผู้อาวุโสคอยดูแล ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อ
ศิษย์พี่เปิดยอดเขารับศิษย์อย่างไม่ลังเล เขารับเอาหยวนฉีจิงและหลิ่วฉือซึ่งเป็นศิษย์อัจฉริยะมาก่อน จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมอินเฟิ่งและเย่เซี่ยว
ในตอนนั้นเขาไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่บำเพ็ญเพียรอย่างเงียบๆ หวังจะไล่ตามศิษย์พี่ให้ทันโดยเร็ว เพื่อจะได้ช่วยเหลือศิษย์พี่
สุดท้ายเขาไล่ตามศิษย์พี่ได้จริงๆ ได้ยืนอยู่ข้างกายศิษย์พี่ หยวนฉีจิงและหลิ่วฉือเองก็ยกระดับสภาวะได้อย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ยอดเขาซั่งเต๋อแข็งแกร่งขึ้นมา พวกเขาเป ปิดศึกกับยอดเขาอื่นๆภายใต้การนำของศิษย์พี่ ทั่วทั้งชิงซานต่างวุ่นวาย โลหิตไหลเป็นสายน้ำ การสืบทอดของชิงซานดำเนินต่อไปอีกครั้ง
ในตอนที่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ จิ๋งจิ่วได้เดินเลยศาลาหนานซงไป จนมาถึงในหอเล็กแห่งนั้น
ภายในหอเล็กมีรูปเหมือนของปรมาจารย์รุ่นก่อนๆ ของชิงซานและบุคคลสำคัญวางเอาไว้อยู่
รูปเหมือนสองรูปสุดท้ายคือนักพรตไท่ผิงและนักพรตจิ่งหยาง
จิ๋งจิ่วมองดูรูปเหมือนสองรูปนี้ คิดถึงเรื่องราวบางอย่าง
เขาไม่เคยเป็นเจ้าสำนัก แต่ย่อมต้องมีสิทธิ์ที่จะได้ตั้งรูปอยู่ที่นี่
ศิษย์พี่ส่งจดหมายฉบับนั้นกลับมามันหมายความว่าอะไร?
นักพรตไท่ผิงจะกลับมายังชิงซานหรือ?
เมื่อเดินผ่านหอเล็กก็จะมาถึงหมู่เขาทั้งเก้าของชิงซาน ลำธารสี่เจี้ยนที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ดูคล้ายผ้าไหมสีทองที่กำลังโบกสะบัดอย่างเชื่องช้า
เหล่าศิษย์หนุ่มสาวที่อยู่ริมลำธารมองเห็นจิ๋งจิ่ว ต่างพากันตกตะลึงเป็นอย่างมาก รีบแยกตัวออกเป็นสองแถวพลางกล่าวคารวะว่า “คารวะอาจารย์อา”
ศิษย์บางคนที่ค่อนข้างใจกล้าก็ตะโกนออกมาว่า “อาจารย์อาเล็ก!”
จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจศิษย์หนุ่มสาวเหล่านี้ แล้วก็ไม่ได้พยักหน้า หากแต่เดินตรงไปในส่วนลึกของธารสี่เจี้ยน
ความอาวุโสต่างกันมากเกินไป จึงไม่มีปัญหาเรื่องเสียมารยาท ในสายตาของเขา เด็กเหล่านี้ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกวานรที่อยู่บนหน้าผาริมธารสี่เจี้ยนเลย
เมื่อชุดสีขาวชุดนั้นหายไปตรงหน้าผาที่อยู่ปลายสุดของธารสี่เจี้ยน เหล่าศิษย์ที่อยู่ริมธารจึงพากันโล่งอก ก่อนจะทยอยยืดตัวขึ้นมา
พวกเขาเอามือกุมหน้าอก ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ายินดี ในใจครุ่นคิดว่าวันนี้โชคดีจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบอาจารย์อาเล็กที่เล่าลือกัน
เมื่อเดินต่อไปข้างหน้าอีกหลายสิบลี้ เมฆหมอกค่อยๆ จับตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ เสาหินหลายร้อยต้นพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ดูคล้ายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน
ที่นี่คือลานทดสอบกระบี่ของชิงซาน เมื่อมาถึงที่นี่ก็หมายความว่าเบื้องหน้าคือยอดเขาเทียนกวง
จิ๋งจิ่วยังคงไม่ขี่กระบี่ เขาเดินตามทางขึ้นเขาขึ้นไปยังยอดเขา
มีกระบี่บินผ่านไปเป็นระยะ
เมื่อเห็นชุดสีขาวที่พลิ้วไหวอยู่บนทางขึ้นเขา ศิษย์ของยอดเขาเทียนกวงเหล่านั้นก็รีบหยุดลง จากนั้นประกบมือคารวะ มองดูเขาเดินขึ้นไปข้างบน
ผ่านไปไม่นาน จิ๋งจิ่วก็มาถึงยอดเขาเทียนกวง
เขาไม่ได้มาที่นี่เป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ข่ายพลังและการตกแต่งบนยอดเขายังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เขาเดินไปตรงหน้าป้ายหินป้ายนั้น ไม่ได้เหลือบมองดูปลอกกระบี่ที่ปักอยู่บนป้ายหินนั้นแม้แต่นิดเดียว หากแต่ยื่นมือไปลูบหลังของหยวนกุยพลางตบเบาๆ
หยวนกุยลืมตาขึ้นมามองดูเขา ในใจครุ่นคิดว่านี่ตัดสินใจแล้วหรือ?
หลิ่วฉือนั่งอยู่ริมผา ร่างกายสูงใหญ่ ถึงแม้จะนั่งอยู่ก็ยังดูสูงใหญ่ ขาทั้งสองข้างคล้ายจะยืดยาวลงไปในทะเลเมฆ
จิ๋งจิ่วเดินไปยืนอยู่ข้างกายเขาก่อนจะนั่งลงไป มองดูทะเลเมฆที่อยู่เบื้องหน้า
สายลมที่เย็นสบายพัดผ่าน ท้องฟ้าสดใส ยอดเขาต่างๆ โผล่พ้นทะเลเมฆ ดูคล้ายดินแดนเซียน
ยอดเขาซั่งเต๋อที่เป็นเหมือนภูเขาหิมะปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจน กระทั่งยอดเขากระบี่ที่ถูกเมฆหมอกปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปีก็ยังปรากฏตัวขึ้นมาให้เห็นหลังล่าง บนยอดเขาเหลี่ย ยงว่างมีลำแสงกระบี่สว่างวาบขึ้นมาไม่หยุด
ยอดเขาซื่อเยวี่ยและยอดเขาซีไหลคล้ายเชื่อมติดกัน ยอดเขาปี้หูดูเหมือนต้นสนเตี้ยที่อยู่ในกระถางบอนไซ
ยอดเขาเสินม่อที่อยู่ไกลที่สุดเป็นเหมือนกระบี่ที่โดดเดี่ยว
ยอดเขาชิงหรงคล้ายกำลังมองดูยอดเขาเสินม่ออย่างลุ่มหลง
ส่วนฟ้าดินที่อยู่เบื้องหน้าก็คล้ายว่ามีม่านพลังที่มองไม่เห็นอยู่แห่งหนึ่ง ทางด้านนั้นมียอดเขาไร้นามที่งดงามอยู่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน นั่นก็คือยอดเขาซ่อนเร้นที่เล่าลือก กัน
หากมองออกไปไกลกว่านั้น ก็จะสามารถมองเห็นแม่น้ำจั๋วได้
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ชิงซานสวยงาม”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ข้าเห็นชิงซานสวยงาม คิดว่าเมื่อชิงซานเห็นอาจารย์อาก็คงคิดแบบนี้เช่นเดียวกัน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “อืม”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านมาสินะ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “หากไม่มีเรื่องจะมาทำไม?”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “เช่นนั้นเหตุใดวันนี้อาจารย์อาถึงมา? ยิ่งไปกว่านั้นยังเดินมา”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าอยากจะตรวจดูความจริงอะไรบางอย่าง”
จากศาลาหนานซงมาถึงลำธารสี่เจี้ยน แล้วมาถึงป่ากระบี่ จากนั้นค่อยมาถึงยอดเขาเทียนกวง เขาเดินมาเพื่อจะค้นหาความทรงจำเมื่อในอดีต เเล้วก็เป็นการตรวจสอบดูดินแดนของตน
หลิ่วฉือนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวถามว่า “อาจารย์อาตรวจสอบอะไร?”
“ชิงซาน เป็นชิงซานของข้า”
จิ๋งจิ่วมองออกไปยังที่หนึ่งที่อยู่ด้านนอกทะเลเมฆ กล่าวว่า “ดังนั้นข้าจะตกลงรับคำขอของเขา”
หลิ่วฉือรู้สึกทอดถอนใจ ในใจคิดว่าถ้าหากให้โลกแห่งการบำเพ็ญพรตรู้เรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าจะเกิดการตอบสนองอย่างไรบ้าง
ประวัติศาสตร์หกร้อยปีที่ผ่านมาของแผ่นดินชาวเทียน เป็นประวัติศาสตร์ที่นักพรตไท่ผิงและนักพรตจิ่งหยางเป็นคนเขียน
พวกเขาร่วมมือกันครั้งแรกก็สามารถสยบยอดฝีมือของยอดเขาต่างๆ ได้ ทำให้ระบบที่สืบทอดต่อๆ กันมาของชิงซานดำเนินต่อไปได้
พวกเขาร่วมมือกันครั้งที่สองก็ทำลายวิหารหลักของสำนักเสวียนอิน บีบให้คนอย่างปรมาจารย์สำนักเสวียนอินต้องหลบหนีลงไปอยู่ใต้ดิน
สำนักชิงซานกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ไม่มีผู้ใดกล้ามาท้าทายพวกเขา
หลังผ่านไปหกร้อยปี พวกเขาไม่อาจเทียบกับเมื่อก่อนได้อีก แต่ยังคงไม่จำเป็นต้องร่วมมือกัน อาศัยเพียงใจแห่งเต๋ามุ่งไปทางเดียวกันก็สามารถทำให้สำนักจงโจวเสียหายมากมายขนาดนั้น ได้
ถ้าหากครั้งนี้พวกเขาร่วมมือกัน มันจะทำให้เกิดเรื่องราวอย่างไรขึ้นบนประวัติศาสตร์ของแผ่นดินเฉาเทียน?
หลิ่วฉือกล่าวว่า “เขาก็เขียนจดหมายให้ข้าฉบับหนึ่งเหมือนกัน”
จิ๋งจิ่วมองดูเขา ไม่ได้พูดอะไร
“จดหมายฉบับนั้นส่งมาถึงศาลาหนานซง ต่อให้ข้าไม่พูด ยอดเขาซั่งเต๋อก็รู้อยู่ดี”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “บางทีอาจจะแค่ถือโอกาสส่งมาด้วยเท่านั้น แต่ก็ถือเป็นวิธีการยั่วยุที่ดีอย่างมาก”
ทันทีที่พูดจบ ก็มีพายุหิมะตกลงมา
ทะเลเมฆเกิดคลื่น กระบี่สามฉื่อแหวกอากาศพุ่งเข้ามาตรงด้านหน้าหน้าผาของยอดเขาเทียนกวง ตัวกระบี่ดูสลัวเล็กน้อย มีน้ำค้างแข็งเกาะเป็นชั้นบางๆ
“จริงเท็จไม่อาจรู้ได้ บางทีเขาอาจจะจงใจทำเช่นนี้เพื่อปกปิดแทนท่าน”
เสียงทุ้มต่ำของหยวนฉีจิงดังออกมาจากในกระบี่สามฉื่อ
หลิ่วฉือรู้ว่าจิ๋งจิ่วแจ้งเขาแล้ว จึงเลิกคิ้วเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไร
ยอดเขาเทียนกวงเงียบสงัด
บรรยากาศตึงเครียดและกดดัน
ในอดีตนักพรตไท่ผิงหนีออกมาจากคุกกระบี่ได้ แสดงให้เห็นว่าในชิงซานจะต้องมีผี
การที่สามารถทำเช่นนี้ได้ อีกฝ่ายจะต้องเป็นผีที่ร้ายกาจ
สามสิบปีมาแล้ว จิ๋งจิ่วแทบจะไม่ได้พบหน้าหลิ่วฉือกับหยวนฉีจิง แล้วก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ในใจของแต่ละคนต่างมีความคิดอยู่
หรือวันนี้พวกเขาจะพูดเรื่องนี้กันให้ชัดเจนไปเลย?