มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 54 ทำแบบนี้ไม่ดี อย่าเป็นคนดี
สังหารไท่ผิง ใต้หล้าถึงจะสงบสุข
คำพูดนี้ฟังดูน่าตลก แต่หลิ่วฉือกับหยวนฉีจิงกลับไม่หัวเราะ
เพราะคำพูดที่จิ๋งจิ่วพูดประโยคนี้เป็นสิ่งที่ทั่วทั้งใต้หล้าต่างทราบดี และใต้หล้าที่ว่านี้ก็หมายถึงคนที่อยู่ชั้นบนสุดเหล่านั้น
ความหมายที่จิ๋งจิ่วแสดงออกมานั้นทั้งชัดเจนและเด็ดขาด นั่นก็คือไม่ว่านักพรตไท่ผิงจะคิดอย่างไร ไม่ว่ากับดักกำจัดสำนักกระบี่ซีไห่จะดำเนินไปอย่างไร ชิงซานก็ต้องมองนักพรตไ ไท่ผิงเป็นศัตรู สังหารเขาให้ตาย
แต่นี่เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก ปรมาจารย์แห่งเกาะหมอกและเทพกระบี่ซีไห่ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่อยู่ในจุดสูงสุดของโลก หากรวมนักพรตไท่ผิงและเสวียนอินจึเข้าไปอีก แล้วก ก็ยังมียอดฝีมือของปู้เหล่าหลินที่แอบซ่อนอยู่ในเงามืดเหล่านั้น สำนักชิงซานจะเอาชนะพวกเขาได้จริงหรือ?
“แผนการยิ่งซับซ้อน การรับมือยิ่งเรียบง่าย”
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าจะมีแผนอะไรแอบซ่อนอยู่ พวกเราก็แค่ยกโขยงกันออกไป บดขยี้อีกฝ่าย เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ”
หลิ่วฉือยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “อาจารย์อา ยกโขยงออกไปคำนี้มันเอาไว้ใช้กับคนไม่ดี”
“เดิมพวกเราก็เป็นคนไม่ดี คนดีอายุไม่ยืน”
จิ๋งจิ่วมองหลิ่วฉือพลางกล่าวว่า “ถึงตอนนั้นอย่าลืมพาไก่กับแมวไปด้วย”
หยวนกุยที่แอบฟังทั้งสามคนคุยกันมาตลอด เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ไป๋กุ่ยนั้นพาไปได้อยู่ แต่อินเฟิ่ง…. ท่านแน่ใจนะว่าจะพามันไป?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้ามีป้ายชีวิตของมันอยู่”
“พวกเราออกไปกันหมด หากศัตรูลอบโจมตีชิงซานจะทำอย่างไร?”
เสียงของหยวนฉีจิงดังออกมาจากในกระบี่สามฉื่อ
เขากำลังกังวลว่าอาจมียอดฝีมือบางคนของสำนักจงโจวหรือว่าเผ่าหมิงฉวยโอกาสที่ชิงซาน ‘ยกขโยงกันออกไป’ เข้ามาลอบโจมตีชิงซาน
เมื่อสามร้อยปีก่อนก็เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นมา หมิงซือพายอดฝีมือลอบเข้ามาในชิงซาน จากนั้นก็ถูกนักพรตจิ่งหยางสังหารจนดวงจิตแตกสลาย แต่ปัญหาก็คือตอนนี้ไม่มีนักพรต จิ่งหยางแล้ว ซือโก่วก็เฝ้าคุกกระบี่อยู่ หยวนกุยนอนอาบแดด ศิษย์ธรรมดาเหล่านั้นอาจจะถูกทำร้ายได้
จิ๋งจิ่วมองไปยังกระบี่สามฉื่อที่อยู่ด้านนอกหน้าผา “ไม่ต้องเป็นห่วง ให้เจ้าสี่คอยเฝ้าอยู่ที่นี่ คนอื่นๆ ยกขโยงกันออกไป”
หลิ่วฉือส่งเสียงอืมหนึ่งครั้ง สองครั้ง
หยวนฉีจิงส่งเสียงเหอะออกมาเบาๆ
ทุกคนในชิงซานทางไปทำศึกที่ทะเลตะวันตก อย่างนั้นต่อให้มียอดฝีมือลอบเข้ามาในชิงซาน แต่พวกเขาจะทำร้ายใครได้? ฟางจิ่งเทียนหรือ?
ส่วนของล้ำค่าในยอดเขาต่างๆ เหล่านั้นก็ย่อมต้องมีข่ายพลังปิดกั้นคอยปกป้องอยู่ ถ้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริงๆ ซือโก่วย่อมต้องออกหน้าอย่างแน่นอน
วิธีนี้ช่างเรียบง่ายและหยาบกระด้าง มันเท่ากับทำให้ชิงซานกลายเป็นกระบี่ยักษ์ที่กวาดไปบนแผ่นดินเฉาเทียน ใครจะหยุดเอาไว้ได้?
หลิ่วฉือรู้ว่าที่จิ๋งจิ่ววางแผนเช่นนี้เพราะมีแผนการที่ลึกซึ้งกว่านั้น เขานิ่งเงียบไปครู่ก่อนกล่าวว่า “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
หยวนฉีจิงไม่ได้ออกความเห็นอะไรอีก หากแต่กล่าวว่า “หนานชวีจะทำอย่างไร?”
หากบอกว่าปัจจัยที่ไม่แน่นอนที่สุดในแผนการถล่มซีไห่ก็คือท่าทีของนักพรตไท่ผิง อย่างนั้นจุดที่ยากที่สุดก็คือจะสังหารหนานชวีอย่างไร
หากมองไปทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน ไม่ว่าจะเป็นอายุ ความอาวุโสหรือว่าสภาวะ หนานชวีผู้เป็นปรมจารย์แห่งเกาะหมอกนั้นน่าจะเป็นคนที่อยู่ในจุดสูงสุด
หากในตอนนั้นเขาได้เป็นศิษย์ของนักพรตเต้าหยวนจริงๆ จิ๋งจิ่วกับอินซานก็ต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อา
เมื่อหลายร้อยปีก่อน หนานชวีก็บรรลุสภาวะขั้นทะลวงสวรรค์ระดับสูงสุดแล้ว เป็นเหมือนดั่งเซียนกระบี่ ตอนนี้เขาแก่ไปมากแล้ว แต่ดูแล้ววิถีกระบี่น่าจะยิ่งล้ำลึกขึ้นกว่าแต่ ก่อน
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ข้าเป็นเจ้าสำนัก ข้าย่อมต้องจัดการเอง”
หยวนฉีจิงแค่นหัวเราะพลางกล่าว “กระทั่งกระบี่เจ้าก็ไม่มี แล้วจะฆ่าคนอย่างไร?”
หลิ่วฉือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดของแผ่นดินเฉาเทียน ไม่มีใครที่จะให้เขาต่อว่าได้อีก
หลายปีมานี้มามีโอกาสให้เขาได้ต่อว่าอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งเขาล้วนแต่พูดถึงเรื่องนี้
เป็นถึงเจ้าสำนักชิงซาน แต่กลับไม่มีแม้กระทั่งกระบี่ของตน…
ดังนั้นในตอนที่หยวนฉีจิงใช้เรื่องนี้มาคัดค้านเขา เขาจึงพูดอะไรไม่ออก เขามองจิ่งจิ่วพลางถอนใจออกมา
จิ๋งจิ่วคิดใจในว่าไม่มีกระบี่แล้วสู้หนานชวีไม่ได้ นั่นเป็นเพราะตัวเองยังฝึกไม่มากพอ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?
สายตาของหลิ่วฉือไม่เลื่อนออกไปไหน
จิ๋งจิ่วค่อนข้างกดดัน เขากล่าวแนะนำว่า “หรือจะเชิญเสวี่ยจีมาช่วย?”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ต่อให้สาวน้อยรักษาอาการบาดเจ็บจนหายแล้ว นางก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนานชวีอยู่ดี”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ย่อมต้องให้สาวน้อยร่วมมือกับเจ้า”
หลิ่วฉือลังเลเล็กน้อย กล่าวว่า “แบบนี้ไม่ดีกระมัง?”
“ไม่ดีแน่นอน!”
เสียงของหยวนฉีจิงเย็นยะเยือกเป็นอย่างยิ่ง “พวกท่านก็รู้ว่านางเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง!”
ชิงซานฝึกกระบี่ สิ่งที่ให้ความสำคัญคือตรง
เที่ยงตรงถึงจะผ่าเผย
หลิ่วฉือทอดตามองออกไป ไม่ได้พูดอะไรอีก
จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจ เขาเพียงแต่คิดไม่ออกว่าจะใช้วิธีอะไรมาทำให้เสวี่ยจีลงมือ
เมื่อคิดถึงเสวี่ยจี เขาก็คิดไปถึงคันฉ่องฟ้ากระจ่าง จากนั้นกล่าวว่า “ถงเหยียนเหมือนจะวางแผนเล่นงานซีไห่เอาไว้เช่นเดียวกัน น่าจะเป็นแผนที่วางเอาไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “แผนของเด็กพวกนั้นคืออะไร? อย่ามาทำให้แผนการของพวกเราวุ่นวายแล้วกัน”
จิ่งจิ่วกล่าว “ไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าเกี่ยวข้องกับกั้วตง”
หยวนฉีจิงกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ผู้อาวุโสทำเป็นแต่เพียงฆ่าคน หากพูดถึงเรื่องการวางแผนแล้ว เกรงว่ายังไม่อาจเทียบศิษย์น้องเล็กได้ด้วยซ้ำ”
หลิ่วฉือส่งเสียงอืม เห็นด้วยกับคำพูดนี้
จิ๋งจิ่วหมุนตัวเดินไปตรงหน้าป้ายหิน เงยหน้ามองดูปลอกกระบี่ที่ปักอยู่ในป้ายหินนั้น ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
“พวกเจ้าคิดกันไปก่อนว่าควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็ตบกระดองหยวนกุย ก่อนจะเรียกกระบี่คมจักรวาลออกมา จากนั้นนั่งกระบี่จากไป
……
……
ลำแสงกระบี่ที่เยือกเย็นและอ้างว้างส่องสว่างยอดเขาเสินม่อ ทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิค่อยๆ จืดจางลง
หยวนฉวี่และผิงหย่งเจียหลับตาทำสมาธิอยู่ในตำหนัก แมวขาวนอนฟุบอยู่ตรงริมผา เล่นกระดิ่งที่ห้อยอยู่ตรงคออย่างเบื่อหน่าย
จิ๋งจิ่วมองดูมัน ก่อนจะเดินเข้าไปในถ้ำ
ในส่วนลึกของถ้ำมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมา เจ้าล่าเยวี่ยนั่งขัดสมาธิ กระบี่มิคำนึงหมุนอย่างช้าๆ อยู่เหนือศีรษะของนาง ให้ความรู้สึกลึกลับ
จิ๋งจิ่วนั่งลงตรงหน้านาง
เจ้าล่าเยวี่ยลืมตาขึ้นมา พบว่าเขาค่อนข้างเหนื่อยล้า จึงถามอย่างตกใจว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
จิ๋งจิ่วเล่าเรื่องในเมืองเจาเกอและจดหมายฉบับนั้น
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวถามว่า “ท่านคิดว่าอย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวถาม “เรื่องซีไห่?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดวงตาเขาพลางกล่าวว่า “ไม่ ข้าหมายถึงผีในชิงซาน”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ครั้งนี้น่าจะรู้แล้วว่าเป็นใคร”
หลังเดินตามแม่น้ำในภูเขาสายนั้นกลับมายังโลกมนุษย์ใหม่อีกครั้ง เวลาก็ได้ผ่านไปสามสิบปีแล้ว
ในช่วงเวลาสามสิบปีนี้ เขาครุ่นคิดมาตลอดว่าผีในชิงซานตัวนั้นคือใคร
ในตอนแรกสุด เขาและหยวนฉีจิงต่างสงสัยหลิ่วฉือ ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้โอกาสหลิ่วฉือหลายครั้ง…..แต่หลิ่วฉือก็ไม่ได้ทำอะไรเลย หลายปีมานี้คอยแอบดูแลยอดเขาเสินม่ออย่างเงียบๆ ๆ มาโดยตลอด ในงานชุมนุมแสวงมรรคาก็มาคอยช่วยเขา ในวัดกั่วเฉิงก็ทำให้เสวียนอินจึบาดเจ็บสาหัส
ไม่ว่าจะมองอย่างไร หลิ่วฉือก็ไม่ควรจะถูกสงสัยอีก เช่นนั้นหรือจะเป็นหยวนฉีจิง?
คุกกระบี่เป็นของยอดเขาซั่งเต๋อ เหลยพั่วอวิ๋นถูกเขาฆ่า เดิมความน่าสงสัยของหยวนฉีจิงก็มากอยู่แล้ว
ในตอนที่จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในถ้ำ เขาย่อมต้องคลายข่ายพลัง ด้านนอกถ้ำมีเสียงดังลอยเข้ามา นั่นคือเสียงพูดคุยของหยวนฉวี่กับผิงหย่งเจีย
ในงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ครั้งนั้น เขาได้ให้เจ้าล่าเยวี่ยรับหยวนฉวี่มายังยอดเขาเสินม่อ นี่เป็นข้อตกลงที่ได้ทำเอาไว้กับหยวนฉีจิง แล้วก็เป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง?
จิ๋งจิ่วฟังเสียงของหยวนฉวี่ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
ไม่ว่าหนานชวีและซีไหลจะแข็งแกร่งเพียงใด ไม่ว่านี่จะใช่กับดักของศิษย์พี่หรือไม่ ขอเพียงชิงซานไม่มีปัญหา ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจ
ชิงซานเป็นเหมือนกระบี่ ใต้หล้าย่อมไร้ผู้ต่อกร
แต่ถ้าหากในชิงซานมีผีล่ะ? ถ้าหากกระบี่เล่มนี้ดูผิวเผือนเหมือนจะแวววาวสวยงาม แต่ความจริงด้านในกลับมีรอยแตกร้าวละ?
ที่ครั้งนี้เขาตอบรับจดหมายของศิษย์พี่ นอกจากเพราะอยากจะสังหารหนานชวีแล้ว ยังเป็นเพราะเขาอยากจะรู้ว่าผีตัวนั้นคือใคร
แต่เขาคล้ายจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าถ้าหากหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงมีใครคนใดคนหนึ่งเป็นผีจริงๆ ถึงแม้ข่ายพลังกระบี่ชิงซานจะ โจมตีออกไป แต่แผนการนี้มันก็ยังอันตรายอย่างมาก โดยเฉ ฉพาะสำหรับเขา
เจ้าล่าเยวี่ยย่อมต้องช่วยเขาคิดได้ กล่าวว่า “อันตรายเกินไป พวกเราควรจะออกไป”
ออกไปจากชิงซาน นี่ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวอย่างมาก
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากพวกเขาอยากจะฆ่าข้า หลายปีมานี้ข้าคงจะตายไปนานแล้ว ที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการฆ่าข้า ถึงแม้พวกเขาจะเป็นผีจริงๆ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “ไม่ นี่แค่แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาย่ำแย่จริงๆ ต่างฝ่ายต่างจับตาดูกันอยู่ ดังนั้นจึงไม่สามารถทำอะไรท่านได้”
ศิษย์ที่ธรรมดาที่สุดของชิงซานหรือกระทั่งผู้ดูแลในชิงซานก็ยังรู้ว่าความสัมพันธ์ของเจ้าสำนักกับกฎแห่งกระบี่หยวนฉีจิงนั้นแย่อย่างมาก
นี่เป็นเรื่องจริงที่เป็นที่รับรู้กันในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตบนแผ่นดินเฉาเทียน
เหตุผลนั้นง่ายมาก หยวนฉีจิงเป็นศิษย์พี่ แต่ตำแหน่งเจ้าสำนักกลับเป็นของหลิ่วฉือ เขาย่อมต้องไม่ยอม
ในช่วงเวลาสามร้อยปีที่ผ่านมา ยอดเขาเทียนกวงได้ขยายอิทธิพลของตัวเองออกไปไม่หยุด จนใกล้จะทำให้ยอดเขาเหลี่ยงว่างกลายเป็นยอดเขารองของตนแล้ว นั่นเป็นเพราะอำนาจบารมีของเจ้า าสำนัก ส่วนยอดเขาซั่งเต๋อได้แต่อาศัยกฎสำนักและสถานะของหยวนฉีจิงในการยืนหยัดเอาไว้
“ความจริงพวกเขาเข้าสำนักมาวันเดียวกัน เพียงแต่หลิ่วฉือมัวแต่ไปดูทิวทัศน์ต้นสนบนยอดเขาซั่งเต๋อ จึงเข้าสำนักมาช้ากว่าหยวนฉีจิงเพียงไม่กี่ก้าว ก็เลยกลายเป็นศิษย์น้อง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หลิ่วฉือไม่ได้พูดอะไร แต่ภายในใจเขาจะต้องคิดอะไรอยู่แน่ แต่ว่าเขากลับบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์เร็วกว่าหยวนฉีจิงไม่น้อย”
เจ้าล่าเยวี่ย “นักพรตไท่ผิงก็เลยเลือกหลิ่วฉือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ ตอนนั้นเขาถูกขังอยู่ในคุกกระบี่ ดังนั้นข้าเป็นคนเลือก”
เจ้าล่าเยวี่ยตกใจ กล่าวถามว่า “อาศัยเพียงสภาวะสูงต่ำ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นหยวนฉีจิงไม่ชอบข้า เช่นนั้นข้าย่อมต้องเลือกหลิ่ว”
เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกหมดคำพูด หลังจากนั้นครู่หนึ่งกล่าวออกมาว่า “ทำแบบนี้ไม่ค่อยดีหรือเปล่า?”
จิ๋งจิ่วมองดูนางพลางกล่าวว่า “อย่าเป็นคนดี เพราะโลกนี้หนักเกินไป แข็งแกร่งเหมือนเฉาหยวนก็ยังแบกไม่ไหว”
แล้วศิษย์พี่รับรู้ได้เมื่อไหร่ว่าโลกนี้มันหนักเกินไปล่ะ?
ต่อให้หนานชวีตายไปแล้ว สำนักกระบี่ซีไห่พังทลายไปแล้ว ศิษย์พี่จะได้ประโยชน์อะไร? กระบี่พรหมจรรย์อย่างนั้นหรือ?
เขามองดูมือขวาของตนเองพลางคิดถึงปัญหาเหล่านี้ จากนั้นหยิบเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างขึ้นมาลับอย่างเงียบๆ การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเชื่องช้า ทีละนิด ทีละนิด
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูภาพนี้ ทันใดนั้นพลันเกิดความรู้สึกเห็นใจ แต่กลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด