มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 55 เตรียมออกกระบี่
คลื่นทะเลกระแทกโขดหิน เกิดเป็นฟองสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วน
อินซานหันหน้าไปทางทะเล ยิ้มเล็กน้อยคล้ายดอกไม้ที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ
เขายังคงดูเป็นเป็นมิตรน่าชิดใกล้ ให้ความรู้สึกสดใส ราวกับว่าไม่มีเรื่องวุ่นวายใจใดๆ
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินยืนอยู่ด้านหลัง มองดูใบหน้าด้านข้างของเขา ภายในใจเกิดความรู้สึกเห็นใจอย่างมากขึ้นมา จากนั้นถอนใจพลางหยิบเอากระดูกท่อนหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ ยก กขึ้นมาตรงริมปากแล้วกัดลงไป
กระดูกท่อนนั้นมีลักษณะเรียวยาว ไม่รู้ว่าเป็นกระดูกซี่โครงของอสูรทะเลหรือว่าเป็นกระดูกแขนของผู้บำเพ็ญพรต ดูค่อนข้างน่ากลัว
ไม่รู้เพราะเหตุใด ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินรู้สึกไม่มีรสชาติ จึงเก็บกระดูกกลับไปใหม่
อินซานไม่ได้เหลียวหน้ากลับมา กล่าวถามว่า “เมื่อก่อนเจ้าชอบกินอันนี้มากที่สุด ทำไมรสชาติถึงเปลี่ยนไปแล้วล่ะ?”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า “อาจเป็นเพราะแก่แล้ว ก็เลยกินอะไรไม่อร่อย”
“ข้ายังชอบกินหม้อไฟอยู่ ความอยากอาหารยังคงเหมือนเมื่อครั้งเป็นหนุ่ม ข้ายังคงรู้สึกสนใจโลกใบนี้ ยังคงรู้สึกว่าพยายามต่อไปก็ยังไม่สาย”
อินซานมองดูทะเล ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ดังนั้นอย่างน้อยข้ายังต้องอยู่ไปอีกห้าร้อยปี”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวอย่างจริงจังว่า “ห้าร้อยปีพอที่ไหน เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องการให้ท่านอยู่ไปอีกห้าหมื่นปี”
“ข้าไม่ใช่เต่าที่อยู่บนยอดเขาเทียนกวงตัวนั้นเสียหน่อย”
อินซานมองดูมือขวาของตัวเอง พลันกล่าวถามขึ้นมาว่า “กระบี่อยู่ที่นั่นจริงหรือ?”
หลังมือของเขาเริ่มกลายเป็นสีดำ แผ่กลิ่นความตายจางๆ ออกมา ดูคล้ายต้นไม้ตายซาก
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือปลายนิ้วของเขาเป็นเหมือนหินปูน เมื่อสัมผัสกับลมทะเลที่พัดผ่านก็จะมีเศษฝุ่นร่วงตกลงมา
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวว่า “ซูจึเย่บอกว่าอยู่ที่เกาะเซ่าหมิง แต่เทียนจิ้นเหรินไม่รู้ จึงไม่สามารถยืนยันได้ ระวังเอาไว้หน่อยจะดีกว่า”
เกาะเซ่าหมิงเป็นหอเก็บคัมภีร์กระบี่ มีการคุ้มกันแน่นหนา เป็นไปได้ยากที่จะเข้าไปโดยไม่ทำให้ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่รู้ตัว
อินซานกล่าวว่า “น่าสนใจ ดูเหมือนของที่สำคัญที่สุดในสำนักกระบี่ซีไห่จะเก็บเอาไว้ที่นั่นทั้งหมดเลย”
ต่อให้กระบี่พรหมจรรย์ไม่อยู่ที่เกาะเซ่าหมิง เขาก็ยังจะไปที่ันั่นอยู่ดี
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าศูนย์กลางของข่ายพลังปกป้องสำนักของสำนักกระบี่ซีไห่นั้นอยู่ที่นั่น
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป คลื่นยังคงซัดสาดไม่หยุด ฟองอากาศสีขาวลอยฟ่องอยู่บนผิวน้ำ ดวงอาทิตย์ตกลงไปในน้ำ ค่ำคืนที่มืดมิดมาเยือน
ภายใต้แสงดาวที่ส่องลงมา อินซานและปรมาจารย์สำนักเสวียนอินท่องไปบนผิวน้ำ มุ่งหน้าไปยังเกาะแห่งนั้น
หมู่เกาะในทะเลตะวันตกเคยเป็นดินแดนของอาณาจักรมนุษย์มังกร ภายหลังถูกสำนักกระบี่ซีไห่ยึดไปเป็นที่ตั้งสำนัก หลังผ่านไปสองร้อยปี การป้องกันของที่นี่ก็มีความสมบูรณ์เป็นอย่างมา าก ถึงแม้ข่ายพลังคุ้มกันสำนักจะยังไม่เปิดใช้งานอย่างเต็มที่ แต่ข่ายพลังอันตรายที่แอบซ่อนอยู่ในทะเลเหล่านั้นก็เพียงพอที่จะสังหารผู้บำเพ็ญพรตที่แอบเข้ามาสอดส่องได้อย่างง ง่ายดาย ทว่าข่ายพลังเหล่านี้ไม่มีความหมายใดๆ ต่ออินซาน มิใช่เป็นเพราะว่าสภาวะของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินลึกล้ำเหนือประมาณ หากแต่เป็นเพราะว่าเขากลืนกินดวงจิตของเทียนจิ้น เหรินเข้าไป จึงทำให้เขารู้จักค่ายพลังของที่นี่เป็นอย่างดี
ในอดีตตอนที่เทพกระบี่ซีไห่ก่อตั้งสำนักขึ้นที่หมู่เกาะแห่งนี้ ผู้ที่รับผิดชอบออกแบบและวางข่ายพลังก็คือเทียนจิ้นเหริน
บนทะเลที่อยู่ไกลออกไปพลันมีเสียงตูมดังสนั่น
วาฬบินพุ่งออกมาจากทะเล โบยบินไปยังที่แห่งหนึ่งในท้องฟ้ายามค่ำคืน
น้ำทะเลไหลตกลงมาจากร่างอันใหญ่ยักษ์ของวาฬบินราวน้ำตกร้อยกว่าสาย ถูกแสงดาวส่องสว่าง ดูคล้ายผ้าแพรสีเงิน
ในอดีตวาฬบินถูกหยวนฉีจิงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส หลังรักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีก็ไม่กล้าออกห่างจากหมู่เกาะทะเลตะวันตก ไม่รู้ว่าคืนนี้มันจะไปที่ไหน และจะไปทำเรื่องอะไร
อินซานมองดูปลาวาฬบินค่อยๆ หายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน ก่อนจะดึงสายตากลับมามองไปยังเกาะที่อยู่ไม่ไกลตรงเบื้องหน้าแห่งนั้น
บนเกาะเต็มไปด้วยต้นไม้เขียว เมื่ออยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้วดูคล้ายก้อนสีที่ถูกแต่งแต้มขึ้นมาจากน้ำหมึก เกิดเป็นโลกที่ดูแตกต่างกันอย่างชัดเจนกับน้ำทะเลที่ถูกแสงดาวส สาดส่อง
ทั้งสองคนเดินเหยียบน้ำทะเลขึ้นไปบนหาดทราย เข้าไปในป่าทึบ หลบหลีกข่ายพลัง ก่อนจะมาถึงหน้าถ้ำที่ดูรกร้างแห่งหนึ่งในภูเขา
บนพื้นมีก้อนหินและเม็ดทรายกระจัดกระจาย มีรอยเท้าสองสามรอยเหลือทิ้งเอาไว้ นอกจากนี้ก็ไม่มีร่องรอยอะไรอย่างอื่นอีก ประตูหินของถ้ำปิดสนิท ดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หากจ้อง งมองไปบนประตูหินเป็นเวลานาน ก็จะรู้สึกได้ว่าผิวของประตูหินกำลังไหลขึ้นมา กลายเป็นน้ำวนเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน
ศูนย์กลางของข่ายพลังประจำสำนักกระบี่ซีไห่อยู่ในถ้ำแห่งนี้
หากสามารถควบคุมศูนย์กลางของข่ายพลังได้ ก็จะสามารถคลายข่ายพลังของสำนักกระบี่ซีไห่ได้ทุกเมื่อ
ลองนึกภาพในตอนที่ลำแสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนจากสำนักชิงซานพุ่งตรงมาที่นี่ แล้วจู่ๆ ข่ายพลังประจำสำนักของสำนักกระบี่ซีไห่พลันหายไป…. นั่นจะเป็นภาพที่น่าสนุกแค่ไหนกัน
เมื่อคิดถึงภาพนั้น อินซานก็ยิ้มขึ้นมา เขาเดินไปตรงหน้าประตูหินของถ้ำ ยื่นมือไปปัดฝุ่นที่อยู่บนประตูออก ก้มหน้ามองดู ลายเส้นที่กำลังขยับอย่างช้าๆ เหล่านั้น
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเดินไปยังด้านหลังเขา ก่อนจะหมุนตัวนั่งยองๆ ลงไป จ้องมองไปด้านนอกเหมือนสุนัขแก่ตัวหนึ่ง
……
……
หมู่เกาะซีไห่ประกอบขึ้นมาจากเกาะน้อยใหญ่จำนวนเจ็ดร้อยเกาะ
ตรงกึ่งกลางหมู่เกาะที่อยู่ห่างจากเกาะเซ่าหมิงออกไปประมาณสามร้อยลี้มีเกาะขนาดใหญ่อยู่เกาะหนึ่ง มีชื่อว่าเกาะจุ้ยเซียน
บนเกาะจุ้ยเซียนมีภูเขาที่สูงที่สุดในหมู่เกาะซีไห่อยู่แห่งหนึ่ง แล้วก็เป็นสถานที่ตั้งของสำนักกระบี่ซีไห่
ภูเขาด้านที่หันหน้าออกไปทางทะเลตะวันออกคือหน้าผาที่สูงชัน ด้านบนหน้าผามีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ด้านที่หันหน้าออกไปทางทะเลนั้นมีโพรงขนาดใหญ่ที่กว้างร้อยกว่าจ้างและสูงหลายสิบจ จ้างอยู่แห่งหนึ่ง
โพรงแห่งนี้ดูเหมือนหน้าต่างยักษ์บานหนึ่ง ทั้งทะเล ฝน ลม และก้อนเมฆต่างเปลี่ยนแปลงอยู่ในนั้น เป็นเหมือนกรอบรูปภาพอย่างไรอย่างนั้น
เทพกระบี่ซีไห่ยืนอยู่ริมหน้าต่างบานยักษ์ สีหน้าเรียบเฉยคล้ายรูปปั้นหิน แล้วก็เหมือนคนที่อยู่ในภาพวาด
บนผิวทะเลที่อยู่ไกลอออกไปมีเสียงคำรามที่ทุ้มต่ำดังขึ้นมา น้ำทะเลค่อยๆ แยกออก กลายเป็นเส้นสีขาวสองเส้นที่ดูยิ่งใหญ่ตระการตา
เทพกระบี่ซีไห่มองดูภาพนี้ คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย คล้ายกระโดดออกมาจากในรูปภาพ
ถูกสำนักชิงซานกำราบมาเป็นเวลานานหลายปีขนาดนี้ แต่สำนักกระบี่ซีไห่ก็ยังไม่ล้มลง นี่เป็นเพราะว่ามีเขาอยู่
ตัวเขาที่อยู่ในขั้นทะลวงสวรรค์ระดับสูงสุด อีกทั้งยังอยู่ในช่วงที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญเพียรหรือว่าอำนาจบารมี ก็ล้วนแต่อยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที สุด
ไป๋และถานของจงโจว หลิ่วและหยวนของชิงซาน เจ้าอาวาสที่แก่ชราของวัดกั่วเฉิง ปู้ชิวเซียวยังเด็กเกินไป ยังไม่อาจบรรลุสภาวะได้ ฉานจึยิ่งอายุน้อยกว่า ในสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยก ก็มีแต่ผู้หญิง เหลียนซานเยวี่ยไม่รู้เป็นหรือตาย เมื่อมองไปทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน ยังจะมีใครกล้าพูดว่าสามารถเอาชนะเขาได้ในการต่อสู้ที่ตัดสินความเป็นความตายอีก?
บางทีเทพดาบเฉาหยวนอาจจะสามารถเอาชนะได้ แต่ตอนนี้เขาต้องไปสะกดแคว้นเสวี่ยอยู่ที่เมืองไป๋เฉิง ไม่สามารถออกมาได้
ในตอนนั้นสำนักชิงซานรามือไปหลังจากที่ทำลายลานเมฆเสร็จเรียบร้อย นั่นเป็นเพราะเขารีบตัดสินใจสังหารซีหวังซุนที่เป็นศิษย์น้องของตัวเอง แล้วก็เป็นเพราะรู้สึกหวาดกลัวซีหวังซ ซุนอยู่ด้วย
ปลาวาฬบินมาถึงตรงด้านหน้าหน้าผา ร่างกายอันใหญ่ยักษ์บดบังท้องฟ้า ชายหนุ่มที่สวมหมวกลี่เม่าผู้หนึ่งเดินลงมาจากหลังปลาวาฬ ร่างกายปลาวาฬที่เป็นมันวาวที่อยู่ใต้เท้ามีแสงสีเขี ยวจางๆ ปรากฏขึ้นมา นั่นก็คือซูจึเย่ อดีตนายน้อยของสำนักเสวียนอิน
ครั้งนี้เขานำเอาข่าวล่าสุดกลับมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง สถานการณ์ค่อนข้างรีบร้อน ดังนั้นสำนักกระบี่ซีไห่จึงให้ปลาวาฬบินไปรับเขา
ซูจึเย่ไม่ได้ปล่อยให้เสียเวลา เขากล่าวรายงานว่า
“สำนักจงโจวคิดว่านักพรตไท่ผิงมีสายอยู่ในสำนักชิงซาน ถ้าหากฆ่าเขา สำนักชิงซานน่าจะมีคนมา”
เทพกระบี่ซีไห่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หลักฐาน?”
ซูจึเย่ส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “สำนักจงโจวไม่ยอมบอก แต่ไม่ว่าพวกเราจะฆ่านักพรตไท่ผิง หรือว่าใช้เรื่องนี้เพื่อล่อคนที่อยู่ในชิงซานผู้นั้นออกมา หรือว่าจะทำให้ภายในชิงซานเก กิดความวุ่นวาย มันก็ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อสำนักจงโจวทั้งสิ้น ดังนั้นข้าคิดว่าสำนักจงโจวมิได้โกหก ทันทีที่ชิงซานมีคนมา พวกเขาจะต้องลงมืออย่างแน่นอนขอรับ”
ทุกคนต่างคิดที่จะกำจัดคนอย่างนักพรตไท่ผิง
ถ้าหากสำนักชิงซานพยายามเข้ามาแทรกแซงเรื่องที่สำนักกระบี่ซีไห่จะสังหารมารผู้นี้ สำนักจงโจวก็จะมีเหตุผลอย่างเต็มที่ที่จะออกหน้า กระทั่งวัดกั่วเฉิงและพันธมิตรของสำนักชิงซา านก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
สีหน้าของเทพกระบี่ซีไห่ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เขากล่าวว่า “เสวียนอินจึมีข่าวใหม่หรือไม่?”
ซูจึเย่กล่าวว่า “ไม่มีครับ แต่จากที่ว่าเอาไว้เมื่อสองสามปีก่อน อย่างช้าที่สุดก็ไม่เกินปีนี้ ร่างของนักพรตไท่ผิงก็จะพังทลาย เขาจะต้องมาอย่างแน่นอนขอรับ”
เทพกระบี่ซีไห่กล่าวว่า “เจ้าบอกพวกเขา กระบี่พรหมจรรย์อยู่ที่เกาะเทียนเสวียน”
ซูจึเย่กล่าวว่า “ขอรับ”
เทพกระบี่ซีไห่กล่าวว่า “เมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ข้าจะขอวิชาลับของธงสุริยันจากเสวียนอินจึแทนเจ้า”
ซูจึเย่กล่าวว่า “ไม่ต้องขอรับ หากเป็นไปได้ล่ะก็ ช่วยฆ่าเขาด้วยขอรับ”
เทพกระบี่ซีไห่หมุนตัวกลับมามองดูเขา พลางกล่าวถามว่า “เพราะเหตุใด?”
ซูจึเย่กล่าวว่า “ธงสุริยันตกอยู่ในมือของหวังเสี่ยวหมิง เห็นได้ชัดว่าเป็นความคิดของท่านปรมาจารย์ ข้าคิดว่าเขาต่างหากที่เป็นผู้สืบทอดที่ท่านปรมาจารย์เลือก”
เทพกระบี่ซีไห่กล่าวว่า “มีเหตุผล”
ซูจึเย่กล่าวต่อว่า “นอกจากนี้ยังแน่ชัดแล้วว่าที่ถงเหยียนทรยศสำนักจงโจว เป็นเพราะว่าเขาขโมยคันฉ่องฟ้ากระจ่างออกมา”
เทพกระบี่ซีไห่กล่าวว่า “ถ้าหากเขาไม่มีที่ไป ก็ให้เขามาที่นี่ได้”
ซูจึเย่รู้สึกไม่ค่อยเหมาะ เขากล่าวว่า “ในเมื่อพวกเราตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับสำนักจงโจว…”
เทพกระบี่ซีไห่ยกมือขึ้นเพื่อบอกเขาว่าไม่ต้องพูดอีก
ซูจึเย่ถอยออกไปจากถ้ำ
เทพกระบี่ซีไห่มองออกไปยังท้องทะเล ดูคล้ายรูปปั้นหิน
เขารู้ตั้งนานแล้วว่านักพรตไท่ผิงหนีออกมาจากคุกกระบี่ของชิงซาน เพราะเขาเคยเจออีกฝ่ายครั้งหนึ่ง อีกทั้งยังได้ทำข้อตกลงบางอย่าง
คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายลานเมฆจะถูกทำลายไป ศิษย์น้องต้องตายไป สมาชิกระดับสูงในปู้เหล่าหลินล้วนแต่ตกอยู่ในมือของไท่ผิง
“ข้าไม่ถนัดเรื่องการวางแผนเลยจริงๆ”
มุมปากของเทพกระบี่ซีไห่ค่อยๆ ยกขึ้นมาอย่างช้าๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันตนเองที่ดูแข็งเกร็ง
เมื่อหลายร้อยปีก่อน ในตอนที่เขาติดตามเทียนจิ้นเหรินเดินทางจากเกาะหมอกในทะเลทางใต้มายังแผ่นดินเฉาเทียน เขายังเป็นเพียงผู้ฝึกกระบี่หนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง
ที่ตอนนี้เขาสามารถยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ เป็นเพราะว่าเขาไม่สนใจเรื่องอื่น สนใจแต่เพียงการบำเพ็ญเพียร
ก้อนหินทุกก้อนบนเทะเลตะวันตกล้วนแต่มีร่องรอยฝึกกระบี่ที่เขาทิ้งเอาไว้ นกและปลาจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเคยเห็นลำแสงกระบี่ของเขา
เมื่อมองจากมุมนี้ เขาคล้ายกับนักพรตจิ่งหยางที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรเป็นเวลนานโดยไม่สนใจเรื่องโลกภายนอกเป็นอย่างมาก
สำหรับเขาแล้ว ความคิดของซูจึเย่ดีอย่างมาก การเป็นพันธมิตรกับสำนักจงโจวย่อมต้องมีประโยชน์ สังหารนักพรตไท่ผิงย่อมต้องเป็นเรื่องดี ล่อยอดฝีมือของชิงซานออกมาแล้วค่อยฆ่า าเป็นเรื่องที่ยิ่งดี
แต่เขายิ่งรู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้อาจจะเป็นเรื่องไม่จริง เขาไม่มีความสามารถ แล้วก็ไม่มีใจจะไปนั่งวิเคราะห์ว่าเรื่องเหล่านั้นมันจริงหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงไม่ไปคิด บางทีเมื่อถึง งเวลานั้นสำนักจงโจวอาจจะเอาแต่ยืนมองอยู่เฉยๆ บางทีเสวียนอินจึอาจจะมีความคิดอื่น บางทีสำนักชิงซานอาจมีกลอุบายอะไร แต่แล้วจะทำไมล่ะ?
ขอเพียงตนเองแข็งแกร่งมากพอก็พอ
ฆ่าทุกคนให้หมดก็พอ
สำหรับเรื่องนี้เขามีความมั่นใจเป็นอย่างมาก
เพราะครั้งนี้เขาไม่ได้ตัวคนเดียว
เมื่อมองจากมุมนี้ เขากับจิ๋งจิ่วนั้นมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก ถ้าไม่ขยับก็คือไม่ขยับ แต่ถ้าขยับขึ้นมาก็ทุ่มกำลังอย่างเต็มที่
คนแบบนี้นั้นน่ากลัวจริงๆ
……
……
ยอดเขาเสินม่อเงียบสงัดเป็นอย่างมาก ด้านล่างหน้าผาไม่มีเสียงร้องของวานร บนเนินเขาก็ไม่มีเสียงร้องของม้า
กู้ชิงได้รับแจ้งก็รีบเดินทางกลับมาจากเมืองเจาเกอ เขากับหยวนฉวี่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าล่าเยวี่ย มองดูถ้ำที่ปิดสนิทอย่างเงียบๆ
ผิงหย่งเจียไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ภายในถ้ำมีเสียงลับกระบี่ดังขึ้นมาเป็นระยะๆ
ในตอนที่ท้องฟ้ายามเย็นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ในที่สุดเสียงลับกระบี่ก็หายไป
ยอดเขาเสินม่อเป็นเหมือนปกติ แต่ยอดเขากระบี่ที่อยู่ห่างออกไปกลับมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเล็กน้อย
กระบี่ที่อยู่ในซอกหินบนหน้าผาเหล่านั้นสั่นสะเทือนส่งเสียงหวึ่งๆ เบาๆ
เจตน์กระบี่พวยพุ่งทะลวงหมอกออกมา ก่อนจะม้วนกลับลงไปเมื่อเจอกับสายลม ดูคล้ายกำลังเริงระบำ
ราวกับกำลังต้อนรับการกลับมาของสุดยอดกระบี่เล่มหนึ่ง
ถ้ำเปิดออก จิ๋งจิ่วเดินออกมา
ชุดขาวยังคงพลิ้วไหว
ยังคงเป็นใบหน้าของเซียน
แต่เจ้าล่าเยวี่ยและกู้ชิงต่างสัมผัสได้ว่าเขาเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูมือขวาของเขา กล่าวถามว่า “เรียบร้อยแล้วหรือ?”
จิ๋วจิ่วกล่าวว่า “อืม”