มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 56 เฮ้อ หนานว่าง!
จิ๋งจิ่วส่งคันฉ่องฟ้ากระจ่างให้กู้ชิง พลางกล่าวว่า “ส่งไปยังสำนักแม่ชีสามพันที่อยู่ด้านนอกเมืองต้าหยวน”
หลังเขาหลอกเอาเสวี่ยจีเข้าไปขังอยู่ในคุกกระบี่ ชิงเอ๋อร์ก็ไม่เคยออกมาอีก
เขาคิดว่า นางก็น่าจะไม่สนใจพูดคุยกับกู้ชิงเช่นเดียวกัน
เพราะบางครั้งศิษย์คนนี้น่าเบื่อยิ่งกว่าเขาเสียอีก
กู้ชิงรับเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างไป รู้สึกหนักอึ้ง
ในอดีตตอนที่เขารับเอาคัมภีร์กระบี่แบกสวรรค์เล่มนั้นมาจากมือของจิ๋งจิ่ว เขาก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน
ในตอนที่ถูกจิ๋วจิ่วมอบหมายให้เป็นอาจารย์ขององค์ชายจิ่งเหยา บนไหล่ของเขาก็รู้สึกหนักอึ้งเช่นนี้เหมือนกัน
ในตอนที่จิ๋งจิ่วให้เขาเตรียมตัวเป็นเจ้าสำนักชิงซาน ความรู้สึกแบบนี้ก็ยิ่งรุนแรง
นี่มันของวิเศษชั้นสวรรค์เลยนะ อาจารย์ท่านเชื่อใจข้าขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ? หรือจะบอกว่านี่ก็เป็นการทดสอบศิษย์อีกครั้งหนึ่ง?
จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจว่ากู้ชิงกำลังคิดอะไร เขามองทุกคนพลางกล่าวว่า “ไปล่ะ”
นี่เป็นคำพูดที่ปกติธรรมดาเป็นอย่างบ้าง แต่คนบนยอดเขาเสินม่อรู้จักเขาดี รู้ว่าสำหรับเขาแล้วนี่เป็นการจากลาที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าล่าเยวี่ยเดินไปตรงหน้าเขา กอดเขาเอาไว้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือออก
ผิงหย่งเจียคิดในใจว่านี่เป็นธรรมเนียมของยอดเขาเสินม่อหรือ? หรือว่าตนเองก็ต้องกอดเช่นเดียวกัน?
เขาคิดเช่นนี้พลางกางแขนทั้งสองข้างออก เพียงแต่ท่าทางดูค่อนข้างแข็งเกร็ง
จนกระทั่งถูกหยวนฉวี่ตบเข้าที่ด้านหลังศีรษะอย่างแรง เข้าถึงได้สติขึ้นมา รีบกราบคารวะอาจารย์ทั้งสอง
สุดท้ายจิ๋งจิ่วกล่าวกับกู้ชิงว่า “ให้ข้าใช้กระบี่อีกหน่อย”
เขาดูค่อนข้างลังเลในตอนที่ทำการตัดสินใจนี้ออกมา
กู้ชิงรู้สึกตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าท่านจะใช้ก็ใช้ไปสิ ทำไมต้องมาถามข้าอีก อีกทั้งยังดูลังเลขนาดนี้?
ท่านไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
กระบี่คมจักรวาลปรากฏ ยอดเขาเสินม่อยิ่งดูอ้างว้าง
จิ๋งจิ่วนั่งลงบนกระบี่ ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นลำแสงที่เย็นยะเยือก
ข่ายพลังชิงซานเปิดออก ทะเลเมฆกระเพื่อมขึ้นลง ลำแสงกระบี่ค่อยๆ ห่างออกไป
เจ้าล่าเยวี่ยพากู้ชิงและหยวนฉวี่เดินเข้าไปในถ้ำ ผิงหย่งเจียยังคงยืนโบกมือขึ้นไปบนท้องฟ้าอยู่ริมหน้าผา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ แต่ภายในใจนั้นรู้สึกร้อนใ ใจ เขามายอดเขาเสินม่อได้หนึ่งปีแล้ว แต่กลับเคยเจอหน้าอาจารย์เพียงสองครั้ง พูดคุยไม่ถึงห้าประโยค หากเป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าอาจารย์ลืมว่ายังมีตนเองเป็นศิษย์อยู่จะทำอย่างไร?
“ไปเตรียมตัว อาจจะต้องเดินทางไกล” เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวกับหยวนฉวี่
กู้ชิงต้องกลับไปเมืองเจาเกอ เขายังไม่ได้ทำหน้าที่เหล่านี้ หยวนฉวี่จึงได้แต่ต้องเป็นคนจัดการหน้าที่เหล่านี้
元曲有些紧张,问道:“大概什么时候?”
หยวนฉวี่ดูค่อนข้างตื่นเต้น กล่าวถามว่า “ประมาณเมื่อไหร่ขอรับ?”
赵腊月心想那要看井九什么时候能找到那位。
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ นั่นมันก็ต้องดูว่าจิ๋งจิ่วจะหาคนผู้นั้นเจอเมื่อไหร่
……
……
นอกจากเจ้าล่าเยวี่ยแล้ว ก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่าทำไมจิ๋งจิ่วถึงออกไปจากชิงซานคนเดียว แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาไปที่ไหน
แต่ก็เหมือนกับการออกไปจากสำนักในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา กระบี่คมจักรวาลไม่ได้บินออกไปไกลพันลี้ในทันที หากแต่จะบินลงไปยังด้านนอกเมืองอวิ๋นจี
หากมองจากในด้านนี้แล้ว ศิษย์พี่และเจ้าล่าเยวี่ยนั้นมีอิทธิพลต่อเขาอย่างมาก
สำหรับคนบนยอดเขาเสินม่อแล้ว เหลาสุราที่มีหม้อไฟแห่งนั้นเป็นเหมือนกับศาลาพักม้า แล้วก็เป็นเหมือนสถานที่รวมตัวที่จะมาเจอกันนานๆ ครั้ง
จิ๋งจิ่วผลักประตูเข้าไป รู้สึกไม่สบอารมณ์
ภายในห้องส่วนตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น อบอวลไปด้วยกลิ่นสุราและกลิ่นเหม็นไหม้ของหม้อไฟ
เขาถอดหมวกลี่เม่าออก รวมความชื้นในอากาศให้เป็นหยดน้ำ ก่อนจะโยนลงไปในหม้อไฟ
มีเสียงซู่ๆ ดังขึ้นมา อุณหภูมิของหม้อไฟที่กำลังไหม้ลดลงไปเล็กน้อย แต่กลิ่นเหม็นไหม้กลับยิ่งรุนแรงขึ้น
จิ๋งจิ่วงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะเรียกเอาเพลิงกระบี่ที่ฝึกฝนอยู่ในที่ราบหิมะมาเป็นเวลาหกปีออกมา จากนั้นเผาทุกสิ่งที่อยู่ในหม้อไฟจนกลายเป็นควัน
หน้าต่างถูกเปิดออก เสียงลมและเสียงผู้คนลอยเข้ามา ชะล้างกลิ่นเหล่านั้นจนจางลงไปอย่างรวดเร็ว
หนานว่างดื่มจนเมามายแล้ว เมื่อถูกลมพัดก็ยิ่งรู้สึกเมามายขึ้นกว่าเดิม จำไม่ได้เลยว่าจิ๋งจิ่วคือใคร นางกล่าวออดอ้อนว่า “เขายังดื่มสุราอยู่นะ ทำไมท่านถึงเผาอาหารทิ้ง งจนหมดล่ะ? รีบคืนมาให้เขาเลยนะ”
ภายในห้องส่วนตัวเต็มไปด้วยไหสุราวางเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น รวมแล้วสิบห้าไหพอดี
นางไม่ใช้ปราณก่อกำเนิดสลายฤทธิ์สุรา แต่ก็ยังดื่มได้มากขนาดนี้ ในโลกมนุษย์ถือได้ว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการดื่มสุราแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่ามากเกินไป
จิ๋งจิ่วสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่ภายในหัวกลับหนาวสั่นขึ้นมา
สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวหนานว่างมากที่สุดก็คือดื่มสุราเยอะแล้วออดอ้อน อันดับต่อมาคือร้องเพลง อันดับต่อมาคือถลึงตามองตัวเองโดยไม่พูดอะไร อันดับต่อมาก็คืออาเจียนใส่ตัว เขาจนเลอะเปรอะเปื้อน
หากมิเป็นเพราะการไปหาคนครั้งนี้จำเป็นต้องมีหนานว่าง เขาไหนเลยจะเห็นด้วยกับแผนการของหลิ่วฉือที่ให้นางเดินทางไปพร้อมกับตนได้
“ควรไปได้แล้ว” เขากล่าว
หนานว่างมองดูเขา น่าจะจำขึ้นมาได้แล้วว่าเขาคือใคร กล่าวอย่างเมามายว่า “ไปอะไร ข้าเพิ่งจะเริ่มดื่มเอง!”
จิ๋งจิ่วรู้สึกจนปัญญา รวบรวมอากาศให้กลายเป็นหยดน้ำอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ใส่ความเย็นลงไปด้วย กลายเป็นน้ำผสมน้ำแข็ง ก่อนจะกระแทกเข้าไปที่ใบหน้าของนาง
หนานว่างส่งเสียงอุทานออกมา
ร่างกายของนางเปียก ทรวดทรงยิ่งเห็นเด่นชัด
ใบหน้าเองก็เปียก หน้าตายิ่งดูเย้ายวน
ความเมามายหายไปแล้ว สายตาดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
จิ๋งจิ่วส่งผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้นางอย่างเงียบๆ
หนานว่างรับผ้าเช็ดหน้ามาอย่างเงียบๆ เช็ดน้ำบนใบหน้าอย่างช้าๆ สุดท้ายก็หยิบเอาชิ้นน้ำแข็งที่ตกอยู่บนคอเสื้อที่เปิดกว้างอยู่ครึ่งหนึ่งออก
จากนั้นนางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า มองดูจิ๋งจิ่วพลางกล่าวด้วยใบหน้าเฉยชาว่า “เจ้าอยากตายหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดติดปากของสำนักชิงซาน จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เขารู้ว่าหนานว่างอารมณ์ไม่ดี หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น เขาไม่มีทางทำเช่นนี้อย่างแน่นอน เขาคงจะเดินหนีไปไกลๆ รอให้นางสร่างเมาเอง
แต่ชิงซานจะปล่อยกระบี่ไปยังทะเลตะวันตกเมื่อไหร่ นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถหาตัวหนานชวีเจอเมื่อไหร่ เวลานั้นเหลือไม่ค่อยมากแล้ว
ในเวลานี้เขาย่อมไม่รับคำอะไร ในเมื่อสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ไยต้องหาเรื่องเจ็บตัวด้วย?
หนานว่างย่อมไม่เป็นเพราะเห็นเขานิ่งเงียบจึงคิดว่าเขาเชื่อฟัง นางลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าเขา ยื่นมือออกไปหมายจะจับคางของเขา
ในเวลานี้เอง เงาสีขาวสายหนึ่งได้พุ่งออกมาราวสายฟ้า ตีมือของนางกลับไป
สายตาของหนานว่างเย็นยะเยือกขึ้นเล็กน้อย มองดูแขนเสื้อของจิ๋งจิ่ว
นางมองเห็นอย่างชัดเจน นั่นคืออุ้งเท้าแมวข้างหนึ่ง
หลังจากนั้นแมวขาวก็มุดออกมาจากแขนเสื้อของจิ๋งจิ่ว ก่อนจะไต่แขนของเขาขึ้นไปบนหัวไหล่ ในขณะที่เตรียมจะปีนขึ้นไปด้านบนเพื่อนอนอยู่บนศีรษะของเขาตามความเคยชิน ทันใดนั้นพ พลันคิดขึ้นมาได้ว่ามีคนนอกอยู่ หากทำแบบนั้นจะทำให้จิ๋งจิ่วขายหน้าได้ ดังนั้นมันจึงนั่งยองๆ อยู่บนไหล่ของเขา
“ที่แท้ก็มีที่พึ่ง มิน่าถึงได้ใจกล้าขนาดนี้” หนานว่างจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางกล่าว
จากนั้นนางมองไปทางแมวขาว กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ท่านไป๋กุ่ยไม่พักผ่อนสบายๆ อยู่ที่ชิงซาน มาที่นี่ทำไม?”
แมวขาวเบือนหน้าหนี ไม่คิดจะสนใจนาง
จากการเรียกขานพอจะฟังออกว่าตอนนี้นางกำลังโกรธอยู่ ไม่อย่างนั้นนางควรจะเรียกมันว่าอาต้า
หนานว่างอยู่ในขั้นทะลวงสวรรค์ระดับสูง ย่อมสู้มันไม่ได้ แต่ปัญหาก็คือผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยุ่งยากวุ่นวายชนิดหนึ่ง การสู้กับผู้หญิงมักจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากอื่น นๆ ตามมามากมาย
หนานว่างก็คือผู้หญิงที่วุ่นวายที่สุดในชิงซานคนนั้น ด้วยความรักจากอาจารย์และเหล่าศิษย์พี่จึงทำให้นางใจกล้าเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เด็กก็กล้าที่จะดึงหนวดของมัน พอโตขึ้น มาหน่อยก็กล้าที่จะวิ่งไล่มันไปทุกที่ ที่น่าโมโหที่สุดก็คือนางมีอะไรดีๆ ขนาดนั้นแต่กลับไม่ยอมอุ้มมัน ชอบเอาแต่หิ้วคอของมัน ทำแบบนั้นไม่สบายรู้มั้ย~
—-ยังคงเป็นล่าเยวี่ยที่ดีกว่า
แมวขาวที่พึ่งจะออกมาจากยอดเขาเสินม่อได้ไม่นานเริ่มคิดถึงอ้อมอกอันอบอุ่นในอดีต
จากนั้นคิดขึ้นมาได้ว่าล่าเยวี่ยน้อยก็ไม่ได้อุ้มตัวเองมาเป็นเวลานานแล้ว จึงอดรู้สึกขมขื่นขึ้นมาไม่ได้
จิ๋งจิ่วกล่าวอธิบายว่า “ท่านไป๋กุ่ยถนัดเรื่องดมกลิ่น”
แมวขาวรู้สึกประหลาดใจ วันนี้เป็นอะไรกัน ทำไมถึงเรียกแต่ชื่อเล่นของข้า?
เหตุผลที่จิ๋งจิ่วไม่ได้เรียกมันว่าอาต้านั้นไม่เหมือนกับหนานว่าง เขาไม่ได้โกรธ หากแต่ไม่อยากให้หนานว่างรู้อะไรจากการขานเรียกของเขา
……
……
รถม้าของตระกูลกู้จอดรออยู่ด้านล่างเหลาสุราตั้งนานแล้ว
ผ่านไปนานหลายปี ตู้โดยสารได้ทำการปรับเปลี่ยนใหม่อีกครั้ง การออกแบบมีความเฉลียวฉลาดมากขึ้น ฝีมือการประกอบยังคงสมบูรณ์แบบ
เก้าอี้ที่ในอดีตเคยตั้งหันหน้าเข้าหากัน ในตอนนี้ได้กลายเป็นเก้าอี้หนึ่งตัวและตั่งนอนหนึ่งตัว เห็นได้ชัดว่าตระกูลกู้คิดว่าคนที่ร่วมเดินทางกับจิ๋งจิ่วน่าจะเป็นเจ้าล่าเ เยวี่ย
หนานว่างเอามือเท้าคาง มองดูทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิด้านนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
นางมีรูปร่างที่เล็กเหมือนหญิงสาวชาวเผ่าทางใต้ที่พบเห็นได้ทั่วๆ ไป ขาก็ย่อมไม่ได้ยาวมาก แต่เมื่อวางพาดไปบนตั่งก็ยังกินเนื้อที่ส่วนใหญ่ไป
จิ๋งจิ่วไม่แม้กระทั่งหยุดคิด เขานั่งลงไปบนพื้น จากนั้นหลับตาทำสมาธิ
ในที่สุดแมวขาวก็ทนไม่ไหว มันค่อยๆ ปีนไปบนศีรษะของเขา จากนั้นถอนใจพลางพริ้มตาด้วยความรู้สึกสบาย
หนานว่างได้ยินเสียง เมื่อเหลียวหน้ากลับมาก็มองเห็นภาพนี้ จึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ใบหน้างดงามเป็นยิ่งนัก
……
……
รถม้าตรงเข้าไปในมณฑลหนานเหอ จากนั้นมุ่งหน้าไปทางตะวันตก บางครั้งก็วิ่งไปบนถนนหลวง บางครั้งก็วิ่งในภูเขา บางครั้งก็จะหยุด แต่ในเวลาส่วนใหญ่ก็จะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ
ทุกครั้งที่รถม้าหยุดลงก็จะมีลำแสงกระบี่ส่องสว่างขึ้นในป่าหรือไม่ก็ศาลาข้างทาง สิ่งที่ส่งมาคือข่าวล่าสุด
หนานว่างกับจิ๋งจิ่วทิ้งรถม้าเอาไว้ตรงบริเวณใกล้ๆ แม่น้ำจวงเหอ จากนั้นเริ่มเดินเท้า มีแค่เพียงบางครั้งเช่นหน้าผาสูงเกินไป หรือว่าแม่น้ำลึกเกินไป พวกเขาถึงจะขี่กระบี่
ข้อมูลล่าสุดเหล่านั้นยังคงมาพร้อมกับลำแสงกระบี่เหล่านั้น
เพียงพริบตาก็ถึงช่วงที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อน บนทะเลสาบของเมืองเต้าโจวมีเรือลำเล็กลอยอยู่ลำหนึ่ง หนานว่างนั่งอยู่ตรงหัวเรือ ดูไม่มีความสุข จึงกรอกสุราเข้าปากไม่หยุด
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ตรงหัวเรืออีกด้านหนึ่ง มือขวาลูบศีรษะแมวเบาๆ ในใจคิดว่าแบบนี้เมื่อไหร่จะได้เรื่อง?
ลำแสงกระบี่และข้อมูลเหล่านั้นดูเหมือนปรากฏขึ้นมาอย่างง่ายๆ แต่ความจริงแล้วกลับยากลำบากเป็นอย่างมาก
ในระยะนี้ อย่างน้อยมีเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเจ็ดพันกว่าเรื่องได้ถูกส่งมาหาพวกเขาด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดเพื่อให้พวกเขาได้วิเคราะห์
นี่จำเป็นต้องมีความร่วมมืออย่างเต็มที่จากเจวี่ยนเหลียนเหริน แล้วก็ต้องใช้ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ในขั้นมิประจักษ์ขึ้นไปเป็นจำนวนมากมาทำหน้าที่เป็นคนส่งจดหมาย ยิ่งไปกว่านั้นยังต ต้องไม่ทำให้ทางทะเลตะวันตกรู้ตัว นอกจากสำนักจงโจวและราชสำนักแล้ว ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนก็มีแต่สำนักชิงซานเท่านั้นที่ทำได้
สำนักชิงซานได้แสดงรากฐานของตนเองออกมา ใช้ทรัพยากรและลูกศิษย์จำนวนมาก แต่ว่า… พวกเขากลับยังไม่ได้เบาะแสอะไรเลย
หนานว่างรู้ว่าภารกิจของตนเองคืออะไร ภายในใจรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก ใช้สุราคลายความกลัดกลุ้มกลับยิ่งรู้จักกลัดกลุ้ม แต่เมื่อเห็นใบหน้าของจิ๋งจิ่วที่ถูกแสงสะท้อนจากผิวท ทะเลสาบส่องสว่าง นางก็ค้นพบวิธีที่จะคลายความกลัดกลุ้ม จึงกล่าวว่า “มา ยิ้มหน่อย”
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางดื่มเมาแล้ว จึงมิได้สนใจนาง
สุรานี้คือสุรากุ้ยฮวาที่เรือนเป่าซู่ส่งมาให้เมื่อหลายวันก่อน ชื่อฟังดูอ่อนโยน แต่นี่กลับเป็นสุราที่มีฤทธิ์ร้อนแรงและกลิ่นหอมที่สุด หนานว่างดื่มมันเหมือนน้ำ แล้วจะไม่ เมาได้อย่างไร?
กู้ชิงเคยกล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยว่าเจ้าของเรือนเป่าซู่ผู้นั้นอยากจะขอยาเม็ดอะไรสักอย่าง ในตอนนั้นเขาเองก็อยู่ตรงนั้น
ตอนนี้ยาที่ว่านั่นย่อมไม่อยู่แล้ว
หนานว่างเห็นว่าเขาไม่ยอมสนใจตนเอง จึงหิ้วกาสุราเดินจากหัวเรือเข้าไปหา การเยื้องย่างดูโคลงเคลง คล้ายพร้อมจะตกลงไปในทะเลสาบได้ทุกเมื่อ แต่นางก็หาได้ตกลงไปไม่
นางเดินไปตรงหน้าจิ๋งจิ่ว ก้มมองลงไปพลางกล่าวว่า “ยังอวดดีจริงๆ ไม่ยอมยิ้ม อย่างนั้นก็เต้นรำสักหน่อย?”
หนานว่างเป็นศิษย์น้องเล็กของสายสืบทอดยอดเขาซั่งเต๋อ ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก กระทั่งนักพรตจิ่งหยางก็ยังทำอะไรนางไม่ได้ จนมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ตอนนี้ออกมาจากชิงซาน ไม่มี หยวนฉีจิงคอยควบคุม แล้วก็ไม่มีลูกศิษย์คอยดู นางย่อมต้องยิ่งปล่อยตัวอย่างเต็มที่
จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจนาง ยื่นมือไปจับแมวขาว เตรียมจะโยนไปทางนาง
แมวขาวคิดในใจว่านี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี คอของตัวเองต้องเจอกับหญิงสาวชาวเผ่าผู้นี้ไปอีกกี่ปี?
ในเวลานี้เอง ในป่าที่อยู่ริมทะเลสาบพลันมีรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนที่เข้ามา บนตู้โดยสารมีดอกไห่ถังดอกหนึ่งแกะสลักไว้อยู่
รถม้ายังไม่หยุดสนิท หมอคนหนึ่งก็พุ่งตัวออกมาจากด้านใน พลางตะโกนเสียงดังด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อว่า “หาเจอแล้ว!”