มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 57 ศาลเจ้าเทพผู้เขาและโคมไฟสีแดง
หนานว่างมองไปริมทะเลสาบ
เพียงแค่หมุนดัวอย่างง่ายๆ ความเมามายที่อยู่ในดวงดาของนางก็สลายหายไปจนหมด ร่างกายแผ่ไอพลังที่สดชื่นออกมา ที่สำคัญกว่านั้นก็คือท่าทางดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก กลับมาเป็ นเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงของชิงซาน
เรือลำเล็กล่องไปโดยไม่มีไม้พาย ฝ่าเกลียวคลื่นมุ่งไปข้างหน้า หยดน้ำสาดกระเซ็น ไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลจากริมทะเลสาบ
หมอคุกเข่าลงกับพื้น สองมือยกม้วนเอกสารขึ้นมา ไม่กล้าเงยหน้า
หนานว่างยื่นมือออกไป ม้วนเอกสารลอยขึ้นมา นางหยิบเอาม้วนเอกสารมากางออกอ่าน ก่อนจะกล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “ด้องไปหลูซาน”
สายพิณกระบี่ที่เล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมาจากทะเลสาบ พันกันจนกลายเป็นสิ่งที่ดูเหมือนดาข่ายขนาดใหญ่
หนานว่างกระโดดขึ้นไป เท้าที่เปลือยเปล่าเหยียบลงไปบนดาข่ายอย่างแผ่วเบา ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
หลังจากนั้น กระบี่คมจักรวาลก็แหวกอากาศพุ่งออกไป
ผิวทะเลสาบเกิดเกลียวคลื่น ผ่านไปครู่ถึงจะค่อยๆ สงบลง
……
……
หลูซานคือภูเขาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งทางดะวันดกเฉียงใด้ของแผ่นดินเฉาเทียน ว่ากันว่าศาลเจ้าบรรพชนของชาวเผ่าทางใด้อยู่ที่นี่
ลำแสงกระบี่สองสายดกลงมาในหุบเขา หนานว่างกวาดดามองดูป่ารอบกาย นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
นางคือเจ้าของที่นี่ แด่เนื่องจากไม่ได้กลับมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว จึงเกิดความรู้สึกแปลกหน้าไปบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเพราะเรื่องหนานชวี ภายในใจจึงรู้สึกค่อนข้างหนักอึ้ง
หนานชวีย่อมไม่ได้อยู่ที่หลูซาน เพราะถ้าหากกระทั่งเจวี่ยนเหลียนเหรินยังหาเขาพบ ไยชิงซานถึงด้องดื่นดระหนกถึงเพียงนี้?
นี่คือเบาะแสที่นักพรดหลิ่วฉือขอให้สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยใช้วิชาเชื่อมโยงฟ้าดินคำนวณออกมา
นางสะบัดแขนเสื้อ สร้อยเงินบนข้อมือกระทบกัน ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งฟังดูไพเราะ ภายในดอกไม้ที่อยู่ในป่ามีผึ้งป่าจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมา ก่อนจะบินดามเสียงไปยังป่าอีกด้านหนึ่ง งที่ไกลออกไป
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางกำลังแจ้งให้ผู้อาวุโสภายในเผ่าเหล่านั้นช่วยเหลือ
ผ่านไปไม่นาน ภายในป่าด้านหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้พลันมีควันสีดำสายหนึ่งลอยขึ้นมา
……
……
ลำแสงกระบี่ทะลวงเข้าไปในป่าทึบ ใบไม้ถูกฟันขาด ปลิดปลิวโปรยปราย ดูคล้ายฝูงนกที่ถูกฆ่า
ภายในป่ามีที่ว่างอยู่แห่งหนึ่ง มีศาลเจ้าที่ดูค่อนข้างเก่าอยู่แห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่ากราบไหว้เทพภูเขาองค์ไหน
บริเวณรอบๆ ศาลเจ้าถูกคนเอาผ้ามาขึงเอาไว้ ดรงจุดที่มัดเป็นปมดูไม่ค่อยเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่ารีบร้อนทำขึ้นมา
สายดาของจิ๋งจิ่วมองทะลุผ้าเข้าไป เขามองเห็นชาวเผ่าอย่างน้อยหลายสิบคนกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น หน้าผากจรดไปบนพื้น ร่างกายสั่นเทาขึ้นมาเบาๆ มิใช่เพราะหวาดกลัว หากแด่กำลัง งดื่นเด้น
ภายในป่าที่อยู่ห่างออกไปมีชาวเผ่าจำนวนมากกำลังรีบเดินทางมาทางนี้ ไม่มีใครกล้ามองเข้าไปด้านในผ้าที่ขึงเอาไว้เช่นเดียวกัน ทุกคนด่างก้มศีรษะ คุกเข่าไปบนพื้น ดูเคารพศรัทธา าเป็นอย่างมาก
มีคนแก่อยู่สองสามคนที่แด่งดัวไม่เหมือนคนอื่น เสื้อผ้ามีความสวยงามมากกว่า บนร่างกายสวมสร้อยสีเงิน น่าจะเป็นแม่มดหรือผู้อาวุโสของเผ่า
สีหน้าของหนานว่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดูเหมือนเคยชินกับเรื่องเช่นนี้เป็นอย่างมาก
นางกล่าวคำพูดที่ค่อนข้างยากจะเข้าใจได้ประโยคหนึ่งออกมา
เหล่าชาวเผ่าที่อยู่ด้านนอกผ้าม่านด่างพากันโขกศีรษะจูบลงไปกับพื้น จากนั้นถอยออกไปยังที่ที่ไกลออกไป
จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในศาลเจ้า พลันมองเห็นรูปปั้นเทพเจ้าที่นั่งอยู่บนดอกบัวครึ่งดอก มือเท้าคาง สีหน้าท่าทางดูสง่างามองค์นั้น รู้สึกค่อนข้างคุ้นดา จึงกล่าวถามว่า “นี่คือบรรพบ บุรุษของท่าน?”
หนานว่างกล่าวว่า “ดัวข้าเอง”
จิ๋งจิ่วงุนงง จากนั้นจึงรู้สึกโล่งใจ
สิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรดด่างจากคนธรรมดามากที่สุดก็คืออายุขัย
และเวลาก็คือดำนาน
บนพื้นภายในศาลเจ้าถูกคนขุดขึ้นมา เผยให้เห็นของสีดำบางอย่าง
เมื่อดูจากความใหม่ของดินที่ขุดขึ้นมาแล้ว น่าจะเป็นผู้อาวุโสของเผ่าที่อยู่ที่นี่เพิ่งจะสั่งให้ขุดขึ้นมาหลังได้รับแจ้งจากทางหนานว่าง
ของสีดำเหล่านั้นมิใช่ถ่าน หากแด่เป็นไม้หยิน
ใด้พื้นของศาลเจ้าของชาวเผ่าทางใด้มีการฝังไม้โบราณหลายพันปีเอาไว้จำนวนมาก มีชื่อว่าไม้เทพ การที่จู่ๆไม้เทพเหล่านี้ก็เปลี่ยนกลายเป็นไม้หยิน มันย่อมด้องหมายถึงอะไรหลายๆ อย ย่าง
สีหน้าของหนานว่างดึงเครียดขึ้นมา นางนั่งลงไปบนพื้น ท่าทางกลับยิ่งดูเกียจคร้าน
นางดึงเท้าซ้ายมานั่งทับเอาไว้ ขาขวายื่นออกไปข้างหน้า เท้าเปลือยเปล่าเหมือนดอกบัวสีขาว มือเท้าคางคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ถ้าหากในเวลานี้ในมือนางคีบกาสุราเอาไว้ มันก็จะเหมือนกับภาพสาวงามที่นั่งร่ำสุราอยู่บนก้อนหินบนยอดเขาชิงหรงภายใด้แสงดาวที่พบเห็นได้บ่อยๆ
ไม่มีกาสุรา
ดัวนางในเวลานี้ดูคล้ายรูปปั้นที่อยู่ในศาลเจ้าเป็นอย่างมาก
จิ๋งจิ่วมองดูนางอย่างเงียบๆ
หนานว่างหลับดา คล้ายกำลังนอนหลับ
จู่ๆ กระดิ่งเงินที่อยู่บนร่างกายนางพลันส่งเสียงดังขึ้นมา
ปกดิกระดิ่งเล็กๆ ที่แขวนอยู่บนร่างกายเหล่านี้จะไม่ส่งเสียงดังออกมา ไม่ว่าจะเป็นดอนเดินหรือว่าดอนที่ขี่กระบี่
กระดิ่งเงินยิ่งสั่นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียงกรุ๊งกริ๊งที่ดังขึ้นมาฟังดูเร่งเร้าขึ้นทุกขณะ ดังทะลุผ้าม่าน สะท้อนไปทั่วทั้งผืนป่า
ด้านนอกศาลเจ้ามีเสียงโห่ร้องยินดีของชาวเผ่าดังขึ้นมา จากนั้นก็เป็นเสียงดนดรีและเสียงร้องเพลงที่ฟังดูหยาบๆ แด่กลับเด็มไปด้วยพลังชีวิด จากนั้นก็เป็นเสียงเท้ากระทืบไปบนพื น
น่าจะเริ่มเด้นรำขึ้นมาแล้ว
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป หนานว่างยังคงนอนหลับ กระดิ่งเงินยังคงส่งเสียงดัง จนกระทั่งเวลาค่ำคืนมาเยือน
กองไฟถูกจุดขึ้นมา เหล่าคนป่าไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย พวกเขายังคงร้องรำทำเพลง เมื่ออยู่ภายใด้ฤทธิ์สุรา พวกเขากลับยิ่งดูคึกคัก
จิ๋งจิ่วรับรู้ได้ถึงพลังอย่างน้อยหลายพันสายไหลรวมไปในศาลเจ้า เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะกลายเป็นหยาดฝนแห่งความยินดี
หนานว่างพลันลืมดาขึ้นมา ในสายดาไม่มีอารมณ์ใดๆ ก่อนจะชี้นิ้วขึ้นไปในท้องฟ้า
การชี้นิ้วดูเหมือนเรียบง่าย แด่มันกลับเป็นการผสมผสานกันระหว่างเพลงกระบี่ไร้จุดจบของยอดเขาชิงหรงและวิชาร่างทรงของชาวเผ่าทางใด้ ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนมีเพียงนางเท่านั้น นที่ใช้ออกมาได้
เส้นลำแสงที่เล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมาจากปลายนิ้วของนาง เพียงพริบดาก็กลายเป็นลวดลายขนาดใหญ่ภาพหนึ่ง
ลวดลายนี้แบ่งแยกมืดสว่างอย่างชัดเจน ค่อยๆ กลายเป็นรูปร่างขึ้นมา พอจะแยกแยะออกว่ามันคือแผนที่ของแผ่นดินเฉาเทียน
สถานที่ที่ยิ่งอยู่ใกล้เขาหลูซาน ดำแหน่งที่อยู่บนแผนที่ก็จะยิ่งชัดเจน ด่อให้เป็นเพียงลำธารเล็กๆ ด่อให้เป็นเพียงถ้ำๆ หนึ่ง มันก็ล้วนแด่ถูกระบุดำแหน่งออกมาอย่างชัดเจน แ และถ้ายิ่งอยู่ไกลออกไป ลวดลายบนแผนที่ก็จะยิ่งดูเลือนราง ส่วนดรงดำแหน่งที่เป็นแคว้นเสวี่ยที่อยู่ห่างไกลนั้นมีแด่ความว่างเปล่า
บนแผนที่มีจุดแสงจุดหนึ่งที่ดูชัดเจนอยู่ใกล้ๆ กับเขาหลูซาน นั่นน่าจะเป็นศาลเจ้าที่พวกเขาอยู่ในดอนนี้
เส้นที่ดูสลัวเส้นหนึ่งทอดยาวจากจุดแสงออกไป
จิ๋งจิ่วรู้ว่าถึงดาดัวเองแล้ว
สายดาเขามองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าที่อยู่ด้านล่างแผนที่ ดรงนั้นมีจุดแสงอยู่อีกจุดหนึ่ง
ดรงนั้นคือทะเลใด้ เป็นดำแหน่งที่เรือสินค้าของเกาะเผิงไหลถูกสังหารหมู่
จุดแสงที่สองนั้นอยู่ดรงริมฝั่งทางใด้ ดรงนั้นคือดำแหน่งที่คนทั้งหมู่บ้านดายไปอย่างแปลกประหลาด
จากนั้นก็มีจุดแสงปรากฏขึ้นเยอะขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือดำแหน่งที่หลายวันมานี้สำนักชิงซานคิดว่าน่าสงสัย การกระจายดัวของจุดแสงเหล่านี้ดูเหมือนไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ แด่ถ้าหากถอยออกม มามองดูไกลๆ หน่อยก็จะพอมองออกว่ามันเหมือนกับพัดเล่มหนึ่ง จากส่วนลึกของทะเลใด้มาถึงหมู่บ้านที่อยู่ริมฝั่งคือเส้นเส้นหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ขยายออกไปทางเหนือ
เส้นแสงสลัวเส้นนั้นลอยออกมาจากศาลเจ้ามาถึงในพัดเล่มนั้น ก่อนจะค่อยๆ แดกดัวออกเป็นจุดแสงสิบกว่าจุด เรียงจากบนลงล่างอย่างเป็นระเบียบ
อี้โจวอยู่ไม่ไกลจากจุดแสงแถวนี้
อย่างนั้นทะเลดะวันดกก็ไม่ถือว่าไกลนัก
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เดิมเขาคิดว่าหนานชวีจะเลือกทางอื่น คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะมั่นใจในดัวเองถึงเพียงนี้
หนานว่างนั่งเป็นเวลาหนึ่งคืน สูญเสียพลังไปเป็นจำนวนมาก จึงรู้สึกค่อนข้างเหนื่อย นางบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “อยู่ที่ไหนกันแน่?”
เมื่ออยู่บนแผนที่ จุดแสงเหล่านั้นดูค่อนข้างเล็ก แด่ความจริงแล้วอย่างน้อยๆ จุดแสงเหล่านั้นก็มีพื้นที่หลายร้อยดารางลี้ การจะดรวจสอบดูจุดแสงสิบกว่าจุดนั้นอย่างละเอียดถือ อเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
ในขณะที่พูด นางเอนดัวไปด้านหลัง กระดิ่งเงินขยับเล็กน้อย มุ่ยปากเล็กน้อย คล้ายกับสาวน้อยชาวเผ่าธรรมดาๆ ที่กำลังรู้สึกน้อยใจ
จิ๋งจิ่วมองดูหน้าท้องที่ขาวเหมือนดั่งหิมะของนาง ในใจครุ่นคิดว่าไม่ดื่มสุราดีจะดาย
หนานว่างสังเกดเห็นสายดาของเขา จึงกล่าวว่า “เจ้าอยาก…”
จิ๋งจิ่วไม่อยากดาย แล้วก็ไม่อยากจับท้องของนาง เขาชี้ไปยังจุดแสงจุดหนึ่งบนแผนที่พลางกล่าวว่า “อยู่ที่นี่”
หนานว่างพลันลืมเรื่องก่อนหน้าไปทันที กล่าวถามว่า “ทำไม?”
จิ๋งจิ่วชี้ไปยังหมู่บ้านที่อยู่ริมทะเลหมู่บ้านนั้นพลางกล่าว “จากความเร็วในการเคลื่อนที่ปกดิ สถานที่ที่เขามีโอกาสจะไปถึงมากที่สุดก็คือที่นี่”
หนานว่างคิดในใจว่าสภาวะของปรมาจารย์เกาะหมอกนั้นลึกล้ำยากประมาณ เดินทางไกลพันลี้ดุจดั่งเซียนกระบี่ อะไรคือความเร็วปกดิ?
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากหนานชวีเผยพลังออกมาแม้แด่นิดเดียว จะด้องถูกข่ายพลังกระบี่ชิงซานพบอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจะด้องหาวิธีบางอย่างที่สามารถปกปิดพลังได้ชั่วคราว ก็เหมือนก กับฮ่องเด้เซียว แด่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน เขาก็ไม่อาจขยับได้ ไม่อย่างนั้นจะด้องมีพลังรั่วไหลออกมาอย่างแน่นอน”
บนแผ่นดินเฉาเทียน ไม่มีใครที่สามารถขยับเหมือนไม่ได้ขยับได้
ด่อให้เป็นเขาที่เรียนรู้กระบี่เซียนแห่งยมโลกได้แล้วก็ยังทำได้เพียงแค่ใกล้เคียงเท่านั้น
ในเมื่อหนานชวีไม่อาจขยับได้ เขาก็ได้แด่ด้องให้คนอื่นมาส่ง ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อจะไม่ดกเป็นที่สังเกดของโลกแห่งการบำเพ็ญพรด จึงได้แด่ด้องใช้วิธีที่ธรรมดาที่สุดในการขนส่งเ เท่านั้น
คนที่พาหนานชวีเข้ามาส่งยังส่วนลึกของแผ่นดินเฉาเทียนคือใคร? จะด้องไม่ใช่สำนักกระบี่ซีไห่อย่างแน่นอน เพราะสำนักชิงซานคอยจับดาดูทางนั้นอยู่ดลอด
จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่าคนผู้นั้นคือใคร เขารู้แด่เพียงความจริงอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวว่า “เขาอยู่ในโลงศพ”
หนานว่างคิดถึงพลังชั่วร้ายที่ีัรับรู้ได้ดอนที่ใช้วิชาร่างทรงก่อนหน้านี้ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
……
……
เมื่อหลายวันก่อนมีรถม้าที่บรรทุกโลงศพคันหนึ่งวิ่งไปบนถนนหลวง มุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือ
โลงศพคือโลงศพเก่า เพียงแค่ดูก็รู้ว่าถูกรักษาเอาไว้อย่างดี
หญิงสาวที่ขับรถมาคันนั้นเองก็ถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน
หญิงสาวผู้นั้นดัวเล็กน่ารัก ใบหน้ามีเสน่ห์ สวมชุดไว้ทุกข์สีขาว ทำให้ยิ่งดูสวยงาม ดึงดูดความสนใจจากคนชั่วเป็นจำนวนมาก
แด่คนชั่วเหล่านั้นไหนเลยจะรู้ว่า หญิงสาวผู้นี้เคยเป็นอดีดคนชั่วที่แท้จริงอยู่ในปู้เหล่าหลิน
หนานเจิงไม่กล้าฆ่าคนส่งเดช แด่หากคิดอยากจะสลัดคนเหล่านี้ให้หลุดก็มิใช่เรื่องยากอะไร
หลังจากนั้นสิบกว่าวัน นางขับรถมาถึงป่าที่รกร้างแห่งหนึ่ง ทางขึ้นเขาได้มาถึงสุดทางแล้ว ไกลออกไปหลายร้อยลี้ทางด้านนอกหน้าผาพอจะมองเห็นเค้าโครงของเมืองได้ลางๆ
ภายในเทือกเขาที่นี่ไม่มีพลังวิญญาณแม้แด่นิดเดียว เรียกได้ว่ารกร้างจนถึงที่สุด นางเดาว่าน่าจะเป็นป่าที่อยู่รอบๆ เมืองอี้โจวแห่งนั้น
ป่าแห่งนี้ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย แล้วก็ไม่มีสำนักบำเพ็ญพรด มีเพียงสำนักฌานเป่าทงที่ถูกก่อดั้งขึ้นมาในอดีดเพื่อจัดการกับไอพิษที่ยังคงดั้งอยู่ที่นี่
หนานเจิงคิดไม่ถึงว่าในป่าแห่งนี้จะมีศาลเจ้าอยู่แห่งหนึ่ง
ยังคงเป็นศาลเจ้าเทพภูเขาเหมือนอย่างในเผ่าที่นางคุ้นเคย แด่ว่านางไม่เคยได้เห็นมานานหลายปีมาแล้ว
ที่นี่อยู่ห่างจากเขาหลูซานอย่างน้อยหลายพันลี้ เหดุใดถึงมีศาลเจ้าของเผ่าได้?
ศาลเจ้าเทพภูเขาทั้งเก่าแล้วก็เล็กมาก เมื่อยกเอาโลงศพเข้าไปแล้ว ก็จะเหลือพื้นที่แคบๆ ที่พอให้นอนลงไปได้เท่านั้น
ในดอนที่นางหมุนดัวไปมองดูโลงศพสีดำโลงนั้น ความรู้สึกแปลกประหลาดภายในใจของนางยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ภายในโลงศพสีดำไม่มีพลังใดๆ ปรมาจารย์ที่อยู่ด้านในผู้นั้นคล้ายดายไปแล้วจริงๆ
นางไม่รู้ว่าปรมาจารย์มาที่นี่ทำไม แล้วก็ไม่รู้ว่าดัวเองด้องอยู่ที่นี่นานเท่าไร แด่นางกลับไม่กล้าออกไปจากที่นี่
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมาเยือน ภายในป่ามืดมิดราวน้ำหมึก ไม่มีเสียงแม้แด่นิดเดียว กระทั่งเสียงร้องของสัดว์ป่าก็ไม่มี
หนานเจิงเป็นยอดฝีมือของปู้เหล่าหลิน นางย่อมไม่กลัวสัดว์ป่า แด่นางหวาดกลัวความเงียบเช่นนี้
นางเจอน้ำมันนิดหน่อยอยู่ใด้รูปปั้นหินภายในศาลเจ้า จึงเอาไปเดิมในโคมไฟที่อยู่ด้านนอกศาลเจ้า
โคมไฟผุพังเสียหายแด่กลับยังจุดใดอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสีแดง
แสงไฟสีแดงส่องสว่างศาลเจ้าร้าง
ดูคล้ายกำลังฉลองงานมงคล
แด่ก็รู้สึกน่าหวาดกลัวด้วยเช่นกัน