มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 58 คนที่ถนัดขุดโพรงที่สุด
แสงสีแดงที่จู่ๆ ก็สาดลงมาทำให้หนานเจิงค่อนข้างตกใจ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นยิ่งทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว
พลังที่เบาบางสายหนึ่งลอยออกมาจากด้านล่างรูปปั้น ก่อนจะปกคลุมทั่วทั้งศาลเจ้าเอาไว้อย่างรวดเร็ว
กระดิ่งเงินที่อยู่บนร่างกายนางเหล่านั้นสั่นขึ้นมาโดยไม่มีลม ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง
ใครกำลังใช้เวทย์มนตร์ของเผ่า เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้?
สิ่งที่หนานเจิงหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือเสียงกระดิ่งเหล่านี้จะทำให้ปรมาจารย์ที่อยู่ในโลงศพสีดำรู้ตัวหรือเปล่า หากปรมาจารย์โมโหตนเองขึ้นมา เช่นนั้นจะทำอย่างไร?
เสียงครึกเบาๆ ดังขึ้น ฝาโลงของโลงศพสีดำค่อยๆ เคลื่อนออก เผยให้เห็นรอยแยกเล็กๆ รอยหนึ่ง
หนานเจิงเหลียวหน้ากลับไปมอง แทบจะเป็นลมล้มลงไป
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ด้านหน้าโลงศพสีดำมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่
นั่นคือเด็กคนหนึ่ง สวมชุดแบบชายเสื้อผ้ากลาง ผมมัดเป็นมวย รูปร่างผอมแห้ง ใบหน้าซีดขาว
เด็กคนนั้นยืนมือไปในอากาศ คว้าเอาพลังที่เบาบางสายนั้นมาดมๆ ก่อนจะเปล่งเสียงที่แก่ชราออกมา “กลิ่นของเทพจอมปลอม”
ไม่นานพลังที่เบาบางเหล่านั้นก็หายไป
เด็กผู้นั้นไม่ได้ทำอะไร หากแต่นั่งลงไปบนโลงศพ ทอดตามองไปยังทิศทางที่สำนักชิงซานตั้งอยู่
ใบหน้าของหนานเจิงขาวซีดยิ่งกว่าเขา ในใจครุ่นคิดว่านี่มันตัวอะไรกัน เจอผีจริงๆ อย่างนั้นหรือ?
เด็กผู้ชายคนนั้นคล้ายรู้ว่านางกำลังคิดอะไร จึงกล่าวว่า “ก็อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ข้าคือผีกระบี่ เจ้าเรียกข้าว่ากุมารกระบี่ก็ได้”
หนานเจิงย่อมต้องรู้ว่าผีกระบี่คืออะไร แต่โลกนี้จะมีผีกระบี่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
ไม่ว่าจะเป็นผีกระบี่หรือว่าจิตทารก ก่อนที่ร่างเดิมจะหายไปก็ล้วนแต่ไม่มีสติปัญญาและดวงจิตเป็นของตัวเอง แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่บนโลงศพผู้นั้นมิใช่ผีกระบี่เ เช่นนั้น
“คุ้มครองข้าให้ดี อย่าให้สัตว์ป่าเหล่านั้นมาปลุกข้าตื่น”
กุมารกระบี่กล่าวจบประโยคนี้ก็ลอยออกไป ไม่นานก็หายไปในหมู่เขาที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ หนานเจิงจึงค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง นางยกขาที่หนักอึ้งเดินไปตรงหน้าโลงศพสีดำ ก่อนจะมองลงไปในรอยแยกอย่างตื่นเต้น
ร่างที่ผอมแห้งเหมือนท่อนไม้ของหนานชวียังคงอยู่ในโลงศพ ไม่มีพลังใดๆ คล้ายตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
……
……
ด้านหน้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมีเนินเล็กๆ อยู่เนินหนึ่ง ด้านล่างเนินมีต้นท้อต้นใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง กลีบดอกท้อร่วงโปรยปรายตามสายลม ตกลงมาเหมือนหยาดฝน หญิงสาวสองคนกำลังพูดคุย ยอยู่ใต้ต้นท้อ
“วิชาเชื่อมโยงฟ้าดินของข้ายังฝึกได้ไม่ดี เมื่อหลายวันก่อนท่านเจ้าสำนักเพิ่งจะคำนวณให้ใครบางคนไป อีกทั้งต้องรออีกครึ่งปีถึงจะคำนวณใหม่ได้ ท่านผู้อาวุโสสูงสุดไม่รับแขกเ เป็นเวลานานแล้ว”
คำพูดสามประโยชน์ที่กล่าวติดกันล้วนแต่เป็นการปฏิเสธ เจินเถารู้สึกผิด นางกล่าวด้วยใบหน้าที่แดงเรื่อเล็กน้อยว่า “ศิษย์พี่กั้วตงนิสัยแปลกประหลาด นางกำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู ข้าไม่กล้าเข้าไปพูด….”
ในอดีตตอนที่อยู่ในเมืองเจาเกอ มั่วซีที่เป็นศิษย์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยร่วมมือกับปู้เหล่าหลินพยายามลอบสังหารเจ้าล่าเยวี่ย หลังเรื่องราวล้มเหลวนางถูกกั้วตงฟันแขนขาโยน นทิ้งเอาไว้ตรงด้านหน้าประตูเรือนตระกูลเจ้า
ตอนนี้มั่วซียังมีชีวิตอยู่ นางถูกเลี้ยงเอาไว้อยู่ในหมู่บ้านที่อยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา บางครั้งก็จะมีคนจากสำนักแม่ชีไปเยี่ยมนาง
เจินเถาได้ยินเหล่าศิษย์พี่บรรยายสภาพอันน่าหดหู่ของนางในเวลานี้ จึงรู้สึกหวาดกลัวศิษย์พี่กั้วตงเป็นอย่างมาก
“ไม่เป็นไร” ไป๋เจ่ายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว
นางคาดเดาได้แล้วว่าผู้อาวุโสกั้วตงคือใคร จึงยอมไม่บีบบังคับเจินเถา
ครั้งนี้นางมาสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย เดิมก็เป็นเพราะการฝากฝังของผู้อาวุโสกั้วตง
ในตอนนั้นเผยไป๋ฟ่าตกลงไปในทะเลเสียชีวิต ซูจึเย่ทรยศหักหลัง เหอจานรู้สึกแท้แท้ แต่แผนการทะเลตะวันตกนี้ยังไม่จบสิ้น
ศิษย์พี่ถงเหยียนเคยบอกเล่าให้นางฟัง นางถึงได้ทราบเรื่องที่ผู้อาวุโสกั้วตงคาดหวังในตัวนาง นางจึงคิดอยากมาสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเพื่อพบอีกฝ่าย แล้วก็จะได้ขอให้ผู้อาวุโสที่อ อยู่ในสำนักแม่ชีคำนวนถึงความเป็นไปได้ของแผนการนี้
คำนวณไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สุดท้ายคนคำนวณก็มิอาจสู้ฟ้าลิขิต แค่พยายามเต็มที่ก็พอ
หวังว่าทางศิษย์พี่จะสบายดี
ไป๋เจ่าบอกลาเจินเถา หมุนตัวเดินลงไปจากเขา เมื่อมาถึงตีนเขา ถึงได้พบว่าบนไหล่ของตนมีกลีบดอกไม้ติดอยู่สองสามกลีบ
ทันใดนั้นนางพลันคิดถึงเรือนตระกูลจิ๋งในเมืองเจาเกอเมื่อในอดีต ภายในสวนมีต้นไห่ถังอยู่ต้นหนึ่ง เขาอยู่ในห้องหนังสือ กำลังมองดูนางที่อยู่ท่ามกลางกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรย ค คล้ายกำลังชื่นชมอยู่
จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ชิงซานกำจัดภัยร้าย โลกแห่งการบำเพ็ญพรตก็จะได้สงบสุข จิ๋วจิ่วขี้เกียจขนาดนี้ เขาน่าจะมีความสุขนะ
……
……
บนทะเลตะวันตกสีครามมีเส้นสีขาวเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ถงเหยียนเดินไปบนน้ำทะเล
จิ๋งจิ่วไม่ลืมคำสัญญาที่ให้กับเขาเอาไว้ เอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างส่งไปยังสำนักแม่ชีสามพันที่อยู่ด้านนอกเมืองต้าหยวน จากนั้นให้แม่ชีชราปล่อยเขาออกมา
คันฉ่องฟ้ากระจ่างไม่ได้ถูกถงเหยียนสะพายเอาไว้ด้านหลัง หรือว่าจะถูกเอาไปเก็บไว้ไนภาชนะแห่งความว่างเปล่า?
หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดตอนที่อยู่วัดกั่วเฉิงและเขาเหลิ่งซานเขาถึงไม่เคยใช้มันออกมา?
บนท้องฟ้ามีเส้นสีขาวปรากฏขึ้นมาหลายสิบเส้น
ศิษย์ของสำนักกระบี่ซีไห่ขี่กระบี่มาถึง พาเขาไปยังเกาะจุ้ยเซียน
หน้าต่างบานยักษ์ที่อยู่ริมผาสามารถมองเห็นทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลและคลื่นทะเลนับหมื่นนับพัน
เทพกระบี่ซีไห่หมุนตัวมามองถงเหยียน กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้ามีอะไรมาแลก?”
ถงเหยียนกล่าว “คันฉ่องฟ้ากระจ่าง”
นี่เป็นคำตอบที่ใครๆ ก็คิดได้
หากไม่มีของวิเศษชั้นสวรรค์ จะมีใครยอมถูกสำนักจงโจวสงสัยล่ะ?
เทพกระบี่ซีไห่กล่าวว่า “เจ้าต้องการอะไร?”
ถงเหยียนกล่าวว่า “มีชีวิต”
เทพกระบี่ซีไห่กล่าวว่า “ถ้าหากเจ้าไม่ขโมยคันฉ่องฟ้ากระจ่าง เจ้าก็สามารถมีชีวิตอยู่ในสำนักจงโจวได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีชีวิตที่ดีด้วย ดังนั้นเหตุผลนี้ใช้ไม่ได้”
คนที่ไม่ถนัดในการวางแผนไม่ได้หมายความว่าไม่ฉลาด เพียงแต่คนอย่างเขาและนักพรตจิ่งหยางไม่ยินดีที่จะเสียสมาธิไปกับเรื่องอื่นนอกจากการบำเพ็ญพรต
ถ้าหากถงเหยียนไม่สามารถให้เหตุผลที่เหมาะสมได้ เทพกระบี่ซีไห่จะต้องสังหารเขาอย่างแน่นอน จากนั้นก็ส่งศีรษะเขากลับไปยังเขาอวิ๋นเมิ่ง
“ดังนั้นข้าไม่มีทางมอบคันฉ่องฟ้ากระจ่างให้ท่าน”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ได้ยินว่าคัมภีร์พลังสวรรค์ขั้นสูงสุดเล่มคัดลอกอยู่ที่ซีไห่ หลังข้าเรียนรู้แล้ว ข้าจะเชิญดวงจิตคันฉ่องออกมาพบท่าน”
ทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตรอดได้? ไม่อาจคาดหวังให้สำนักอื่นรับตัวเองเอาไว้ได้ ได้แต่ต้องพยายามยกระดับสภาวะของตัวเองให้เร็วที่สุดเท่านั้น
คำขอของถงเหยียนสมเหตุสมผล สิ่งตอบแทนที่จะให้ฟังดูกลับดูค่อนข้างน้อย
แต่เทพกระบี่ซีไห่กลับเผยสีหน้าชื่นชม เขากล่าวว่า “เจ้าแข็งแกร่งกว่าลั่วไหวหนานนัก”
เมื่อก้าวมาถึงสภาวะระดับเขา การรู้แจ้งจากโลกแห่งความฝันในคันฉ่องฟ้ากระจ่างนั้นไม่มีความหมายใดๆ อีก สิ่งที่ล้ำค่าจริงๆก็คือดวงจิตคันฉ่อง
ถ้าหากดวงจิตคันฉ่องฟ้ากระจ่างเป็นดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นเซียนจริงๆ เช่นนั้นมันก็จะเป็นดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นเซียนเพียงหนึ่งเดียวในรอบเวลาหลายหมื่นปีของแผ่นดินเฉาเทียน น
รูปแบบสิ่งมีชีวิตที่แปลกใหม่นี้ สำหรับยอดคนที่อยู่ในจุดสูงสุดอย่างเทพกระบี่ซีไห่แล้ว มันสามารถนำมาซึ่งโอกาสและการรู้แจ้งต่างๆ ได้อีกมากมาย
ถงเหยียนถูกขังอยู่ในห้องหินของเกาะเซ่าหมิง นอกจากน้ำสะอาดแล้ว ภายในห้องหินก็มีเพียงคัมภีร์พลังสวรรค์ขั้นสูงสุดฉบับคัดลอกเล่มหนึ่งเท่านั้น
เมื่อไหร่ที่เขาฝึกพลังสวรรค์ขั้นสูงสุดสำเร็จ เขาก็จะออกไปได้
ที่ค่อนข้างน่าแปลกก็คือถงเหยียนไม่ได้พลิกอ่านคัมภีร์เล่มนั้นในทันที หากแต่เหม่อมองดูผนังหิน คล้ายได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ภายในถ้ำที่ลั่วไหวหนานทิ้งเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนแห่งนั้น เขาหันหน้าเข้าหาผนังหิน ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของชิงเอ๋อร์
ชิงเอ๋อร์บินออกมาจากในแขนเสื้อของเขา บินวนไปวนมาอยู่ในห้องหินที่คับแคบอย่างรวดเร็วสองสามรอบ ก่อนจะกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “ที่นี่ปลอดภัยทีเดียว”
ถงเหยียนยังคงจ้องมองดูผนังหิน
ชิงเอ๋อร์บินกลับมานั่งลงบนไหล่ของเขา พลันกล่าวอย่างกังวลใจว่า “แต่เทพกระบี่ซีไห่แข็งแกร่งขนาดนี้ แถมดูแล้วยังละโมบโลภมาก ถ้าเกิดหลังได้เจอแล้ว เขาจะแย่งข้าไปให้ได้จ จะทำอย่างไร?”
ถงเหยียนยังคงไม่พูดอะไร จ้องมองดูผนังหินด้านหน้า
เบื้องหน้าของเขามีแผนที่ที่ไร้รูปร่างแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นมา
แผนที่นี้มิได้มีอยู่จริงๆ หากแต่เป็นความทรงจำที่อยู่ในหัวสมองของเขา
ตัวเขาที่เป็นอันดับสองทางวิถีหมากล้อมในใต้หล้าก็มีความจำที่ยอดเยี่ยมจนยากจะจินตนาการเช่นกัน
ซูจึเย่เป็นคนวาดแผนที่นี้ ตัวหนังสือยิบย่อยที่อยู่บนแผนที่เหล่านั้นคือข่ายพลังและกลไกต่างๆ เส้นสีแดงที่อยู่บนแผนที่เส้นนั้น ลากตรงไปยังถ้ำลับแห่งหนึ่งบนเกาะเซ่าหมิง ง
ถงเหยียนพลันถอดชุดออก เดินไปตรงหน้าผนังหินแล้วเริ่มขุดโพรง
ชิงเอ๋อร์รีบใช้มือเล็กๆ ปิดใบหน้าเอาไว้ ก่อนจะมองลอดซอกนิ้วออกมาแล้วกล่าวถามเขาว่า “เจ้าจะหนีแล้วหรือ?”
ข่ายพลังประจำสำนักของสำนักกระบี่ซีไห่อยู่ไกลออกไป แนวป้องกันของเกาะเซ่าหมิงเองก็อยู่ด้านนอก ขอเพียงเขาไม่ขุดออกไปด้านนอก ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไปสัมผัสถูกข่ายพลัง
แต่ถ้าหากไม่ขุดไปด้านนอก ต่อให้เขาขุดไปทั้งชีวิตก็ไม่มีทางที่จะหนีออกไปได้
ถงเหยียนกล่าวว่า “ข้าจะไปที่ที่หนึ่ง”
ผ่านไปหลายปี ถงเหยียนเริ่มขุดโพรงอีกครั้ง
แต่ว่าเวลาที่เขาต้องใช้ในการขุดโพรงครั้งนี้น้อยกว่าเดิมมาก เพราะเขาเชี่ยวชาญในเรื่องนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่ที่เขาจะไปก็ยังอยู่บนเกาะเซ่าหมิง ห่างจากที่นี่ไม่ไกล ล
ภายในโพรงที่ขุดออกมาไม่มีแสงไฟ แล้วก็ย่อมไม่รู้ว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน
ถงเหยียนมุดออกมาจากใต้ดิน
ความเร็วของชิงเอ๋อร์เร็วกว่าเขา นางบินวนอยู่ในถ้ำแห่งนี้สองสามรอบ มั่นใจว่าไม่มีกลไกใดๆ แล้วก็ไม่มีเครื่องมือวิเศษที่เคยแอบดู จากนั้นกล่าวว่า “ปลอดภัย… แต่ว่ามีของที่ แปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง”
ถงเหยียนเดินไปในส่วนลึกของถ้ำ มองไปยังกระบี่เล่มนั้น
กระบี่เล่มนั้นมีรูปร่างเรียวยาว แผ่ไอเย็นจางๆ ออกมา แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่กระบี่ธรรมดา นั่นคือกระบี่พรหมจรรย์
ชิงเอ๋อร์มองดูกระบี่เล่มนั้น กล่าวอุทานว่า “กระบี่เล่มนี้ดีจริงๆ!”
นี่เรียกได้ว่าเป็นกระบี่ที่ดีที่สุดเท่าที่นางเคยเห็น เพียงแต่ด้อยกว่าจิ๋งจิ่วอยู่เล็กน้อย
แต่ตอนนี้นางไม่ชอบจิ๋งจิ่วที่เป็นคนเลว
ถงเหยียนมองดูกระบี่พรหมจรรย์ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เมื่อแปดร้อยปีก่อน หนานชวี กลับมายังแผ่นดินเฉาเทียนอีกครั้ง อาศัยกระบี่พรหมจรรย์เล่มนี้สังหารยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังลอบโจมตีนักพรตเต้าหยวนของสำนักชิงซาน
นักพรตเต้าหยวนทำลายต้นไม้แห่งเต๋าของหนานชวี แล้วก็ยึดเอากระบี่พรหมจรรย์เอาไว้ ภายหลังไม่รู้ว่าตกไปอยู่ในวังได้อย่างไร
ฮ่องเต้ให้จินหมิงเฉิงเอากระบี่พรหมจรรย์มาให้เจ้าล่าเยวี่ย ในตอนที่เจ้าล่าเยวี่ยร่วมมือกับหลิ่วสือซุ่ยสังหารลั่วไหวหนานในเมืองกุ้ยอวิ๋น พวกนางก็ใช้กระบี่เล่มนี้
จากนั้นกระบี่เล่มนี้ก็ตกอยู่ในมือของหลิ่วสือซุ่ย ก่อนจะถูกซีหวังซุนชิงเอาไป สุดท้ายใครจะไปคิดถึงว่าฮ่องเต้ได้ทิ้งตราประทับเอาไว้บนกระบี่
เผยไป๋ฟ่าออกมาจากการเก็บตัว จากนั้นปล่อยกระบี่ออกไปโจมตีใส่ซีหวังซุนจนบาดเจ็บสาหัสโดยมีกระบี่พรหมจรรย์เป็นตัวชี้นำ
กระบี่พรหมจรรย์ตกลงบนโลก ถูกกั้วตงเอาไป ก่อนจะถูกเอาไปฝังไว้ในสวนผักของสำนักฌานเป่าทงเพื่อมอบให้ถงหลู
สุดท้ายถงหลูตายไป กระบี่พรหมจรรย์กลับมาอยู่ที่ทะเลตะวันตกอีกครั้ง
กระบี่เล่มนี้ผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย
ที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับกระบี่พรหมจรรย์ในช่วงหลายปีนี้ ถงเหยียนต่างรู้ทั้งหมด เรียกได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา
ตอนนี้เขาเตรียมจะใช้กระบี่เล่มนี้เขียนเรื่องราวแบบไหนขึ้นมาอีก?
แต่ปัญหาก็คือบนกระบี่พรหมจรรย์มีรอยประทับที่ฮ่องเต้ทิ้งเอาไว้ แล้วก็ยังมีข่ายพลังปิดกั้นที่เทพกระบี่วางเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน เขาก็ไม่สามารถทำลายได้ เช่นนั้นก็ย่ อมไม่สามารถนำเอากระบี่เล่มนี้ออกไปได้
อย่างนั้นเขามาที่นี่ทำไม? หรือว่าจะแค่มาดู?
ชิงเอ๋อร์มองดูเขา
ถงเหยียนไม่ได้กล่าวกระไร หากแต่เดินลงไปนั่งตรงมุมหนึ่งแล้วเริ่มรอคอย
เขาไม่รู้ว่าต้องรอนานเท่าไหร่
บางทีอาจจะสิบกว่าวัน หรือบางทีอาจจะหลายปี
แต่จะเป็นอย่างไหนก็ช่าง
ก็เหมือนอย่างในตอนนั้น
……
……
ห่างออกไปหลายลี้ทั้งด้านนอกถ้ำที่ถงเหยียนซ่อนตัวอยู่ มีถ้ำที่มีขนาดใหญ่กว่าอยู่แห่งหนึ่ง
ถ้ำทั้งสองแห่งนี้ล้วนแต่เป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดบนเกาะเซ่าหมิง
อินซานและปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเดินเข้าไปในถ้ำ มองดูบันทึกที่อยู่รอบๆ ก่อนจะมั่นใจว่าศูนย์กลางของข่ายพลังประจำสำนักแอบซ่อนอยู่ที่นี่
อีกประเดี๋ยวก็จะเจอกระบี่พรหมจรรย์แล้ว
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเดินไปตรงด้านหน้าผนังหิน เตรียมจะขุดโพรง
อินซานมองดูมือขวาที่ค่อยๆ แห้งเหี่ยว กล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “ไม่ต้อง”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวอย่างภูมิใจว่า “นักพรต ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไปกระทบถูกข่ายพลัง ข้าถนัดขุดโพรงที่สุดแล้ว”
ถูกต้อง คนที่ถนัดเรื่องการขุดโพรงมากที่สุดมิใช่ถงเหยียน
หากว่ากันในเรื่องความเร็ว เขาไม่อาจเทียบจิ๋งจิ่วได้
หากว่ากันในเรื่องของความแม่นยำและความเชี่ยวชาญ เขาจะไปเทียบกับปรมาจารย์สำนักเสวียนอินที่ถูกข่ายพลังกระบี่ชิงซานบีบจนต้องขุดโพรงอยู่ใต้ดินเป็นเวลาสามร้อยกว่าปีได้อย่า างไร
อินซานดึงมือขวากลับมา ก่อนกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องขุด รอให้ศูนย์กลางข่ายพลังประจำสำนักพังทลาย พวกเราก็แค่เดินเข้าไปหยิบก็พอ”
หากมองในมุมของการวางแผนแล้ว ความจริงคนที่ถนัดเรื่องขุดโพรงที่สุดในโลกนี้ก็คือเขา