มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 61 คนเดียวปรากฏ ฟ้าดินตกตะลึง
หลังจากหลิ่วฉือส่งจดหมายกระบี่หลายสิบฉบับไปยังที่ต่างๆ บนแผ่นดินชาวเทียน ไม่นานข่าวนั้นก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
นักพรตไท่ผิงออกมาจากการเก็บตัว ตอนนี้อยู่ที่ซีไห่ สำนักชิงซานกำลังมุ่งหน้าไปหาเขา
เรื่องนี้ไม่เหมือนกับเรื่องของเสวี่ยจี ครั้งนี้สำนักชิงซานไม่ได้มีการปิดบังใดๆ แล้วก็ไม่ได้เลือกที่จะบอกใครก่อน พวกเขาแทบจะป่าวประกาศไปทั่วทั้งใต้หล้า
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ปฏิกิริยาบนโลกแตกต่างกันออกไป
บางคนใช้เวลาอยู่นานกว่าจะนึกขึ้นมาได้ว่านักพรตไท่ผิงผู้นี้คือเจ้าสำนักคนก่อนของสำนักชิงซาน เขาได้ทำการเก็บตัวเพื่อจะ แสวงหาธรรมวิถีและบรรลุกลายเป็นเซียน ในอดีตสำนั กชิงซานเคยประกาศเขตหวงห้ามแปดร้อยลี้ สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งแผ่นดิน เพียงแต่เรื่องนี้ผ่านมาสามร้อยกว่าปีแล้ว ชื่อของนักพรตไท่ผิงค่อยๆ ถูกผู้คนลืมเลือน หรือว่าตอนนี้ เขายังมีชีวิตอยู่?
ถ้าหากนักพรตผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดเขาถึงอยู่ที่ซีไห่? เหตุใดสำนักชิงซานถึงต้องบุกไปโจมตีสำนักกระบี่ซีไห่เพราะเรื่องนี้
มีแต่คนที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังเหล่านั้นถึงจะเข้าใจ จดหมายกระบี่ของชิงซานเหล่านี้มิได้กำลังโอ้อวด มิใช่กำลังแสดงอำนาจ หากแต่…เป็นการเตือน
หลังจากจางอี๋อ้ายรับทราบข่าวนี้ เขาก็เดินทางเข้าวังกลางดึก สีหน้าดูแย่เป็นอย่างมาก ในอดีตหลังจากเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายในคุกสะกดมาร เขาก็ค่อยๆ ห่างเหินกับเหล่าอาจารย ย์ของสำนักจงโจว ภายในใจต้องแบกรับความกดดันที่หนักอึ้ง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยเป็นเหมือนอย่างวันนี้มาก่อน แรงกดดันที่เกิดขึ้นในใจนั้นมากถึงขนาดที่ทำให้เขาไม่สามารถหายใจไ ได้ ในอดีตซือเฟิงเฉินได้พบชื่อของนักพรตไท่ผิงในม้วนเอกสารลับของกรมชิงเทียน ในฐานะที่เขาเป็นเจ้ากรมชิงเทียน เขาย่อมต้องรู้ดีว่าหายนะเมื่อสามร้อยปีก่อนผู้นี้ได้ทำให้ เกิดเหตุการณ์นองเลือดมากน้อยเท่าไรบนแผ่นดินเฉาเทียน
เขาเข้ามาในส่วนลึกของวังหลวง คุกเข่าลงด้านหลังฮ่องเต้ กล่าวรายงานเนื้อหาในจดหมายกระบี่ของสำนักชิงซานและแผนการล่วงหน้าที่กรมจิงเทียนรีบจัดทำขึ้นมา แต่เขากลับตกใจเมื่อ พบว่าไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือว่าราชองครักษ์จินกับหนิวก็ล้วนแต่สงบนิ่ง หรือพวกเขารู้มาตั้งนานแล้วว่านักพรตไท่ผิงยังมีชีวิตอยู่?
สถานที่ที่ได้รับจดหมายกระบี่จากชิงซานเป็นสถานที่แรกสุดก็คือวัดกั่วเฉิง
ฉานจึเพิ่งกลับมาจากที่ราบหิมะได้ไม่นาน เขานั่งยองๆ อยู่ข้างหน้าต่าง หยิบยืมแสงอาทิตย์จากด้านนอก จ้องมองดูกองแท่งไม้ ดูคล้ายเหม่อลอย
ภายในส่วนลึกของวัดมีเสียงระฆังดังลอยมา ลงทะเลพัดโชย แต่กลับไม่สามารถพัดพาความหงุดหงิดของฤดูร้อนให้สลายหายไปได้
เขาลุกขึ้นยืน เหลียวหน้ากลับไปมองเหล่าผู้อาวุโสของวัดกั่วเฉิง บนใบหน้าไม่มีความรู้สึกอ่อนวัยเหมือนเด็กน้อยอีก หากแต่คร่ำเคร่งและจริงจังเป็นอย่างมาก
การตายของสมณะตู้ไห่ที่เป็นหัวหน้าอารามหลี่ว์ถังในตอนนั้น ได้ทำให้ความลับหลายๆ อย่างเปิดเผยออกมา
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสหรือว่าเขาก็ล้วนแต่ไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ ต่อเรื่องนี้ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาให้ความเคารพต่อสำนักชิงซาน อยากจะให้สำนักชิงซานแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
ในเมื่อวันนี้สำนักชิงซานส่งจดหมายแจ้งไปทั่วทั้งแผ่นดิน เปิดเผยเรื่องที่นักพรตไท่ผิงยังมีชีวิตอยู่ อย่างนั้นวัดกั่วเฉิงก็ต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจนออกมา
“เชิญเหล่าศิษย์พี่ในตำหนักแสดงธรรมเดินทางไปทะเลตะวันตก คอยจับตาดูชิงซานเอาไว้”
ฉานจึค่อยๆ กล่าวอย่างช้าๆ และหนักแน่น “ไท่ผิงต้องตาย”
ผู้อาวุโสหลายท่านรับคำสั่งแล้วออกเดินทางไป
ฉานจึสะบัดชายจีวรเบาๆ กองแท่งไม้กระจัดกระจาย เท้าที่เปลือยเปล่าสองข้างก้าวเดินออกไปจากห้องฌาน มายังด้านหน้า เจดีย์หินองค์นั้น
สวนจิ้งหยวนซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจดีย์หินยังคงตั้งอยู่ที่นี่ชั่วคราว
ฉานจึมองดูเจดีย์หินองค์นั้น นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เสียงระฆังค่อยๆ หยุดลง ลมทะเลก็สงบตามลงไปด้วย
นี่เป็นช่วงกลางฤดูร้อน แต่ในสำนักฌานกลับเย็นยะเยือกเป็นอย่างยิ่ง
สำนักชิงซานบุกโจมตีสำนักกระบี่ซีไห่ แต่พันธมิตรของสำนักชิงซานอย่างต้าเจ๋อและสำนักเสวียนหลิงกลับยังคงนิ่งเงียบ สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเองก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่ปฏิกิริ ยาของกลุ่มกำลังกลุ่มอื่นๆ กลับดูรุนแรงเป็นอย่างมาก
มิใช่ว่าพวกเขาต้องการจะปกป้องสำนักกระบี่ซีไห่จากความไม่ยุติธรรม หากแต่เป็นเพราะกังวลว่าหลังจากนี้จะเกิดความวุ่นวายที่สะเทือนฟ้าดิน
ภายในวัดเล็กๆ ในเมืองไป๋เฉิงแห่งนั้นไม่มีเสียงของเทพดาบดังขึ้น แต่หลังจากประมุขของนิกายเฟิงเตาออกไปได้ไม่นาน เมืองจวี้เย่ก็ทำการปิดเมือง
สำนักในดินแดนทางเหนือหลายๆ สำนักเรียกตัวลูกศิษย์กลับมา จากนั้นเปิดข่ายพลังพร้อมทำการปิดสำนัก
ราชสำนักสั่งให้กองทัพทหารม้าเคลื่อนพลลงใต้ บรรยากาศภายในเมืองเจาเกอดูตึงเครียดเป็นอย่างมาก
ปฏิกิริยาของเรือนอี้เหมาตรงไปตรงมาที่สุด ปู้ชิวเซียวพาบัณฑิตหลายสิบคนเดินทางออกจากระเบียงลมพันลี้ นั่งเรือความรู้ดุจมหานที เดินทางไปยังทะเลตะวันตก
แผ่นดินเฉาเทียนตกอยู่ในความวุ่นวาย
……
……
ที่น่าแปลกก็คือสำนักจงโจวซึ่งเป็นผู้นำของฝ่ายธรรมะกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ดูสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
นั่นเป็นเพราะนักพรตไป๋รู้แต่แรกแล้วว่านักพรตไท่ผิงหลบหนีออกมาจากคุกกระบี่แล้ว
หลังจากฉีหลินได้รับบาดเจ็บแล้วหนีกลับมาจากวัดกั่วเฉิง นางก็เริ่มรู้สึกสงสัย ภายหลังถึงได้รับการยืนยันจากซูจึเย่
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินได้แจ้งเรื่องนี้ให้ซูจึเย่รู้ผ่านทางสมณะอ้วนในวัดกั่วเฉิงรูปนั้น
ภายในหุบเขาเต็มไปด้วยไอหมอก แต่เมื่อเทียบกับหมอกบนยอดเขากระบี่ของชิงซานแล้ว ไอหมอกของที่นี่มีความนุ่มนวลมากกว่า แล้วก็ดูคล้ายความฝันมากกว่า บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ มั นจึงได้ชื่อว่าเขาอวิ๋นเมิ่ง
สายลมที่เย็นสบายค่อยๆ จับตัวกันดูคล้ายก้อนเมฆ ดึงแถบผ้าสีขาวที่ดูเบาบางเลื่อนลอยให้ลอยขึ้นมา ไป๋เจ่าบินลงมาตรงริมหน้าผา
นักพรตไป๋มองดูแถบผ้าสีขาวที่ห้อยตกลงมาข้างเอวนางเส้นนั้น มิได้กล่าวกระไร
นางรู้ว่าบุตรสาวถูกขังอยู่ในที่ราบหิมะมาเป็นเวลาหกปี จะต้องพบเจอกับเรื่องมหัศจรรย์บางอย่างเข้าอย่างแน่นอน แถบผ้าสีขาวที่ทำขึ้นมาจากไหมฟ้าเส้นนั่นก็คือสิ่งยืนยัน ขณ ณะเดียวกันมันก็เป็นการยืนยันตัวตนที่แท้จริงของจิ๋งจิ่วด้วย เพียงแต่เมื่อเรื่องนั้นไม่มีหลักฐาน แม้นจะพูดออกไปมันก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นหากลูกสาวของตนเองสามารถรักษา ความสัมพันธ์เช่นนี้กับจิ๋งจิ่วเอาไว้ได้ มันก็น่าจะมีประโยชน์ เช่นนั้นเหตุใดต้องเปิดเผยความจริงด้วย?
“ข้าเพียงแต่รู้ว่านักพรตไท่ผิงเคยเป็นหายนะของโลกมนุษย์ แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะทำให้เกิดความวุ่นวายได้ขนาดนี้”
ไป๋เจ๋าคิดถึงข่าวที่ส่งกลับมาจากที่ต่างๆ บนแผ่นดิน รู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า “ทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้คะ?”
“พวกเจ้ายังเด็ก ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนนั้นมีผู้คนมากมายเท่าไหร่ต้องตายลงไปเพราะเขา แล้วไหนเลยจะรู้ว่าหากให้เขามีชีวิตอยู่บนโลกจะมีผู้คนมากมายอีกเท่าไหร่ที่ต้องตายไป”
นักพรตไป๋คิดถึงหายนะเหล่านั้นที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินในเวลานั้น รู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาอีกครั้ง พลางกล่าวว่า “ชิงซานนึกว่าทำแบบนี้แล้วจะปัดความรับผิดชอบได้อย่างนั้นหรือ?”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “ขอเพียงนักพรตไท่ผิงตายไป ก็ย่อมไม่มีใครต้องรับผิดชอบ”
นักพรตไป๋จ้องมองดูนางพลางกล่าวว่า “เตรียมออกเดินทาง”
……
……
สำนักชิงซานบุกโจมตีสำนักกระบี่ซีไห่ ไม่มีทีท่าว่าจะปิดบังร่องรอย แต่ถึงแม้อยากจะปิดบังก็ไม่มีทางปิดบังได้
เรือกระบี่จำนวนสิบเจ็ดลำบินไปบนท้องฟ้า ทอดเป็นเงาขนาดใหญ่ลงมาบนภูเขาและทุ่งกว้างที่อยู่เบื้องล่าง เมื่อนั่งอยู่ในเรือกระบี่ก็ไม่จำเป็นต้องปะทะกับลมพายุอันรุนแรง ย่อม มต้องรู้สึกสบาย แต่ผู้ฝึกกระบี่ของสำนักชิงซานนั้นเป็นพวกไม่ชอบอยู่เฉยๆ สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องขี่กระบี่ออกไปสูดอากาศข้างนอก ดังนั้นรอบด้านของเรือกระบี่จึงมักจะเห็นลำแสง งกระบี่อยู่เป็นจำนวนมาก
ลำแสงกระบี่และเรือกระบี่มุ่งหน้าไปพร้อมกัน ภาพที่ปรากฏออกมาดูยิ่งใหญ่ตระการตา แล้วก็ย่อมสะดุดตา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลากลางวันหรือว่ากลางคืนก็ล้วนแต่สามารถมองเห็นได้อย่างชัด ดเจน เป็นเหมือนกับกลุ่มดาวตกที่ไม่มีวันจะตกลงมา
เหล่าชาวนาและชาวบ้านที่อยู่บนพื้นต่างพากันตกตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นภาพนี้ คนจำนวนมากต่างพากันคุกเข่าลงไป ก้มกราบภาวนาไม่หยุด จนกระทั่งเรือกระบี่และลำแสงกระบี่เหล่า านั้นหายลับไปในขอบฟ้า พวกเขาถึงจะค่อยๆ กล้าลุกขึ้นยืน ไม่รู้ว่าเหล่าอาจารย์เซียนจะไปที่ไหน และจะไปทำอะไร
……
……
สำนักที่อยู่ใกล้กับทะเลตะวันตกมากที่สุดก็คือสำนักฌานเป่าทงและสำนักคุนหลุน
เหอเว่ยที่เป็นเจ้าสำนักคุนหลุนขี่นกหานเฮ่า พาลูกศิษย์หลายสิบคนมุ่งหน้าไปยังทะเลตะวันตก
ตามหลักแล้ว พวกเขาควรจะเป็นคนที่ไปถึงสนามรบเป็นกลุ่มแรกสุด แต่เหอเว่ยรู้สึกไม่สบายใจ จึงให้นกหานเฮ่าลดความเร็วลง
ในตอนที่พวกเขามาถึงทะเลตะวันตก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆครึ้ม ก้อนแม้จำนวนนับไม่ถ้วนบดบังแสงอาทิตย์ น้ำทะเลมืดทึบราวน้ำหมึก มองไม่เห็นว่าในส่วนลึกของทะเลกำลังเกิดอะไรขึ้น
นกหานเฮ่าบินไปทางหมู่เกาะทะเลตะวันตก ทันใดนั้นจู่ๆ คล้ายสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันตรายอย่างรุนแรง จึงเสียงร้องหวาดกลัวออกมา ก่อนจะหมุนตัวบินขึ้นไปบนฟ้าที่สูงขึ้นไป
กระทั่งบินออกมาได้หลายร้อยลี้ นกหานเฮ่าถึงได้หยุดบิน มันมองไปในส่วนลึกของทะเลตะวันตก ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักคุนหลุนใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งถึงจะตามมาทัน ใบหน้าขาวซีดเป็นอย่างมาก
เหอเว่ยมองออกไปรอบด้าน ถึงได้พบว่าในท้องฟ้าเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญพรต
เหล่าลูกศิษย์ของเรือนอี้เหมามาแล้ว คนของต้าเจ๋อและสำนักเสวียนหลิงมาแล้ว สมณะของวัดกั่วเฉิงเองก็มาแล้ว แล้วก็ยังมีคนจากสำนักต่างๆ อีกจำนวนมาก
ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนพันกว่าคนที่มาจากสำนักหลายสิบสำนักต่างเดินทางมาที่ทะเลตะวันตก
เมื่อเทียบกับศึกถล่มลานเมฆในครั้งนั้นแล้ว ไม่รู้ว่ามีจำนวนคนมากกว่าตั้งกี่เท่า
ไม่มีผู้บำเพ็ญพรตคนไหนกล้าเข้าไปใกล้หมู่เกาะในทะเลตะวันตก บนใบหน้าของคนส่วนใหญ่ล้วนแต่มีสีหน้าหวาดกลัว
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองเข้าไปในส่วนลึกของทะเลตะวันตก มองไปยังหมู่เกาะที่ถูกเมฆครึ้มปกคลุมแถบนั้น
ทันใดนั้นเอง ในก้อนเมฆที่มืดครึ้มก็มีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนผ่าลงไปยังหมู่เกาะทะเลตะวันตก
ตู้ม! ตู้ม!
น้ำทะเลสีดำปั่นป่วนขึ้นมา ดูคล้ายกำลังเดือดพล่าน เกิดเป็นฟองอากาศจำนวนนับไม่ถ้วน
โขดหินโสโครกถูกสายฟ้าฟาดจนแตกละเอียด แต่ยังไม่ทันที่เศษหินจะตกลงไปในทะเล พวกมันก็ถูกลมพายุหอบขึ้นไป ปลิวว่อนอยู่บนท้องฟ้า
ภาพเหตุการณ์นี้น่าตกตะลึงเป็นยิ่งนัก ไม่ต่างอะไรกับทัณฑ์สวรรค์!
ทันใดนั้นเมฆครึ้มพลันแยกตัวออก แสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังหมู่เกาะทะเลตะวันตก
เรือกระบี่จำนวนสิบเจ็ดลำปรากฏกาย เคลื่อนตัวเข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดในหมู่เกาะทะเลตะวันตกอย่างช้า ดูทรงอานุภาพจนไม่อาจมีอะไรมาหยุดยั้งได้!
ที่แท้สายฟ้าก็คือลำแสงกระบี่