มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 63 โจรในสำนักล้วนแต่เป็นโจรของชิงซาน (1)
“เป็นเขานี่เอง”
ปู้ชิวเซียวคล้ายครุ่นคิดอะไร จากนั้นกล่าวว่า “ได้ยินว่าเขาบรรลุขั้นแหวกทะเลระดับสูงสุดตั้งนานแล้ว วันนี้ดูแล้วเหมือนจะไม่ธรรมดาจริงๆ”
เขาย่อมต้องเคยได้ยินชื่อเจ้าแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยของสำนักชิงซานผู้นี้ เพียงแต่ที่ผ่านมานักพรตผู้นี้ไม่ได้ทำตัวโดดเด่น หลายปีมานี้เอาแต่เก็บตัว ทั้งสองคนไม่เคยพบหน้ากัน น
เหอเว่ย และเจ้าสำนักสำนักอื่นๆ พากันพยักหน้าอย่างเงียบๆ ลูกศิษย์ธรรมดาเหล่านั้นไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน พวกเขายังคงตกอยู่ในความรู้สึกตกตะลึงและสับสน
สำนักชิงซานยังมียอดฝีมือที่น่ากลัวขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ?
บนท้องทะเลที่อยู่ไม่ไกลมีคลื่นซัดสาดขึ้นมาอีกครั้ง
เรือกระบี่ของสำนักชิงซานลำนั้นบินลงไปใกล้ผิวน้ำ ลำแสงกระบี่ที่ปรากฏขึ้นในเวลานี้ก็น้อยลงไปมาก
ด้านล่างน้ำทะเลพลันมีเงาสีดำหลายสิบสายปรากฏขึ้นมา เงาเหล่านั้นน่าจะเป็นปีศาจทะเลที่สำนักกระบี่ซีไห่เลี้ยงเอาไว้
ลำแสงกระบี่สีแดงสายหนึ่งพุ่งทะลวงลงไปในทะเล แหวกว่ายอยู่ในน้ำทะเลด้วยความเร็วสูง ทำให้เกิดฟองอากาศและเลือดสดๆ จำนวนไม่ถ้วน จากนั้นวกกลับมา
พอจะเห็นได้ลางๆ ว่าเงาดำเหล่านั้นได้แยกออกเป็นชิ้นๆ และกำลังจมลงไปก้นทะเล
พลังของลำแสงกระบี่สีเลือดสายนี้ย่อมไม่อาจเทียบกับพลังของกระบี่บินของนักพรตกว่างหยวนและผู้อาวุโสเหล่านั้นได้ แต่ความรู้สึกตกตะลึงและกดดันที่มันสร้างให้แก่เหล่าผู้บำ ำเพ็ญพรตกลับมิใช่น้อยเลย
น้ำทะเลในรัศมีหลายลี้ได้ถูกยอมจนกลายเป็นสีแดง มองดูเหมือนบ่อโลหิตอย่างไรอย่างนั้น ดูสยดสยองเป็นอย่างมาก
ครั้งนี้ไม่มีใครถาม เพราะทุกคนต่างรู้ว่ากระบี่บินสีแดงเล่มนี้ก็คือกระบี่มิคำนึงที่เล่าลือกัน
เจ้าล่าเยวี่ยอายุเพียงเท่านี้ก็บรรลุขั้นคเนจรระดับกลาง ในตอนนั้นนางแพ้ให้แก่จัวหรูซุ่ยได้อย่างไรกันแน่?
……
……
หลังนักพรตกว่างหยวนกลับมายังเรือกระบี่ก็มิได้ออกไปอีก
ยอดฝีมือคนอื่นๆ ของสำนักชิงซาน อย่างเช่นเฉิงโหยวเทียน มั่วฉือและไป๋หรูจิ้งก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน กระทั่งเจ้าล่าเยวี่ยก็โจมตีไปแค่เพียงกระบี่เดียว
มีเพียงแค่ตอนที่พบเจอปัญหาที่ยากแก้ไขได้ เหล่าผู้อาวุโสของสำนักชิงซานถึงจะลงมือออกกระบี่ ในเวลาอื่นๆ ยังคงเป็นศิษย์ธรรมดาของสำนักชิงซานที่เป็นกำลังหลัก
ยิ่งลึกเข้าไปในหมู่เกาะของทะเลตะวันตก ลูกศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างก็ยิ่งมีพื้นที่ให้ได้แสดงวิถีกระบี่ที่ฝึกฝนมาจากการออกไปกำจัดปีศาจขจัดความชั่ว กระบี่บินกระหน่ำโจมตี ลงไปยังท้องทะเลเหมือนดั่งห่าฝน
สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวมากที่สุดก็คือ ไม่ว่าสำนักกระบี่ซีไห่จะใช้วิธีอะไรออกมา สำนักชิงซานก็จะหาวิธีทำลายได้อย่างเหมาะสม
ยอดเขาซั่งเต๋อมีหิมะตก ยอดเขาปี้หูมีสายฟ้าฟาด ยอดเขาเทียนกวงผนึกข่ายพลัง… กระบี่บินที่เรียบง่ายที่สุด กลับสามารถสำแดงพลังต่างๆ ออกมาได้ราวกับมีอิทธิฤทธิ์ จากนั้นก็ทำล ลายอาวุธวิเศษและข่ายพลังประจำสำนักของสำนักกระบี่ซีไห่ได้อย่างง่ายดาย
นักพรตหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงยังไม่ได้ลงมือ ยังมีกระบี่ชั้นเซียนอีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้ปรากฏตัว แต่สำนักกระบี่ซีไห่ก็ถูกเล่นงานจนตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นนี้
นี่คือการบดขยี้
เมื่อเห็นภาพการต่อสู้ที่ดูยิ่งใหญ่ตระการตา แต่กลับมิได้ดุเดือดอะไรเหล่านี้ เหอเว่ยที่เป็นเจ้าสำนักคุนหลุนพลันกล่าวถามขึ้นมาว่า “สู้มากี่วันแล้ว?”
ปู้ชิวเซียวเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “เพิ่งจะเริ่มสู้ตอนพวกข้ามาถึง”
หลังรู้ข่าวนักพรตไท่ผิงออกมาจากการเก็บตัวและแอบซ่อนตัวอยู่ที่ซีไห่ ปฏิกิริยาของเหล่าบัณฑิตเรือนอี้เหมานั้นรวดเร็วที่สุด แล้วก็มาถึงเร็วที่สุด
เห็นๆ อยู่ว่าสำนักชิงซานสามารถเปิดฉากโจมตีได้ก่อนหน้านั้น แต่พวกเขากลับรอให้สำนักบำเพ็ญพรตอื่นๆ มาถึงก่อนค่อยเริ่มโจมตี นี่มันหมายความว่าอะไร?
สงครามครั้งนี้ สำนักชิงซานตั้งใจแสดงให้ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนได้เห็น ดังนั้นจึงต้องมีผู้ชม
เมื่อคิดเข้าใจถึงจุดนี้ ผู้บำเพ็ญพรตสำนักอื่นๆ ต่างพากันตกตะลึงจนพูดไม่ออก
สำนักกระบี่ซีไห่เป็นสำนักใหญ่ที่พึ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ได้ร้อยกว่าปี เคยเล่นงานสำนักที่แข็งแกร่งอย่างสำนักอู๋เอินเหมินจนพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า ถึงแม้หลังศึกลานเมฆจะสูญเสียกำลัง ไปเป็นจำนวนมาก แต่พวกเขาก็ยังถือเป็นสำนักที่แข็งแกร่งบนโลกนี้อยู่ ทว่าสำนักชิงซานกลับบอกว่าจะโจมตีก็โจมตี ยิ่งไปกว่านั้นคิดจะโจมตีเมื่อไหร่ก็โจมตีเมื่อนั้น นี่ต้องมีค ความมั่นใจขนาดไหนกัน?
เรือกระบี่สิบเจ็ดลำมุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของหมู่เกาะทะเลตะวันตก ลำแสงกระบี่ค่อยๆ หายไป เหลือเพียงเศษซากร่องรอยความเสียหายและโลหิตสดๆ จำนวนนับไม่ถ้วน
มีสายฝนที่มาพร้อมกับลมทะเลตกลงบนทะเลและบนเกาะ ค่อยๆ ชะล้างรอยเลือดออกไป กลบฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาในตอนที่ตำหนักต่างๆ พังถล่ม
เมื่อเห็นภาพนี้ ผู้บำเพ็ญพรตของสำนักต่างๆ พากันเกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างรุนแรง
“นี่คือสงคราม”
ปู้ชิวเซียวมองดูคราบเลือดบนท้องทะเลที่ค่อยๆ จางหายไปเหล่านั้น มองดูหมู่เกาะที่ตกอยู่ในสภาพที่น่าเศร้าเหล่านั้น นิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “มีเพียงตอนที่ทำสงครามถ ถึงจะได้เห็นพลังแท้จริงของสำนักสำนักหนึ่ง ดังนั้นข้าจึงรู้สึกชื่นชมนิกายเฟิงเตามาโดยตลอด เพราะพวกเขาเคยเข้าร่วมสงคราม ยิ่งไปกว่านั้นยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออยู่ในสงคร ราม”
คำพูดประโยคนี้เขาพูดให้แก่เหล่าลูกศิษย์ของเรือนอี้เหมาที่อยู่ในเรือความรู้ดุจมหานทีฟังเพื่อเป็นการสั่งสอน
ในสงครามของโลกมนุษย์ ต่อให้แม่ทัพจะมีฝีมือร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย
ในสงครามของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต พลังและสภาวะของผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่งก็มิได้มีความหมายอะไรนัก นอกเสียจากจะบรรลุถึงขั้นมหายานหรือพูดอีกอย่างก็คือขั้นทะลวงสวรรค์ ถึงพอจ จะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้บ้าง
แต่ปัญหาก็คือ ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมียอดคนขั้นทะลวงสวรรค์อยู่ทั้งหมดกี่คนกันล่ะ?
สำนักชิงซานมีสองคน
สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกสิ้นหวังก็คือ สำนักชิงซานยังมีผู้พิทักษ์อีกสี่ตัว
สายตาจำนวนมากมองสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที
บนชั้นเมฆบางๆ ที่อยู่ใกล้กับดินแดนแห่งความว่างเปล่ามีเรือขนาดใหญ่ลำหนึ่งปรากฏอยู่ลางๆ ท่ามกลางกลุ่มเมฆ
นั่นคือเรือเมฆของสำนักจงโจว ยอดฝีมือจำนวนมากของเขาอวิ๋นเมิ่งอยู่ในเรือลำนั้น ได้ยินว่ากระทั่งนักพรตไป๋ก็มาด้วย
หากพูดกันถึงเรื่องรากฐาน ยอดฝีมือในสำนัก จำนวนกระบี่บินและอาวุธวิเศษชั้นสูงแล้วล่ะก็ ก็น่าจะมีเพียงสำนักจงโจวที่สามารถเทียบเคียงสำนักชิงซานได้
หากทั้งสองสำนักนี้เปิดศึกใส่กัน ใครจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด?
ไม่มีใครกล้าถามคำถามนี้ แต่ทุกคนต่างกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
ปู้ชิวเซียวมองดูเหล่าลูกศิษย์ที่คล้ายกำลังครุ่นคิดอยู่เหล่านั้น พลางส่ายศีรษะขึ้นมา
เขารู้สึกว่าการครุ่นคิดเช่นนี้มันไร้ความหมาย
วันนี้หลังจากที่ได้เห็นพลังและความกล้าของสำนักชิงซานไปแล้ว หรือยังจะมีใครคิดว่าสำนักจงโจวมีโอกาสที่จะชนะอยู่อีก?
หลิ่วสือซุ่ยไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้
ในฐานะที่เคยเป็นอดีตศิษย์อัจฉริยะของสำนักชิงซาน เขาย่อมต้องคิดว่าสำนักชิงซานจะต้องชนะอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นการทำศึกกับสำนักกระบี่ซีไห่ในวันนี้ หรือจะเป็นการทำศึกกับสำนักจงโจวที่แอบคิดอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
เขายืนอยู่บนเรือความรู้ดุจมหานที มองดูเรือกระบี่ที่เคลื่อนที่ออกไปไกลลำนั้นพลางถอนใจออกมา
เรือกระบี่ลำนั้นมีลำแสงกระบี่น้อยที่สุด เห็นได้ชัดว่ามีลูกศิษย์น้อยที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าล่าเยวี่ยยังอยู่บนนั้น นั่นจะต้องเป็นเรือกระบี่ของยอดเขาเสินม่ออย่างแน่นอน
สำนักชิงซานถล่มสำนักกระบี่ซีไห่ เขาย่อมต้องรู้สึกภูมิใจ แต่ก็รู้สึกเสียดายเช่นเดียวกัน
หากมิเป็นเพราะเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายขนาดนั้น ในตอนนี้เขาน่าจะอยู่บนเรือกระบี่ลำนั้น
มีเสียงหวึ่งๆ ที่ฟังดูแผ่วเบาดังขึ้นมา สร้อยกระบี่ที่อยู่บนข้อมือของเขากำลังสั่นไม่หยุด
สำนักชิงซานบุกโจมตีสำนักกระบี่ซีไห่ ในฐานะที่กระบี่ไร้อัตตาเป็นกระบี่ลับของยอดเขาเหลี่ยงว่าง มันย่อมต้องอยากจะออกไปร่วมสังหารศัตรูกับเพื่อนร่วมสำนัก
หลิ่วสือซุ่ยลูบสร้อยกระบี่เพื่อปลอบประโลม ในใจครุ่นคิดว่าเทพกระบี่ซีไห่ไม่ปรากฏ ชิงซานจะต้องชนะอย่างแน่นอน เจ้ากับข้าจะไปทำไม?
แต่หากเทพกระบี่ซีไห่ปรากฏ ข้าจะสามารถทำอะไรได้? ส่วนเจ้า… จะต้องแกล้งหลับอย่างแน่นอน
ถูกต้อง ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าสงครามครั้งนี้สำนักชิงซานจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถมั่นใจได้ว่าสำนักชิงซานจะต้องสูญเสียไปมากน้อยเท่าไหร ร่ จะมีคนตายไปมากน้อยเท่าไหร่
เพราะว่าจนถึงตอนนี้ เทพกระบี่ซีไห่ยังไม่ปรากฏตัว
สายฝนพลันสลาย สายลมพลันหายไป
แต่บนทะเลกลับมีกระแสน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนซัดสาด
ยอดเขาปี้หูของสำนักชิงซานใช้เพลงกระบี่กระแสน้ำ แต่อนุภาพกลับไม่อาจเทียบเคียงได้
ในเคล็ดกระบี่สูงสุดของสำนักกระบี่ซีไห่ก็มีคำว่ากระแสน้ำเช่นเดียวกัน
คลื่นทะเลยกตัวสูงขึ้นมาบนอากาศ กระแทกเข้ากับผิวของเรือกระบี่ เกิดเป็นหยดน้ำสาดกระเซ็น
เรือกระบี่ที่อยู่ด้านหน้าสุดลำนั้นโคลงเคลงเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาตั้งตรงได้ใหม่อีกครั้ง
เหล่าลูกศิษย์ของยอดเขาเทียนกวงเก็บกระบี่บินกลับมา จ้องมองไปยังจุดกำเนิดกระแสน้ำ ท่าทางคร่ำเคร่งคล้ายกำลังมีศัตรูที่แข็งแกร่งบุกเข้ามา
กระทั่งจัวหรูซุ่ยที่หนังตาตกคล้ายง่วงนอนอยู่ตลอดเวลาก็ยังเงยหน้าขึ้นมา ดูคล้ายตื่นเต้น
สิ่งที่ทำให้ทะเลตะวันตกเกิดกระแสน้ำซัดสาดจำนวนนับไม่ถ้วนคือกระบี่เล่มหนึ่ง
กระบี่เล่มนั้นประกอบขึ้นมาจากหลายๆ ส่วนต่อกัน เป็นเหมือนเจดีย์ที่อยู่ในวัดกั่วเฉิง แล้วก็เป็นเหมือนกระแสน้ำที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ
กระบี่หลอดลมสิบสองชั้น
หากพูดถึงกระบี่ชั้นเซียนบนโลกในปัจจุบันนี้ กระบี่เล่มนี้จะต้องอยู่อันดับแรกสุดอย่างแน่นอน
เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน ในตอนที่กระบี่เล่มนี้ถูกคนผู้หนึ่งเก็บขึ้นมาจากบนหาดทรายเป็นครั้งแรก มันไม่ได้ต่างอะไรกับเหล็กผุๆ เลย
เมื่อสภาวะของคนผู้นั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ระดับชั้นของกระบี่หลอดลมสิบสองชั้นเล่มนี้ก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ตอนนี้ได้กลายเป็นกระบี่บินชั้นเซียน เมื่อเทียบกับกระบี่พรหมจรรย์ เมื่อในอดีตแล้ว ระดับชั้นมิได้ต่างกันเท่าไหร่
กระบี่แข็งแกร่งตามคน เช่นนั้นคนผู้นั้นก็ย่อมต้องมีชื่อเสียงมากกว่า ยิ่งยอดเยี่ยมมากกว่า
คนผู้นั้นตั้งฉายาให้แก่ตนเองว่าอี้เจี้ยนซีไหล[1]
เหล่ายอดคนในรุ่นเดียวกันมักจะเรียกเขาสั้นๆ ว่าเจี้ยนซีไหล
ผู้อาวุโสที่ค่อนข้างเกียจคร้านมักจะเรียกเขาว่าซีไหล
แต่ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากมักจะยกย่องเขาว่าเทพกระบี่ซีไห่
เมื่อถูกเรียกว่าเป็นเทพกระบี่ เช่นนั้นก็คงพอจะรู้ได้ว่าวิถีกระบี่ของเขาสูงส่งเพียงใด สภาวะลึกล้ำเพียงใด
………………………………………………………………….
[1]อี้เจี้ยนซีไหล เป็นการบรรยายถึงกระบี่ที่รวดเร็ว