มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 64 โจรในสำนักล้วนแต่เป็นโจรของชิงซาน (2)
คำวิจารณ์ที่โลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีต่อเทพกระบี่นั้นมิได้ดีเท่าไร ผู้คนต่างคิดว่าเขามีนิสัยเย็นชา นิ่งเงียบน่าเบื่อ เจ้าคิดเจ้าแค้น จิตใจคับแคบ ไม่ได้มีความเป็นเซียนเลยแม้ แต่น้อย
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน จะเห็นได้เลยว่าพลังความสามารถของเขานั้นไร้ที่ติ
ในช่วงเวลาหลายสิบปีมานี้ สภาวะของเขาอยู่ในจุดสูงสุด นักพรตหลิ่วฉือสู้กับเขาก็ทำได้เพียงเสมอกัน ส่วนเผยไป๋ฟ่านั้นถูกกระบี่ของเขาฟันจนตกลงไปในทะเล
เทพกระบี่ซีไห่ในตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียนอย่างแท้จริง อยู่ในระดับเดียวกับหลิ่วฉือ นักพรตไป๋และนักพรตถาน
ในอดีตเคยมีคนมองว่าเทพกระบี่อย่างเขา เมื่อไปเทียบกับเทพดาบแล้วดูไร้ซึ่งสง่าราศี ตอนนี้ความคิดเช่นนี้ไม่มีอยู่อีกแล้ว
กระบี่หลอดลมสิบสองชั้นปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกระแสน้ำอันคลุ้มคลั่ง สำนักชิงซานใครจะเป็นผู้ออกมาต้านทาน?
บนเรือกระบี่ลำใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าสุด หลิ่วฉือยืนอยู่ตรงหัวเรือ ชุดพลิ้วไหวแผ่วเบา หรี่ตามองดูกระบี่เล่มนั้น มิได้มีทีท่าว่าจะปล่อยกระบี่ออกไปรับมือ
เพราะเขาไม่มีกระบี่ ส่วนปลอกกระบี่แบกสวรรค์เขาเตรียมเอาไว้สำหรับอีกคนหนึ่ง
หยวนฉีจิงเองก็ไม่ได้ปล่อยกระบี่ เขายังคงนั่งนิ่งอยู่ในห้องโดยสารของเรือ รอคอยการปรากฏตัวของปรมาจารย์เกาะหมอก
ไก่ฟ้าตัวนั้นรำแพนหางที่เรียวยาวสวยงาม กระโดดไปมาอยู่ในห้องโดยสาร พลางกล่าวภาษามนุษย์ออกมาอย่างร้อนใจว่า “ตาแก่นั่นอยู่ที่ไหนกันแน่? อยู่ที่ไหนกันแน่? ร้อนใจจะตายอยู แล้ว”
หยวนฉีจิงมองดูมัน ในใจครุ่นคิดว่าคนที่มันกังวลนั้นมิใช่ปรมาจารย์เกาะหมอกหนานชวี หากแต่เป็นอีกคนหนึ่ง
……
……
ลำแสงกระบี่ส่องสว่างผิวทะเล กระบี่บินสามเล่มแหวกอากาศทะยานออกไป ล้อมกระบี่หลอดลมสิบสองชั้นเอาไว้
กระบี่บินสามเล่มนี้สว่างเจิดจ้า เจตน์กระบี่เปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่าเป็นกระบี่บินชั้นเซียน
กระบี่สุญตาของยอดเขาอวิ๋นสิง
กระบี่สุริยันหวนกลับของยอดเขาซื่อเยวี่ย
กระบี่น้ำขึ้นของยอดเขาปี้หู
สภาวะของเจ้าล่าเยวี่ยยังคงต่ำต้อย ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ระดับนี้ ดังนั้นกระบี่มิคำนึงจึงไม่ได้ปรากฏตัว
“สำนักชิงซานช่างอวดดีจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะให้เจ้าแห่งยอดเขาเพียงแค่สามคนออกไปรับมือ”
เหอเว่ยมองดูภาพเหตุการณ์นี้อยู่ไกลๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอิจฉาปนเจตนาร้าย “ต่อให้นักพรตกว่างหยวนจะรับมือได้ครู่หนึ่ง แต่อีกสองคนที่เหลือเกรงว่าคงจะถูกสังหารในพริบตา า”
หลิ่วสือซุ่ยมองดูคนผู้นี้ จากนั้นมองไปทางข้อมือ พบว่ากระบี่ไร้อัตราไม่มีความเคลื่อนไหวอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ
กระแสน้ำค่อยๆลดลง
ร่างของคนที่อยู่ด้านหลังกระบี่หลอดลมสิบสองชั้นผู้นั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
ในที่สุดเทพกระบี่ซีไห่ก็ปรากฏตัวออกมา
แม้จะเผชิญหน้ากับกระบี่เลื่องชื่อของชิงซานสามเล่มและเรือกระบี่ของชิงซานอีกสิบเจ็ดลำ แต่บนใบหน้าเขาก็ไม่มีวี่แววของความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขายังคงดูเฉยชาเหมือนอย่าง ที่ผ่านมา ดูคล้ายรูปปั้นหิน
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เทพกระบี่ซีไห่มองไปยังเรือกระบี่ที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ น้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีอารมณ์ใดๆ
นักพรตหลิ่วฉือยืนอยู่ตรงหัวเรือ ชุดเต๋าพลิ้วไหวดูคล้ายเซียน เสียงอ่อนนุ่มคล้ายหยดน้ำค้าง “เชิญอาจารย์กลับสำนัก”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เทพกระบี่ซีไห่ดูคล้ายนิ่งเฉย แต่ภายในใจกลับลอบถอนใจออกมา
ในแผนการที่วางเอาไว้ในตอนแรก นักพรตไท่ผิงจะมายังซีไห่เพื่อขโมยกระบี่ จากนั้นจะถูกเขาและเสวียนอินจึร่วมมือกันสังหารหรือไม่ก็จับตัวเพื่อล่อให้ผีที่อยู่ในชิงซานตัวนั้ นออกมา จากนั้นค่อยสังหาร
แต่ใครจะไปคิดถึงบ้างว่าเขายังมิทันลงมือ สำนักชิงซานก็มาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยัง…. ยกโขยงกันออกมาด้วย
เทพกระบี่ซีไห่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “พวกเจ้าสำนักชิงซานไม่ดูเขาให้ดี ปล่อยให้เขาหนีออกมา แล้วจะมาหาพวกข้าทำไม?”
หลิ่วฉือไม่ได้ตอบคำถามของเขา
ม้วนกระดาษสีเหลืองทองแผ่นหนึ่งพุ่งมาจากทางด้านตะวันออก ลอยนิ่งอยู่บนท้องฟ้า เมื่อเจอกับลมทะเล ตัวหนังสือสีดำค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าผู้บำเพ็ญพรตทุกคน ดูชัดเจนเป็นอย่าง งมากเมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
บนพระราชโองการเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่ากรมชิงเทียนและเจวี่ยนเหลียนเหรินได้ทำการสืบพบว่านักพรตไท่ผิงอยู่ที่ซีไห่ ขอให้สำนักบำเพ็ญพรตต่างๆ ให้ความร่วมมือกับสำนักชิงซาน นในการจัดการเรื่องนี้
ลมทะเลพลิ้วผ่านผิวน้ำ แสงสีทองวูบไหว เงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง
ย่อมไม่มีสำนักบำเพ็ญพรตไหนจะเปิดฉากโจมตีใส่สำนักกระบี่ซีไห่ตามสำนักชิงซาน กระทั่งสำนักเสวียนหลิงและต้าเจ๋อก็มิได้มีความเคลื่อนไหว
ทุกคนต่างรู้ดีว่าสำนักชิงซานไม่ต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาเพียงแค่ต้องการเหตุผลที่จะถล่มสำนักกระบี่ซีไห่
ฮ่องเต้ก็ช่วยพวกเขาเขียนพระราชโองการขึ้นมาฉบับหนึ่ง
“ไม่มีหลักฐาน พระราชโองการก็เป็นแค่กระดาษเปล่า”
เทพกระบี่ซีไห่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “สำนักชิงซานเรียกตัวเองว่าเป็นผู้นำแห่งฝ่ายธรรมะ แต่วันนี้กลับไล่สังหารผู้บริสุทธิ์มากมายขนาดนี้ ข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องให้สำนักต ต่างๆ ที่อยู่ในทีนี้มาเป็นพยาน ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่า ต่อไปพวกเจ้าจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษของตนเองได้อย่างไร”
หลิ่วฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เปิดข่ายพลังประจำสำนัก หากอาจารย์ไม่อยู่ที่นี่จริงๆ สำนักชิงซานย่อมต้องขอขมา”
คำว่าขอขมาในที่นี้ฟังดูเหมือนเรียบง่าย แต่ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าถ้าหากนักพรตไท่ผิงไม่ได้อยู่ในหมู่เกาะซีไห่จริงๆ ค่าตอบแทนที่สำนักชิงซานต้องชดใช้นั้นมิใช่แค่ชีวิตของค คนไม่กี่คนอย่างแน่นอน
เมื่อกล้ากล่าวเช่นนี้ แสดงว่าสำนักชิงซานจะต้องมีความมั่นใจ
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังเทพกระบี่ซีไห่ อยากรู้ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร
เทพกระบี่ซีไห่พริ้มตาลงเล็กน้อย
ที่ตอนแรกเขาให้ซูจึเย่ไปบอกนักพรจไท่ผิงว่ากระบี่พรหมจรรย์อยู่บนเกาะเทียนเสวียน ก็เพื่อจะล่ออีกฝ่ายให้เข้ามาในซีไห่
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าในเวลานี้นักพรตไท่ผิงอยู่ที่ซีไห่หรือเปล่า
ถ้าหากอยู่ ทำไมเขาถึงไม่รู้?
ถ้าหากไม่อยู่ เหตุใดหลิ่วฉือถึงกล้ากล่าวคำพูดเช่นนี้?
ตนเองไม่ถนัดเรื่องการวางกลอุบายจริงๆ ด้วย
เทพกระบี่ซีไห่ยิ้มเยาะตนเอง จากนั้นมองไปทางหลิ่วฉือแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “อยากจะเข้ามานั้นง่ายมาก มาสู้กัน”
ทันทีที่กล่าวจบ ในส่วนลึกของหมู่เกาะซีไห่ก็มีเจตน์กระบี่ที่รุนแรงน่ากลัวเป็นอย่างมากปรากฏขึ้นมา ข่ายพลังถูกกระตุ้นจนทำงานอย่างเต็มที่
เงาดำขนาดใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาจากใต้ทะเล นั่นน่าจะเป็นปลาวาฬบินซึ่งเป็นสัตว์เทพประจำสำนักของสำนักกระบี่ซีไห่
สีหน้าของเหล่าผู้บำเพ็ญพรตจากสำนักต่างๆ ดูคร่ำเคร่งเป็นอย่างมาก
สำนักกระบี่ซีไห่พร้อมที่จะสู้ตาย!
ที่นี่คือพื้นที่ใจกลางของหมู่เกาะซีไห่ ข่ายพลังประจำสำนักของสำนักกระบี่ซีไห่สามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่
ต่อให้สำนักชิงซานจะแข็งแกร่งแค่ไหน หากคิดจะทำลายข่ายประจำสำนักแห่งนี้ พวกเขาก็ต้องสูญเสียค่าตอบแทนเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน ต้องเสียกำลังคนไปเป็นจำนวนมาก
หากข่ายพลังประจำสำนักของสำนักสำนักหนึ่งสามารถทำลายได้ง่ายๆ สำนักเสวียนอินจะอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร?
ท่าทีหของเทพกระบี่ซีไห่ชัดเจนเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าสำนักชิงซานของเจ้าจะมีแผนการอะไร ข้าก็จะเอาเลือดและความตายออกไปเผชิญหน้า
หลิ่วฉือนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ คล้ายกำลังครุ่นคิดว่าคุ้มค่าหรือไม่
ฟ้าดินตกอยู่ในความเงียบ
เทพกระบี่ซีไห่พลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาเหลียวหน้ามองไปยังที่ที่หนึ่งที่อยู่ในทะเลทันที บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าที่ตกตะลึงและโกรธแค้น
ในเวลานี้เขาถึงได้รู้ว่า หลิ่วฉือไม่ได้กำลังครุ่นคิดถึงผลดีผลเสีย หากแต่กำลังรอคอย!
ภายในทะเลทางด้านนั้นมีเกาะอยู่แห่งหนึ่ง เกาะแห่งนั้นมีชื่อว่าเกาะเซ่าหมิง อยู่ห่างจากที่นี่สามร้อยกว่าลี้ ดูเหมือนเป็นเกาะธรรมดา แต่ที่นั่นกลับเป็นศูนย์กลางข่ายพลังปร ระจำสำนักของสำนักกระบี่ซีไห่!
เสียงเสียดสีที่ฟังดูหนักอึ้งดังขึ้น ก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่บนเกาะแห่งนั้นค่อยๆ เปลี่ยนตำแหน่ง
ทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของสภาพอากาศในฟ้าดิน
ชายหลังคาแตกในตอนที่ฝนตก ประตูเปิดในตอนที่โจรเข้ามา
ข่ายพลังประจำสำนักของสำนักกระบี่ซีไห่….เปิดออก!
ไอหมอกสลายหายไป หมู่เกาะเปิดเผยตัวตนออกมาภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา
บนเกาะเซ่าหมิงมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง
บนยอดเขามีหออยู่แห่งหนึ่ง
บนหอมีเก้าอี้ไม้ที่ดูธรรมดาอยู่ตัวหนึ่ง
อินซานนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้
ท่าทางเขาดูงดงาม เรียกได้ว่าค่อนข้างหล่อเหลา มีรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร เหมือนกับว่าชาที่อยู่ในถ้วยนั่นคือสิ่งที่หอมหวานที่สุดในโลก
เมื่อรับรู้ได้ว่าข่ายพลังประจำสำนักเปิดออก เขาเหมือนจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย มองไปทางด้านนอกเกาะ
บนท้องฟ้ามีเรือกระบี่ของสำนักชิงซานอยู่สิบเจ็ดลำ
เขาถือถ้วยชาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ในดวงตาเต็มไปด้วยอารมณ์สับสน สุดท้ายสายตาเขาก็มองไปยังนักพรตหลิ่วฉือ แววตาค่อยๆ เย็นยะเยือก คิ้วทั้งสองข้างค่อยๆ เลิกขึ้น กล่าวตะคอกเสียงท ทุ้มต่ำว่า “ศิษย์เนรคุณ! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไล่ตามมาถึงที่นี่ เจ้าไม่คิดจะปล่อยอาจารย์ไปจริงๆ อย่างนั้นรึ!”