มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 65 ศัตรูของคนทั้งโลก
ไม่มีใครรู้จักชายหนุ่มผู้นี้
แต่เขากล้าเรียกหลิ่วฉือว่าศิษย์เนรคุณ หลิ่วฉือเองก็ยอมรับอย่างเงียบๆ
เช่นนั้นคนผู้นั้นก็ย่อมต้องเป็นนักพรตไท่ผิง
มีเพียงไม่กี่คนที่ล่วงรู้ความลับของนักพรตไท่ผิงเมื่อในอดีต แต่เจ้าสำนักต่างๆ กลับรู้
เมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่บนหอผู้นั้น พวกเขานิ่งเงียบไม่พูดอะไร รู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างมาก อารมณ์สับสนวุ่นวาย ภายในใจคิดถึงเรื่องๆ หนึ่ง
คิดไม่ถึงว่า…. หายนะผู้นี้จะยังมีชีวิตอยู่จริงๆ
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่ไม่รู้เรื่องราวในอดีตยังคงงุนงงสับสน รวมไปถึงศิษย์สำนักชิงซานส่วนใหญ่ด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นปรมาจารย์ ที่ผ่านมาพวกเขามักจะเห็นแต่รูปเหมือนที่อยู่ในหอเล็กแห่งนั้น
มีบางคนรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล แต่กลับไม่รู้ว่าปัญหานั้นอยู่ที่ไหน
หลิ่วสือซุ่ยที่ปิดบังตัวตนไปนั่งจัดม้วนเอกสารอยู่ในปู้เหล่าหลินมาเป็นเวลาหลายปีมีความรู้สึกที่ไว้ต่อพวกกลอุบายต่างๆ ไม่นานเขาก็รู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน
สำนักชิงซานบุกโจมตีสำนักกระบี่ซีไห่ ราชสำนักกับเจวี่ยนเหลียนเหรินก็ส่งหลักฐานมา
ชิงซานต้องการเปิดข่ายพลังประจำสำนักของสำนักกระบี่ซีไห่ ข่ายพลังก็เปิดออก
ชิงซานต้องการหาตัวนักพรตไท่ผิง นักพรตไท่ผิงก็นั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ จากนั้นก็เผยตัวให้ทั้งโลกได้เห็น
ก็เหมือนอย่างที่พอเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงบอกว่าน่าเบื่อ ภายในชิงศาลก็มีฤดูทั้งสี่ปรากฏขึ้นมา
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติมากเกินไป เป็นธรรมชาติจนน่าเหลือเชื่อ
เหอเว่ยมองดูปู้ชิวเซียว
ปู้ชิวเซียวขมวดคิ้ว
พวกเขาต่างรู้สึกได้ว่ามีปัญหา
นักพรตไป๋มองดูเกาะเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปแห่งนั้น พลางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ด้านนอกสู้กันอึกทึกครึกโครมขนาดนั้น แต่กลับไม่ยอมหนีไป ทั้งยังมานั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้?”
ไป๋เจ่าเหลือบมองดูมารดา
นักพรตไป๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แสดงดีเกินไปแล้ว”
ไป๋เจ๋าค่อนข้างตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าหรือนักพรตไท่ผิงจะร่วมมือกับชิงซานแสดงละครขึ้นมา?
แต่ในอดีตนักพรตไท่ผิงถูกนักพรตหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงร่วมมือกันจับตัวไปขังไว้ในคุกกระบี่มิใช่หรือ?
วันนี้สำนักชิงซานบุกมาโจมตีสำนักกระบี่ซีไห่ก็เพื่อจะจับตัวเขากลับไปไม่ใช่หรือ?
นักพรตไป๋กล่าวว่า “เป้าหมายและเหตุผลสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา สิ่งที่ต้องรู้เอาไว้ก็คือชิงซานถนัดเรื่องการต่อสู้ภายนอกมากที่สุด ส่วนอันดับต่อมาก็คือการต่อสู้ภายใน”
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ภายนอกหรือว่าการต่อสู้ภายใน ก็ล้วนแต่เป็นการต่อสู้
ไป๋เจ่าคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง นางมองไปยังทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล คิดอยากจะหาตัวจิ๋งจิ่วแต่ก็หาได้พบไม่ ภายในใจรู้สึกเป็นกังวลอย่างแปลกประหลาด
“เรื่องที่พวกเราต้องทำก็คือช่วยสำนักชิงซานจดจำว่าเป้าหมายที่แท้จริงของตนเองคืออะไร ถ้าพวกเขาลืม อย่างนั้นพวกเราก็จะลงมือเอง”
นักพรตไป๋มองดูเกาะเล็กๆ ที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะแห่งนั้นพลางกล่าว
ในขณะที่พูด เรือเมฆก็เคลื่อนที่เข้าไปหาเกาะเซ่าหมิงด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด
ในขณะเดียวกัน เรือความรู้ดุจมหานทีของเรือนอี้เหมาและผู้บำเพ็ญพรตสำนักอื่นๆ ก็พุ่งตัวเข้าไปทางด้านนั้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นสำนักจงโจว หรือว่าเรือนอี้เหมา หรือว่าวัดกั่วเฉิง ก็ล้วนแต่ไม่มีทางปล่อยให้นักพรตไท่ผิงหนีไปได้
……
……
“อย่าให้เขานี้ไปได้”
สายตาของหลิ่วฉือดูค่อนข้างสับสน แต่น้ำเสียงกลับยังสงบเยือกเย็น
เรือกระบี่ลำใหญ่ลำหนึ่งบินไปถึงตรงหน้าเกาะเซ่าหมิง
ภายในท้องฟ้าพลันมีพายุหิมะตกลงมา น้ำทะเลจับตัวเป็นน้ำแข็งในพริบตา จากนั้นขยายตัวลงไปยังส่วนลึกใต้ท้องทะเล จนกระทั่งถึงก้นทะเล
กระบี่สามฉื่อแหวกน้ำทะเลบินกลับมา
ทันทีที่หยวนฉีจิงลงมือก็กำจัดทางหนีของนักพรตไท่ผิงทุกทาง เด็ดขาดเป็นอย่างยิ่ง
เทพกระบี่ซีไห่มองดูชายหนุ่มที่อยู่บนเกาะเซ่าหมิงผู้นั้น ทันใดนั้นพลันสะบัดมือ
แขนเสื้อโบกสะบัด กระแสน้ำปั่นป่วน
กระบี่หลอดลมสิบสองชั้นแอบซ่อนตัวอยู่ในเกล็ดหิมะที่ตกโปรยปรายลงมาทั่วท้องฟ้า
ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง มันก็ได้มาอยู่เหนือเกาะเซ่าหมิงที่อยู่ห่างออกไปสองร้อยกว่าลี้แล้ว
ดูคล้ายเป็นการโจมตีธรรมดา แต่มันกลับแฝงเอาไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยว อานุภาพยากจะจินตนาการได้!
เสียงฉึบดังขึ้นเบาๆ ภูเขาบนเกาะเซ่าหมิงแห่งนั้นถูกตัดขาดออกไปส่วนหนึ่ง คล้ายกับหมวกลี่เม่าที่คนผู้หนึ่งสวมใส่อยู่ถูกคนตัดขาดออกไปเป็นเส้นตรง
ไม่ว่าจะเป็นแท่นหินหรือว่าโต๊ะชาและถ้วยน้ำชาที่อยู่บนนั้นก็ล้วนแต่หายไปพร้อมกับหน้าผาแถบนั้น
ชายหนุ่มผู้นั้นล่ะ?
มีเพียงไม่กี่คนที่มองเห็นว่าในตอนที่กระบี่หลอดลมสิบสองชั้นฟันลงไปยังเกาะเซ่าหมิง บนหน้าผาตรงนั้นได้มีควันสีดำสายหนึ่งลอยขึ้นมา
ภายในควันสีดำสายนั้นมีพลังชั่วร้ายที่บริสุทธิ์และล้ำลึกเป็นอย่างมากแฝงเอาไว้อยู่
คนที่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวัดกั่วเฉิงต่างคาดเดาได้ว่าปรมาจารย์สำนักเสวียนอินน่าจะอยู่ข้างกายนักพรตไท่ผิง ดูแล้วน่าจะเป็นเขาที่รับกระบี่นี้เอาไว้
นักพรตหลิ่วฉือก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มาถึงด้านหน้าสุดของหัวเรือ ลมทะเลพัดผ่านเส้นผมสีขาว พลิ้วไหวลอยล่อง แลดูคล้ายเซียน
เขามองดูเทพกระบี่ซีไห่พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ในอดีตตอนที่อยู่ลานเมฆเจ้าก็สังหารซีหวังซุนที่เป็นศิษย์น้องของตนเอง วันนี้เจ้ายังคิดจะใช้ลูกไม้เดิมอีกครั้ง สังหารคนปิดปาก?”
เทพกระบี่ซีไห่คิดในใจว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว พูดเรื่องเหล่านี้ยังจะมีประโยชน์อะไร?
วันนี้มิใช่เป็นเขาที่สังหารไท่ผิงเพื่อจะล่อเอาผีที่อยู่ในชิงซานออกมา หากแต่เป็นไท่ผิงล่อชิงซานมาสังหารตนเอง
เขากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “พวกเจ้าศิษย์อาจารย์แสดงละครฉากนี้ คิดหรือว่าจะหลอกคนทั่วทั้งใต้หล้าได้? ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าพวกเจ้าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ?”
นักพรตหลิ่วฉือกล่าวว่า “หืม?”
เสียงหืมนี้มีความหมายค่อนข้างซับซ้อน แต่ความหมายส่วนใหญ่คือกำลังจะบอกว่าข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร
เรือบินของสำนักต่างๆ ได้ล้อมเกาะเซ่าหมิงเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นบนฟ้าหรือบนท้องทะเล ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยลำแสงกระบี่และ ลำแสงของอาวุธวิเศษ
น้ำทะเลจับตัวเป็นน้ำแข็ง ไม่สามารถหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้ นักพรตไท่ผิงถูกขังเอาไว้บนเกาะ ดูแล้วมีแต่ต้องตายสถานเดียว
สำนักชิงซานและสำนักกระบี่ซีไห่เปิดศึกใส่กัน แต่ละสำนักไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เหตุใดในเวลานี้พลันเคลื่อนไหวขึ้นมา?
ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
ความจริงแล้วกระทั่งศิษย์ชิงซานส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดสำนักถึงต้องหาตัวปรมาจารย์ เหตุใดถึงต้องเปิดศึกกับสำนักกระบี่ซีไห่ จนกระทั่งถึงตอนนี้พวกเขายังคงรู้สึกสับสน
เมื่อคิดถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินเฉาเทียนในช่วงนี้ คิดถึงปฏิกิริยาที่ดูตึงเครียดของสำนักต่างๆ และราชสำนัก ผู้คนเหล่านั้นยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจ
เหตุใดพอนักพรตไท่ผิงปรากฏตัวออกมา แผ่นดินถึงได้โกลาหลวุ่นวายกันขนาดนี้?
……
……
วังหลวงในเมืองเจาเกอ
กู้ชิงมองดูองค์ชายจิ่งเหยาที่เติบโตเป็นชายหนุ่มพลางกล่าวว่า “สงครามครั้งนี้ดูเหมือนซับซ้อน แต่ความจริงนั้นเรียบง่าย สำนักชิงซานของพวกเราต้องการกำจัดสำนักกระบี่ซีไห่มาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมมากพอ ในเมื่อวันนี้มีเหตุผลที่เหมาะสม ก็ย่อมไม่อาจปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปได้”
จิ่งเหยากล่าวว่า “นี่ก็คือเรื่องแม่ทัพจะออกรบต้องมีเหตุผลที่อาจารย์สอนเมื่อหลายวันก่อน?”
กู้ชิงกล่าวว่า “ถูกต้อง นักพรตไท่ผิงคือเหตุผลที่ดีที่สุด”
จิ่งเหยายิ่งไม่เข้าใจ กล่าวว่า “เพราะเหตุใดขอรับ?”
กู้ชิงกล่าวว่า “เพราะเขาเป็นศัตรูของแผ่นดินเฉาเทียน ซีไห่กล้ารับเขาเอาไว้ ย่อมต้องทำให้ใต้หล้าโกรธแค้น”
ศัตรูของคนทั้งโลก ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ ไม่เป็นเจ้าก็ข้าที่ต้องตาย ต่อให้เป็นชิงซานก็ต้องเคารพและปฏิบัติตามหลักเหตุผลนี้
จิ่งเหยาตกตะลึงจนพูดไม่ออก ดวงตาเบิ่งโตเสียยิ่งกว่าไข่นกจูเชวี่ยใบนั้น กล่าวถามเสียงสั่นเครือว่า “นักพรตเก็บตัวอยู่ที่ชิงซานมาโดยตลอดไม่ใช่หรือขอรับ?”
กู้ชิงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ตอนนี้ดูเหมือนการเก็บตัวที่ว่า น่าจะเป็นการถูกขังอยู่ในคุกกระบี่”
เขาเองก็เพิ่งจะล่วงรู้ความลับเหล่านี้ได้ไม่นาน แต่เขายังคงไม่รู้ว่าในตอนนั้นนักพรตไท่ผิงได้ทำเรื่องราวอะไรเอาไว้บ้าง
?
จิ่งเหยาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ในใจครุ่นคิดว่าสำนักชิงซานคือผู้นำแห่งฝ่ายธรรมะ นักพรตไท่ผิงเป็นเจ้าสำนักรุ่นก่อน ทำไมถึงได้กลายเป็นศัตรูของทั้งแผ่นดินเฉาเทียนไปได้
เขายิ่งไม่เข้าใจว่าถ้าหากการที่นักพรตไท่ผิงเก็บตัวก็คือการถูกขังอยู่ในคุกกระบี่ อย่างนั้นเจ้าสำนักและท่านกฎแห่งกระบี่มิเท่ากับว่า…ล้มล้างผู้เป็นอาจารย์หรอกหรือ?
“พระองค์เพียงแค่ต้องรู้เอาไว้ว่าไม่มีใครยอมให้นักพรตไท่ผิงมีชีวิตอยู่”
กู้ชิงมองดูดวงตาของจิ่งเหยาพลางกล่าวว่า “สงครามระหว่างสำนักชิงซานและสำนักกระบี่ซีไห่จะต้องไม่มีสำนักไหนสอดมือเข้ามายุ่งอย่างแน่นอน หรือพูดอีกอย่างก็คือไม่กล้าสอดมือเข้ามายุ่ง แต่ขอเพียงนักพรตไท่ผิงปรากฏตัว สำนักฝ่ายธรรมะทุกสำนักจะต้องลงมืออย่างแน่นอน พวกเขาจำเป็นต้องลงมือ”
ในสายตาของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ความเป็นความตายของนักพรตไท่ผิงนั้นสำคัญกว่าการแพ้ชนะของสงครามครั้งนี้มากนัก
และในความเป็นจริงมันก็เป็นเช่นนี้ เป้าหมายที่สามารถทำให้เกิดสงครามครั้งนี้ขึ้นมาได้ย่อมต้องมีความสำคัญกว่าตัวสงคราม
จิ่งเหยาค่อยๆ ได้สติขึ้นมา เขากล่าวอย่างกังวลว่า “อย่างนั้นมิเท่ากับว่าสำนักชิงซานของพวกเราจะถูกล้อมโจมตีหรือขอรับ?”
“สำนักชิงซานก็เหมือนกับสำนักอื่น ไม่มีทางยอมให้เขามีชีวิตอยู่”
กู้ชิงนิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นกล่าวว่า “แต่แน่นอนว่าย่อมต้องมีศิษย์สำนักชิงซานบางคนที่อาจจะมีความเห็นแตกต่างออกไป”
……
……
ฮ่องเต้ยืนอยู่ใต้ระเบียงทางเดินของตำหนักใหญ่ มองไปยังท้องฟ้าทางด้านตะวันตกพลางกล่าวว่า “ความจริงนักพรตไท่ผิงเป็นคนออกแบบระบบเหมยฮุ่ยขึ้นมา แต่ก็เป็นเขาที่คิดจะล้มล้างมันลงในภายหลัง”
พระสนมหูมองดูใบหน้าด้านข้างของเขา ในใจครุ่นคิดว่าฝ่าบาทช่างหล่อเหลาจริงๆ แต่ก็ค่อนข้างซื่อบื้อด้วยเช่นกัน เห็นๆ อยู่ว่าตนเองฟังคำพูดเหล่านี้ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังพูดเรื่องเหล่านี้ให้ตนเองฟัง
ระบบเหมยฮุ่ยมันคืออะไร? แต่ฟังดูแล้วคล้ายนักพรตไท่ผิงผู้นั้นจะยอดเยี่ยมอย่างมาก
“เขาเป็นคนที่แปลกประหลาดอย่างมาก ตัวเขาในวันนี้หากคิดอยากจะปฏิเสธตัวเขาในเมื่อวานย่อมต้องเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก แบบนั้นจำเป็นต้องมีการนองเลือด”
ฮ่องเต้กล่าวต่อว่า “ในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีนั้น แผ่นดินเฉาเทียนตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย แผ่นดินเจิ่งนองไปด้วยเลือดจนแผ่นดินเกือบจะตายลงไปจริงๆ”
ในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีนั้นไม่มีแคว้นเสวี่ยบุกลงใต้ ไม่มีเผ่าหมิงรุกราน แต่กลับมีหายนะและผู้คนล้มตายเกิดขึ้นไม่หยุด
ที่ยุ่งยากยิ่งกว่านั่นก็คือยังมีฮ่องเต้เซียวที่สร้างความวุ่นวายให้แก่ราชสำนัก ยกทหารมาทำการก่อกบฏ
จำนวนคนที่ตายไปในตอนนั้นมีมากกว่าตอนที่แคว้นเสวี่ยบุกลงใต้กับตอนที่เผ่าหมิงรุกรานโลกมนุษย์เสียอีก
จากการคำนวณอย่างคร่าวๆ ของนักประวัติศาสตร์และบันทึกของราชสำนัก จำนวนคนที่ตายอย่างไม่ปกติในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีนั้นมีอย่างน้อยมากกว่าสามร้อยล้านคน
พระสนมหูไม่มีความคิดอะไรต่อตัวเลขนี้ แต่ทันใดนั้นพลันรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา
“ในหนังสือประวัติศาสตร์ไม่มีบันทึกช่วงนี้ ในบันทึกของราชสำนักก็ถูกปิดเอาไว้”
ฮ่องเต้มองท้องฟ้าที่เริ่มกลายเป็นสีแดง คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นขึ้นมา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกเล็กน้อยว่า “โรคระบาด น้ำท่วม แผ่นดินไหว เพลิงสวรรค์….น่าจะเป็นสิ่งเหล่านี้”
พระสนมหูเข้าใจแล้วว่าฝ่าบาทมิใช่ต้องการจะบอกนางถึงเรื่องเหล่านี้ หากจะทรงต้องการใช้วิธีนี้หวนคิดถึงช่วงเวลาที่พระองค์ทรงไม่อยากจะคิดถึงเหล่านั้น
นางดึงมือเขาขึ้นมา เอาใบหน้าไซร้ไปบนมือของเขาเบาๆ พลางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “นักพรตผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่เพคะ?”
นั่นสิ นักพรตไท่ผิงคิดจะทำอะไรกันแน่?
ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดหรือว่าน้ำท่วม แผ่นดินไหวหรือว่าเพลิงสวรรค์ก็ล้วนแต่สังหารได้เพียงคนธรรมดา ยากจะทำอะไรผู้บำเพ็ญพรตได้
ฮ่องเต้กล่าวว่า “เขาอยากจะฆ่าคนธรรมดาทั้งหมด”
พระสนมหูตกตะลึง กล่าวถามว่า “อะไรนะเพคะ?”
ฮ่องเต้กล่าวว่า “เขาอยากจะสร้างโลกที่ไม่มีคนธรรมดา มีแต่เพียงผู้บำเพ็ญพรต”
พระสนมหูรู้สึกว่าความคิดนี้เหลวไหลเป็นอย่างยิ่ง นางกล่าวด้วยความรู้สึกตกใจปนหัวเราะว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ?”
ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “แต่เขาทำเช่นนี้มาโดยตลอด”
……
……
ไก่ผอมๆ สองตัวและเศษผักที่อยู่ในบ้านหลังเล็กในเมืองเจาเกอหลังนั้นได้หายไปแล้ว เจ้าของบ้านเปลี่ยนมาแล้วสองครั้ง
ซือเฟิงเฉินตายอยู่ในบ้านหลังนั้น
ก่อนตายเขาเคยกล่าวกับจิ๋งจิ่วถึงสาเหตุที่ตนเองจะต้องสังหารเจ้าล่าเยวี่ยให้ได้ เพราะว่าเจ้าล่าเยวี่ยไม่หวาดกลัวที่จะฆ่าคน กระทั่งอาจจะยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อฆ่าคน เพื่อจะได้ฝึกฝนวิถีของนาง และนี่ก็คือหายนะที่ร้ายแรงที่สุด…. เพราะเขากลัวว่าเจ้าล่าเยวี่ยจะกลายเป็นนักพรตไท่ผิงคนที่สอง
เขาเคยอ่านเอกสารลับของกรมชิงเทียนที่มีการบันทึกถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นเอาไว้ จึงได้รู้ว่านักพรตไท่ผิงทำเรื่องอะไรไปบ้าง
จิ๋งจิ่วย่อมต้องทราบถึงเรื่องนี้ดีกว่า ดังนั้นเขาจึงเข้าใจถึงความหวาดกลัวของซือเฟิงเฉิน แต่นี่มิได้หมายความว่าซือเฟิงเฉินจะสามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้หลังจากคิดสังหารเจ้าล่าเยวี่ย
เจ้าล่าเยวี่ยในตอนนั้นคล้ายคลึงกับนักพรตไท่ผิงตอนที่ยังเป็นหนุ่มจริงๆ
พวกเขาล้วนแต่เป็นอัจฉริยะในการบำเพ็ญพรต เต็มไปด้วยความรักและความกระตือรือร้นที่มีต่อโลกใบนี้ ชื่นชอบหม้อไฟ มีความรู้สึกที่ร้อนแรง ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่หวาดกลัวที่จะฆ่าคน
โชคดีที่เจ้าล่าเยวี่ยเปลี่ยนเป็นคล้ายเขาขึ้นเรื่อยๆ
สือซุ่ยล่ะ?
คนที่อยู่ในชิงซานเหล่านั้นล่ะ?
สายตาของจิ๋งจิ่วมองทะลุต้นหญ้าไปยังหนานว่าง
แผนการถล่มสำนักกระบี่ซีไห่ครั้งนี้เกิดขึ้นจากจดหมายของศิษย์พี่สองฉบับนั้น
ชิงซานต้องการจะกำจัดสำนักกระบี่ซีไห่จริงๆ
เขาเองก็อยากจะรู้ว่าผีตัวนั้นคือใครกันแน่
ในตอนที่ศิษย์พี่ถูกทั้งโลกล้อมโจมตี ผีตัวนั้นจะยังทนอยู่เฉยๆ ได้หรือเปล่า?
แต่แน่นอนว่าตอนนี้เขามีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญกว่านั้นต้องทำ นั่นก็คือจัดการกับตาแก่ที่อยู่ในโลงศพสีดำผู้นั้
โคมไฟสีแดงที่อยู่ในศาลเจ้าแกว่งไปมาท่ามกลางสายลม
เขาลุกขึ้นเดินเข้าไปทางด้านนั้น
……………………………………………..