มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 66 กระบี่ที่คล้ายเคยเจอกันมาก่อน (2)
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็พลันเห็นนกประหลาดตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในท้องฟ้า หางและปีกที่เรียวยาวดูแปลกประหลาดส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์ที่ ส่องลงมา
นกประหลาดตัวนั้นบินไปตรงหน้าปลาวาฬบินด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ก่อนด่าทอว่า “เจ้าอยากตายหรือ!”
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตของแต่ละสำนักต่างตกตะลึง จากนั้นถึงได้รู้ว่าที่แท้คนที่พูดก็คือมัน
เมื่อเทียบกับร่างกายที่ใหญ่โตมโหฬารของปลาวาฬบินแล้ว นกประหลาดตัวนั้นเป็นเหมือนจุดดำเล็กๆ แต่ลมพายุอันรุนแรงที่มาพร้อมกับตัวมันนั้นกลับน่ากลัวเป็นอย่างมาก
ภายในทะเลเกิดคลื่นยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วน เกลียวคลื่นกระแทกเข้าไปกับน้ำแข็งที่อยู่รอบๆ เกาะเซ่าหมิงจนเกิดเป็นรอยแตกจำนวนหลายรอย
ปีกและหางของนกประหลาดเรียวยาวเป็นอย่างมาก ดูคล้ายกระบี่ สาดประกายที่แหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วน
บนผิวร่างกายของปลาวาฬบินมีรอยแผลที่ลึกประมาณจ้างกว่าปรากฏขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วน เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาราวน้ำตก
นกประหลาดส่งเสียงหัวเราะได้ใจออกมา ก่อนจะบินกลับไปยังเรือกระบี่ของชิงซาน
ปลาวาฬบินส่งเสียงร้องทุ้มต่ำและเจ็บปวดตกลงไปบนทะเล ก่อนจะดำลงไปใต้ทะเล ไม่กล้าโผล่หน้าขึ้นมาอีก
ผู้บำเพ็ญพรตบางคนถามขึ้นมาอย่างตกตะลึงว่า “นกประหลาดตัวนี้มันคือตัวอะไร?”
เหอเว่ยมองดูใต้เท้าตัวเอง ก่อนจะเห็นนกหานเฮ่าซึ่งเป็นสัตว์เทพประจำสำนักของตัวเองกำลังตัวสั่นระริก อยากจะหมุนตัวรีบบินหนีไป จึงรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก ไม่อยากจะตอบคำถามนี้
ปู้ชิวเซียวกล่าวว่า “นี่คือผู้พิทักษ์ของชิงซาน อินเฟิ่ง”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ผู้บำเพ็ญพรตจากแต่ละสำนักต่างพากันตกตะลึงในความแข็งแกร่งของสำนักชิงซานอีกครั้ง
ผู้พิทักษ์ของชิงซานที่ดูเหมือนไก่ฟ้าที่มีหางยาวตัวนี้ใช้หางเป็นกระบี่ สภาวะเหมือนดั่งยอดคนที่อยู่ในวิถีกระบี่มานานหลายปี!
นักพรตหลิ่วฉือยังไม่ออกกระบี่ หยวนฉีจิงยังไม่ได้เผยตัว แล้วยังมีท่านอินเฟิ่งผู้นี้อีก... ต่อให้เทพกระบี่ซีไห่จะแข็งแกร่งแค่ไหน แล้วจะทำอะไรได้?
ลมแรงกระโชก เรือกระบี่ของสำนักชิงซานโคลงเคลงเล็กน้อย อินเฟิ่งบินลงไปบนดาดฟ้าเรือ เชิดหน้าอย่างหยิ่งทะนง เยื้องก้าวเข้าไปในห้องโดยสาร
ขนหางของมันถูกโลหิตของปลาวาฬบินย้อมจนเป็นสีแดง โลหิตหยดลงบนดาดฟ้าเรือเป็นทาง
เมื่อเห็นภาพนี้ เหล่าลูกศิษย์ของยอดเขาซั่งเต๋อทั้งรู้สึกภาคภูมิใจและหวาดกลัว โดยเฉพาะผู้อาวุโสอย่างฉือเยี่ยนและต้วนเหลียนเถียนที่เคยได้ฟังเรื่องราวบางเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในชิงซานมาในอดีต พวกเขารู้ว่าท่านอินเฟิ่งและท่านซือโก่วเคยสังหารยอดฝีมือของชิงซานไปเป็นจำนวนมาก.… จึงนิ่งเงียบ ไม่กล้าพูดอะไร
มีเพียงศิษย์น้องอวี้ซานที่กำหมัดขึ้นมา ในดวงตาเปล่งประกาย กล่าวตะโกนว่า “ท่านอินเฟิ่งหล่อจัง!”
อินเฟิ่งพยักหน้าแสดงความชื่นชม พลางเดินเข้าไปในห้องโดยสาร
หยวนฉีจิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องโดยสาร กำลังหลับตาทำสมาธิ
เขาพลันลืมตาขึ้นมา มองไปทางคราบเลือดที่ย้อมอยู่บนขนหางของอินเฟิ่ง
……
……
บนเรือเมฆของสำนักจงโจว
ไป๋เจ่าคิดถึงภาพก่อนหน้านี้ พลางกล่าวถามอย่างจริงจังว่า “ทั้งสองฝ่ายมีโอกาสที่จะทำข้อตกลงกันไหมคะ?”
นักพรตไป๋กล่าวว่า “ไม่มีทาง เพราะว่าสำนักชิงซานสูญเสียไปเยอะมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระบี่บิน ยา หินผลึก หรือว่าเรือกระบี่สิบเจ็ดลำก็ล้วนแต่เป็นค่าตอบแทนปริมาณมหาศาล ต่อให้ เป็นเขาอวิ๋นเมิ่ง หากคิดอยากจะเตรียมตัวสำหรับทำสงครามเช่นนี้ ก็ต้องสูญเสียสิ่งที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายสิบปี ดังนั้นเงื่อนไขที่ชิงซานเสนอออกมาจะต้องแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก เจี้ ยนซีไหล ไม่มีทางรับปากได้”
ในเวลานี้เอง เสียงที่อ่อนโยนของนักพรตหลิ่วฉือก็สะท้อนไปทั่วทั้งทะเลตะวันตก ดังเข้าไปในหูของผู้บำเพ็ญพรตทุกคน “เงื่อนไขของพวกข้าก็คือสลายสำนักกระบี่ซีไห่ ที่แห่งนี้ ให้สำนักบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะดูแลร่วมกัน ส่วนเจ้าต้องออกไปจากที่นี่ และใช้ผีกระบี่สาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่กลับมาเหยียบยังแผ่นดินเฉาเทียนอีก มิเช่นนั้นจะต้องถูกทัณฑ์สวรรค์ สังหารจนตาย”
เทพกระบี่ซีไห่ย่อมไม่สามารถรับเงื่อนไขนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไร
เขามองไปทางเกาะเซ่าหมิง มองดูเรือลำใหญ่ที่ลอยอยู่ในหมอกลำนั้น นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ซูจึเย่เคยกล่าวชักชวนให้สำนักจงโจวมาร่วมมือกับสำนักกระบี่ซีไห่เพื่อทำเรื่องบางเรื่อง แต่ในเวลานี้สำนักจงโจวยังคงนิ่งเฉย
เขารู้ว่านี่เป็นเพราะอะไร ถ้าหากสำนักกระบี่ซีไห่ไม่มีวิธีที่จะทำให้คนทั่วโลกมองเห็นความหวังที่จะเอาชนะสำนักชิงซาน นักพรตไป๋และนักพรตถานก็ไม่มีทางที่จะออกหน้าได้
เทพกระบี่ซีไห่ดึงสายตากลับมา มองไปทางหลิ่วฉือพลางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้ามาจากทะเล”
เสียงของเขาก็ดังสะท้อนไปทั่วทั้งทะเลตะวันตกเช่นเดียวกัน
ที่นี่ก็คือทะเล
แต่ทะเลที่เขาพูดถึงย่อมไม่ใช่ทะเลแห่งนี้
เทพกระบี่ซีไห่กล่าวต่อว่า “ข้าเติบโตอยู่ในหมอกแห่งนั้นมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มร่ำเรียนเพลงกระบี่ ข้าก็ไม่เชื่อคำพูดที่ว่ากระบี่มาจากชิงซาน”
ผู้บำเพ็ญพรตของสำนักเป็นอื่นๆ พากันส่งเสียงฮือฮา
สีหน้าของปู้ชิวเซียวแปรเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่ง
นี่เท่ากับว่าเทพกระบี่ซีให่กำลังยอมรับประวัติความเป็นมาของตนเอง
เขาคือลูกศิษย์ของปรมาจารย์แห่งเกาะหมอก
นี่คือเรื่องที่โลกแห่งการบำเพ็ญพรตพากันคาดเดามานานแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็ได้รับการยืนยัน
“วันนี้มากันมากมายเช่นนี้ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
สายตาอันเยือกเย็นของเทพกระบี่ซีไห่กวาดมองไปบนเรือที่อยู่บนท้องฟ้าเหล่านั้น
“ในที่สุดโลกนี้ก็จะได้รู้ว่าชิงซานของพวกเจ้ากับเกาะหมอกของข้า ใครกันแน่ถึงจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนวิถีกระบี่”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็ค่อยๆ กางมือขวาออก
กระบี่หลอดลมสิบสองชั้นบินกลับมายังมือของเขา
เขามองหลิ่วฉือพลางกล่าวว่า “เชิญ”
……
……
ศาลเจ้าในภูเขารกร้างได้พังทลาย
ชายชราที่รูปร่างผอมแห้งยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง มองดูหนานว่างอย่างเงียบๆ
แมวขาวฟุบหมอบอยู่บนหัวไหล่ของจิ๋งจิ่ว ขนที่ชูชันกลับมาราบเรียบ หางลู่ตกลง ไม่ได้ดูน่าเกรงขามเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก
สายตาของจิ๋งจิ่วมองข้ามศีรษะของหนานว่างไปยังร่างกายของชายชรา ก่อนจะมั่นใจในเรื่องบางเรื่อง
หนานชวีไม่ได้ฝึกให้ตัวเองกลายเป็นผีกระบี่ หากแต่เดินไปบนเส้นทางที่ตรงกันข้ามกับเขาพอดี
เขาฝึกย้อนให้ตนเองกลายเป็นกระบี่ แล้วค่อยเลี้ยงผี
ดวงจิตของผู้บำเพ็ญพรตจะถูกฟูมฟักพร้อมกับกระบี่บินอยู่ในโอสถกระบี่ จนกระทั่งก่อเกิดเป็นวิญญาณ นั่นก็คือผีกระบี่
ผีกระบี่อ่อนแอ มีแต่ตอนที่ผู้บำเพ็ญพรตบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์ไปแล้ว มันถึงจะสามารถลอยล่องอยู่ภายนอก ไม่ดับสลาย แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แทบจะใกล้เคียงกับร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แ แต่กำเนิด
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าหากผู้บำเพ็ญพรตปล่อยให้ผีกระบี่ออกห่างจากร่าง ตัวผู้บำเพ็ญพรตจะไม่สามารถควบคุมกระบี่ได้ แล้วก็อาจจะถูกสังหารได้ง่าย
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเผยไป๋ฟ่าที่ตายไป หรือว่าซีไหล ก็ล้วนแต่ไม่มีทางเลือกใช้วิธีนี้ในการต่อสู้
แต่หนานชวีกลับฝึกจนทำให้ตัวเองกลายเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องกังวลถึงปัญหานี้อีก
ผีกระบี่สามารถสังหารคนได้ กระบี่ก็สามารถสังหารคนได้เช่นกัน
ก่อนกระบี่จะถูกทำลาย ผีกระบี่ไม่สลาย
นี่ช่างเป็นความคิดที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ เป็นวิธีที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน
หนานชวีที่ไม่มีกระบี่พรหมจรรย์ครุ่นคิดอย่างยากลำบากอยู่บนเกาะหมอกมาเป็นเวลาหลายร้อยปี คิดไม่ถึงว่าเขาจะฝึกวิถีกระบี่ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงออกมาได้ ช่างร้ายกาจ จริงๆ
ในอดีตตอนที่อยู่บนยอดเขาเสินม่อ จิ๋งจิ่วเคยกล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยว่าการเดินไปบนเส้นทางเส้นใหม่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในการบำเพ็ญเพียร
นี่ต่างหากถึงจะเป็นการก่อตั้งสำนักใหม่อย่างแท้จริง
จิ๋งจิ่วรู้สึกนับถือ ในใจครุ่นคิดว่าปรมาจารย์เกาะหมอกนั้นถือเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบหนึ่งพันปีจริงๆ ด้วย
เหมือนอย่างเขากับศิษย์พี่
เขาครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้พลางขวางหนานว่างที่พยายามจะเข้าไปต่อสู้เอาไว้ จากนั้นเดินไปตรงหน้าหนานชวี ยื่นมือขวาออกมา
สำหรับหนานชวีแล้ว สภาวะของจิ๋งจิ่วในตอนนี้นั้นต่ำต้อยจนไม่มีค่าให้พูดถึง ดังนั้นจึงไม่ได้เหลือบมองเขาแม้แต่นิดเดียว
จนกระทั่งในเวลานี้
สายตาของหนานชวีมองไปยังใบหน้าของเขา ก่อนจะหยุดค้างอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาครูใหญ่
ศาลเจ้าบนภูเขารกร้าง เงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง
หนานชวีมองดูใบหน้าของเขาพลางกล่าวว่า “เป็นกระบี่ที่สมบูรณ์แบบ คล้ายเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน”
จิ๋งจิ่วมองดูเขาอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร ยังคงยื่นมือขวาออกไป