มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 67 การพบกันของกระบี่สองเล่ม
เรือกระบี่ค่อยๆ ถอยไปข้างหลัง หลิ่วฉือย่างเท้าออกมาในท้องฟ้า
เขายืนอยู่กลางอากาศ มองดูเทพกระบี่ซีไห่อย่างเงียบๆ
เขาไม่ได้กล่าวอะไร ทุกคนต่างรู้ว่าเขารับคำท้าของอีกฝ่าย
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตเห็นเขายังคงยืนสองมือไพล่หลัง จึงอดรู้สึกตกใจไม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่ากระบี่แบกสวรรค์อยู่ที่ไหน?
ถึงแม้ยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์จะใช้เวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือในการเรียกกระบี่ออกมา แต่มันก็ยังต้องใช้เวลา
ในการต่อสู้ระดับนี้ หรือว่าไม่ควรจะช่วงชิงเวลาทั้งหมดที่มี เรียกกระบี่ออกมาล่วงหน้าหรอกหรือ?
ลมทะเลพัดผ่านท้องฟ้าที่หลิ่วฉือและเทพกระบี่ซีไห่ยืนอยู่ เกลียวคลื่นเล็กๆ ซัดสาดเป็นทางยาวสิบกว่าลี้
ในเวลานี้แสงอาทิตย์ที่สดใสสวยงามก็เกิดการหักเหขึ้นเช่นกัน ทำให้ดูเหมือนร้องแรงขึ้นกว่าเดิม
ผู้บำเพ็ญพรตหลายๆคนพลันรู้สึกแสบตา ในดวงตามีน้ำตาไหลออกมา
เพียงแค่เผชิญหน้ากัน เจตน์กระบี่ที่แผ่กระจายออกมาจากร่างของยอดคนทั้งสองก็ยังรุนแรงถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่สามารถจ้องมองตรงๆ ได้เลย
สำหรับสำนักชิงซานแล้ว การต่อสู้ระหว่างยอดคนครั้งนี้นั้นไม่คุ้มค่า
แต่หลิ่วฉือเป็นเจ้าสำนักชิงซาน เจี้ยนซีไหลชักกระบี่ เขาก็ย่อมต้องออกไปเผชิญหน้า
พลังที่รุนแรงทั้งสองสายต่างตรึงอีกฝ่ายเอาไว้ ทั้งสองฝ่ายอาจจะชักกระบี่ออกมาได้ทุกเมื่อ อีกฝ่ายเองก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียนเช่นกัน ในเวลาเช่นนี้หลิ่วฉือไม่อาจแบ่งสมาธิไปคิดเรื่องอื่นได้ อย่างเช่นความจริงตัวเองไม่มีกระบี่ หรืออย่างเช่นหนานชวีอยู่ที่ไหน...
ต่อให้จู่ๆ หนานชวีจะปรากฏตัวออกมาอย่างที่จิ๋งจิ่วคาดการณ์เอาไว้ เขาก็ทำได้เพียงยังไม่ต้องไปสนใจ
ตอนนี้ชิงซานทั้งสำนักอยู่ที่นี่ ต่อให้หนานชวีปรากฏตัวออกมาแล้วจะทำอะไรได้?
ถ้าหากหนานชวีฉวยโอกาสหนีไปลอบโจมตีชิงซาน ที่นั่นก็มีเรื่องประหลาดใจรอเขาอยู่เช่นกัน
……
……
บนน้ำทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็ง เกาะเซ่าหมิงเป็นเหมือนอัญมณีสีดำที่ตกลงไปในน้ำค้างแข็ง ด้านบนสุดถูกเทพกระบี่ตัดจนราบเรียบ แวววาวเป็นอย่างมาก แสงอาทิตย์ที่สะท้อนออกมายิ่งดูงดงาม หากสังเกตดูดีๆ จะมองเห็นอุโมงค์ใต้ดินบางส่วนด้วย
เรือกระบี่ของยอดเขาซั่งเต๋อยังคงจับตาดูภาพเหตุการณ์นี้อยู่บนท้องฟ้า
ห่างออกไปไม่ไกลคือเรือเมฆของสำนักจงโจว เรือความรู้ดุจมหานทีของเรือนอี้เหมา ภายในก้อนเมฆมีเสียงสวดมนต์ของเหล่าสมณะแห่งตำหนักแสดงธรรมของวัดกั่วเฉิงดังลอยออกมา
ต่อให้นักพรตไท่ผิงจะร้ายกาจแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางหนีออกไปจากที่นี่ทั้งๆ ที่มีเหล่าสำนักฝ่ายธรรมะห้อมล้อมอยู่แบบนี้ได้
หยวนฉีจิงมองดูคราบเลือดที่อยู่บนขนหางของอินเฟิ่ง เขามิได้กังวลเรื่องที่มันขัดขืนคำสั่งของป้ายชีวิตเข้าไปช่วยเหลืออาจารย์บนเกาะเซ่าหมิง หากแต่เป็นเพราะเขารู้สึกได้ถึงปัญหาบางอย่าง
ในคราบเลือดนั้นมีฟองอากาศเล็กๆ อยู่ ในฟองอากาศคล้ายมีจุดดำเล็กๆ อยู่
ด้านหน้าศาลเจ้าที่อยู่บนเขารกร้างที่ห่างไกล ในตอนที่โคมไฟสีแดงดวงนั้นถูกเผาทำลาย ฟองอากาศสีแดงเล็กๆ นี้ก็แตกออกเช่นกัน
จุดสีดำที่อยู่ในฟองอากาศลอยออกมา ก่อนจะขยายตัวเมื่อเจอกับสายลม เปลี่ยนเป็นร่างเด็กน้อยคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เด็กคนนั้นสวมชุดผ่ากลางสีเข้ม ผมบนศีรษะมัดเป็นมวยเล็กๆ ใบหน้าขาวซีดเหมือนผี ร่างกายผอมแห้งเหมือนผี
“เจอผีเข้าจริงๆแล้ว”
ผมสีขาวของหยวนฉีจิงถูกลมโถมเข้าใส่ ดูค่อนข้างแก่ชรา
สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย แต่น้ำเสียงกลับฟังดูคล้ายทอดถอนใจ
ผีกระบี่ของหนานชวีปรากฏตัวขึ้นบนเรือกระบี่ของชิงซานโดยไม่ทันตั้งตัว
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
กระทั่งอินเฟิ่งก็ไม่ทันได้ตั้งตัว
เสียงฉึบเบาๆ ดังขึ้น ผีกุมารกระบี่ตนนั้นพุ่งทะลุร่างกายของหยวนฉีจิงออกไปด้านนอกห้องโดยสาร
จนกระทั่งในเวลานี้ กระบี่สามฉื่อที่อยู่บนผิวน้ำแข็งเพิ่งจะบินกลับเข้ามาในห้องโดยสาร
ที่แท้ผีกุมารกระบี่ของหนานชวีก็แอบซ่อนตัวอยู่ในร่างกายของปลาวาฬบินมาโดยตลอด
ปลาวาฬบินแสร้งทำเป็นจะพุ่งเข้าชนเกาะเซ่าหมิงเพื่อจะฆ่าตัวตายไปพร้อมกับนักพรตไท่ผิง จากนั้นถูกอินเฟิ่งขวางเอาไว้
ผีกุมารกระบี่ซ่อนตัวอยู่ในเลือดที่เปื้อนอยู่บนขนหางของอินเฟิ่ง หลบหลีกข่ายพลังกระบี่ของศิษย์ชิงซานเข้ามาในเรือกระบี่ เข้ามาใกล้หยวนฉีจิง
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือกระบี่สามฉื่อของหยวนฉีจิงลอยอยู่เหนือทะเล คอยรักษาผนึกน้ำแข็งที่ล้อมเกาะเซ่าหมิงเอาไว้
ทั้งหมดนี้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ความจริงมันกลับจำเป็นต้องเข้าใจถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างอินเฟิ่งกับนักพรตไท่ผิง และเข้าใจถึงความคิดที่แท้จริงของหยวนฉีจิงที่มีต่อนักพรตไท่ผิง
นี่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในการลอบโจมตีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
กระบี่สามฉื่อบินกลับมา ร่างกายของหยวนฉีจิงถูกน้ำแข็งหนาๆ ปกคลุมเอาไว้ มองไม่เห็นรอยบาดแผลใดๆ แต่จากลมหายใจที่อ่อนแรง ดูแล้วเขาน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
ผีกุมารกระบี่มายังด้านนอกห้องโดยสารของเรือ ร่างกายดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด
ศิษย์น้องอวี้ซานเป็นคนแรกที่พบเห็นถึงเจ้าสิ่งประหลาดนี้ จึงส่งเสียงอุทานตกใจเตือนทุกคน
ศิษย์ชิงซานแม้จะเจออันตรายแต่ก็มิได้ปั่นป่วน การตอบสนองมีความรวดเร็วเป็นอย่างมาก ลำแสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน กระหน่ำฟันลงไป
เพียงแค่พริบตา อุณหภูมิบนเรือกระบี่ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว บนดาดฟ้าเรือมีน้ำค้างแข็งจับตัวเป็นชั้นบางๆ
ผีกุมารกระบี่บินไปมาท่ามกลางน้ำค้างแข็ง แต่ความเร็วกลับเหมือนจะเร็วกว่าลำแสงกระบี่เหล่านั้นอยู่หน่อย
ต้วนเหลียนเถียนกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง ไม่มีลมหายใจ ตรงหน้าอกมีรูขนาดใหญ่รูหนึ่งปรากฏขึ้นมา โอสถกระบี่ถูกฟันจนแหลกละเอียด กระบี่บินเมื่อไร้นายก็ร่วงตกลงไปในทะเล
อินเฟิ่งพุ่งตัวออกไปด้านนอกห้องโดยสาร ส่งเสียงร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ขนสีดำเป็นเหมือนกระบี่ ฟาดฟันเข้าใส่ผีกุมารกระบี่
แต่การเคลื่อนไหวของผีกุมารกระบี่มีความแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก มันเป็นเหมือนเงาแสงอย่างไรอย่างนั้น ในขณะที่หลบการโจมตีของอินเฟิ่ง มันก็ทำการสังหารของตัวเองไปด้วย
ฉือเยี่ยนส่งเสียงอึกขึ้นมา แขนถูกตัดขาด ก่อนจะถอยออกไป
เงาผีลอยล่อง
ผีกุมารกระบี่อยู่เหนือไปจากขอบเขตความเข้าใจที่ทุกคนมีต่อวิถีกระบี่ จู่ๆ มันพลันถอยหลังไปหลายสิบจ้าง แฉลบผ่านปีกของอินเฟิ่ง มายังมุมมุมหนึ่งบนเรือกระบี่
“ปกป้องศิษย์น้องหญิง!”
เหล่าศิษย์ยอดเขาซั่งเต๋อกระหน่ำฟันกระบี่ลงไป
โลหิตสาดกระจาย ผู้คนล้มตายไม่หยุด
ลมหิมะที่อยู่บนท้องฟ้าพลันปั่นป่วนขึ้นมาอย่างรุนแรง
ร่างกายของผีกุมารกระบี่แข็งทื่อไปเล็กน้อย
ทันใดนั้นมันก็มุดเข้าไปด้านในเรือกระบี่
ทุกคนพากันตกตะลึง คาดเดาได้ว่าเจ้าตัวประหลาดนี้คิดจะทำอะไร แต่กลับหยุดยั้งมันไม่ทัน
เสียงแคร่กดังสนั่น โครงของเรือกระบี่ถูกทำลาย ร่วงตกจากบนท้องฟ้าลงมายังพื้นดิน ไม่สามารถแบกรับน้ำหนักที่มากขนาดนั้นได้อีก แตกกระจายเป็นเศษซากชิ้นเล็กชิ้นน้อย จำนวนนับไม่ถ้วน
เหล่าลูกศิษย์ของยอดเขาซั่งเต๋อพากันขี่กระบี่หนีออกมา ลูกศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและล้มตายต่างพากันร่วงตกลงมาพร้อมกับเศษซากเรือเหล่านั้น
อินเฟิ่งส่งเสียงคำรามดุร้าย กระพือปีกบินขึ้นไป ไล่ตามเงาผีที่ลอยล่องดวงนั้นไม่หยุด
ลำแสงกระบี่ปรากฏขึ้นมา บนเรือกระบี่ของชิงซานลำอื่นมีลูกศิษย์เข้ามาช่วยเหลือ แต่กลับถูกผีกุมารกระบี่สังหารไปทันทีสามคน
ลมหิมะโหมกระหน่ำอีกครั้ง ภายในท้องฟ้าพลันมีก้อนน้ำแข็งที่โปร่งใสปรากฏขึ้นมา
ผีกุมารกระบี่ถูกขังอยู่ในก้อนน้ำแข็ง
แต่ผ่านไปได้ไม่นาน ก้อนน้ำแข็งก็มีรอยปริแตกจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนจะแตกกระจายออก
หยวนฉีจิงยืนอยู่ในพายุหิมะ จ้องมองไปยังที่ที่หนึ่งในท้องฟ้า เส้นผมปลิวสยาย
สองมือเขากุมกระบี่สามฉื่อ ฟันไปทางด้านนั้น
พายุหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมทะเลตะวันตก
ร่างของผีกุมารกระบี่ประเดี๋ยวผลุบประเดี๋ยวโผล่อยู่ท่ามกลางพายุหิมะ
ไม่จำเป็นต้องมีคำสั่ง กระบี่จากเรือกระบี่ทั้งหมดของสำนักชิงซานล้วนแต่บินไปทางด้านนั้น
กระบี่บินจำนวนหลายร้อยเล่ม นำพาลำแสงกระบี่ที่เกรี้ยวกราดพุ่งทะลุพายุหิมะเข้าไปสังหารเงาร่างนั้น
ภายใต้การโจมตีเช่นนี้ ต่อให้เป็นจอมมารหรือว่ามารเผ่าหมิงที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็มีแต่ต้องตาย
แต่หลิ่วฉือรู้ว่านี่ยังไม่พอ เพราะอีกฝ่ายคือเซียนกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ในสภาพที่แปลกประหลาด อย่างมากด้วย
เขามองดูร่างที่อยู่ในพายุหิมะร่างนั้น คิ้วที่เรียวเล็กเลิกขึ้นเล็กน้อย คิดจะปล่อยกระบี่
ภายในทะเลตะวันตกพลันมีกระแสน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถมขึ้นมา
กระบี่หลอดลมสิบสองชั้นมาถึง
เสียงกัมปนาทดังสนั่น
กระแสน้ำแตกกระจาย ลมทะเลปัดเป่าพายุหิมะ
ผู้บำเพ็ญพรตของสำนักต่างๆ เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะเห็นในดินแดนแห่งความว่างเปล่าที่อยู่สูงขึ้นไปคล้ายมีร่างที่สูงใหญ่สองร่างกำลังปะทะกัน
สายฟ้ากระหน่ำฟาดลงมาไม่หยุด
……
……
ในศาลเจ้าบนภูเขารกร้าง
จิ๋งจิ่วมองหนานชวี สืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือขวายื่นไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้
มือของหนานชวีแก่ชรา เย็นยะเยือก เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ดูไม่คล้ายมือ หากแต่คล้ายสิ่งที่ไม่มีชีวิตมากกว่า
ลำแสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากในมือของพวกเขาที่กุมกันเอาไว้อยู่ สาดกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง
อาการบาดเจ็บภายในร่างกายของหนานว่างถูกเจตน์กระบี่กระตุ้นจนกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง นางใช้ศีรษะพิงแผ่นหลังของจิ๋งจิ่วเอาไว้ ใบหน้าค่อนข้างขาวซีด
แมวขาวนั่งยองๆ อยู่บนหัวไหล่ของจิ๋งจิ่ว จ้องมองดวงตาของหนานชวี คอยหาโอกาสที่จะลงมือ
เวลาอื่นกลัวได้ แต่วันนี้อาจจะเกี่ยวพันถึงการคงอยู่ของสำนักชิงซาน ตัวมันซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ของชิงซานจึงมิอาจถอยได้
ลำแสงกระบี่ยังคงสาดกระจายออกมาจากมือทั้งสองข้างที่กุมกันเอาไว้แน่นของจิ๋งจิ่วและหนานชวี ปลิวปรายคล้ายเกล็ดหิมะ จากนั้นค่อยๆ ร่วงลงมาจากบนท้องฟ้า ตกลงบนซากปรักหักพังของศาลเจ้า
ชิ้งๆๆๆๆๆ! เสียงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมา เศษซากของศาลเจ้าและก้อนอิฐถูกตัดจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยที่แหลกละเอียด ก่อนจะถูกลมพัดหอบขึ้นไป
ไม่นานลมเหล่านั้นก็ถูกตัดเป็นชิ้นๆ เช่นเดียวกัน กลายเป็นสายลมที่อ่อนโยนตกกระทบลงบนใบหน้าของจิ๋งจิ่ว สีหน้าเขายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หนานชวีมองดูเขาพลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เป็นกระบี่ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ด้วย แต่เสียดายที่สภาวะของเจ้าในตอนนี้ยังต่ำต้อยเกินไป”
เขายังคงหมายถึงหลักการกระบี่แข็งแกร่งตามคน
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นกระบี่ กระทั่งสภาวะก็ไม่มี”
เขาหมายถึงหลักการเลี้ยงผีกระบี่จากนั้นยึดกุมจิต
หนานชวีกล่าวอย่างแปลกใจเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ด้วย”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ในตอนนั้นต้นไม้แห่งเต๋าของเจ้าถูกฟัน จึงได้เดินไปบนเส้นทางที่เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นกระบี่ ร่างกายจึงแข็งแกร่งไม่อาจทำลายได้”
หนานชวีกล่าวว่า “ถูกต้อง ตอนนี้ยากจะมีอะไรทำร้ายข้าได้”
จิ๋งจิ่ว “แต่ข้าพิเศษ”
ถูกต้อง หนานว่างที่อยู่ในขั้นแหวกทะเลระดับสูงก็ยังไม่อาจทำร้ายหนานชวีได้ แต่เขาทำได้
ข้อมือของหนานชวีมีรอยแตกเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา จากนั้นตรงง่ามนิ้วมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ก็มีรอยแตกปรากฏขึ้นมาจนมองเห็นเนื้อที่อยู่ด้านใน
ที่น่าแปลกก็คือเนื้อเหล่านั้นเป็นสีเทา มองดูคล้ายศพแห้งๆ
“ไม่มีสภาวะ ถึงจะเป็นความจริง”
หนานชวีมองดูเขาพลางกล่าว “ปัญหาของเจ้านั้นอยู่ที่ว่าเจ้าพยายามที่จะฝึกกระบี่ให้มีสภาวะ ในตอนที่สภาวะของเจ้าต่ำต้อย กระบี่นี้ก็ไม่มีอะไรพิเศษ”
เมื่อพูดจบ สายคาดเอวของจิ๋งจิ่วก็หลุดร่วงลงมาชิ้นหนึ่ง
จากนั้นเส้นผมของเขาก็หลุดร่วงลงมาส่วนหนึ่ง
จากนั้นติ่งหูส่วนหนึ่งของเขาก็หลุดร่วงตกลงมา
แมวขาวมองดูหยดเลือดที่อยู่บนหูของเขา รู้สึกตกตะลึงจนไม่อาจกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือนี่?
หนานชวีมองดูเขา ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ถ้าไม่ปล่อยมือก็ตาย เจ้ากลัวหรือไม่?”
เสียงกระบี่ยังคงดังต่อเนื่องอยู่ในฟ้าดิน ฟังดูค่อนข้างบิดเบี้ยว คล้ายเสียงพึมพำ
ลำแสงกระบี่ยังคงโปรยปลิวไม่หยุด ตัดขาดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
จิ่งจิ่วเคยกล่าวกับหลิ่วสือซุ่ยตอนที่อยู่ในหมู่บ้านว่าสิ่งที่ตนเองถนัดที่สุดก็คือการตัด
ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้พบอีกคนหนึ่งที่ถนัดเรื่องการตัดเช่นเดียวกับตนแล้ว
เพียงแต่คนหนึ่งใช้คนเป็นกระบี่ อีกคนหนึ่งใช้กระบี่เป็นคน
ก็เหมือนอย่างที่หนานชวีว่ามา สภาวะของเขายังต่ำต้อย หากยังคงฝืนไม่ปล่อยมือ เขาจะต้องตายจริงๆ
จิ๋งจิ่วไม่อยากตาย แต่เขาก็ไม่มีทางปล่อยมือเช่นกัน
เขากล่าวกับหนานชวีว่า “ข่ายกระบี่ชิงซานกำลังมา เจ้ากลัวหรือเปล่า?”
……………………………………………..