มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 68 ข้าฆ่าทางนี้ เจ้าฆ่าทางนั้น (2)
หลังจากนั้น เสียงเสียงนั้นก็ตะโกนอย่างต่อเนื่องว่า “ซีไหล! ขุย หลิ่ว จาง อี้!”
มีลำแสงกระบี่อีกร้อยกว่าสายพุ่งออกมาจากเรือกระบี่ชิงซานลำหนึ่ง ก่อนจะบินไปยังตำแหน่งหนึ่งบนท้องฟ้า
“เทียนกวง! ไท่เวยเทียนซื่อ!”
“เหลี่ยงว่าง! เจี่ยวคั่งซานเหิง!”
“ปี้หู! อวี๋กุ่ยอู่ซิง!”
……
……
ปกติเสียงเสียงนั้นมักจะฟังดูเกียจคร้าน ไม่มีชีวิตชีวา แต่วันนี้กลับฟังดูเคร่งขรึมและตั้งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นความเร็ว ในการพูดยังเร็วอย่างมากด้วย
เมื่อเสียงเสียงนี้ดังขึ้น กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ไม่ได้พยายามไล่ตามผีกุมารกระบี่อีก หากแต่บินไปยังตำแหน่งบนท้องฟ้า ตามที่เสียงเสี ยงนั้นบอก กลายเป็นภาพที่ดูวุ่นวาย ในภาพนั้นมองไม่เห็นถึงกฎเกณฑ์และโครงสร้างใดๆ แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่เคร่งขรึมและความงามที่เป็นน นิจนิรันดร์ เป็นเหมือนกับหมู่ดาวที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น
สำนักชิงซานไม่ได้ฝึกแค่เพลงกระบี่ แต่ยังฝึกข่ายพลังด้วย
ข่ายพลังของพวกเขาก็คือเพลงกระบี่แบกสวรรค์
ไม่ว่าจะเป็นข่ายพลังกระบี่ชิงซานที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงที่สุดหรือว่าจะเป็นข่ายพลังกระบี่ที่ปรากฏขึ้นมาในวันนี้สองครั้งก็ล้วนแต่มีเ เพลงกระบี่แบกสวรรค์เป็นพื้นฐาน
หนานชวีรู้สึกได้ถึงเจตน์กระบี่ที่ฉวัดเฉวียนไปมาไม่ขาดสายอยู่ในฟ้าดิน ทำให้การเคลื่อนไหวในพริบตาของผีกระบี่ของตนเองทำได้ลำบากยิ่งขึ้น
เขามองไปทางเรือกระบี่ของชิงซานที่อยู่ด้านหน้าลำนั้น บนใบหน้าเล็กๆ ที่ซีดขาวมีสีหน้าที่คร่ำเคร่งปรากฏขึ้นมา เป็นใครกันที่สามารถวางข่าย พลังรับมือได้ชัดเจนและรวดเร็วขนาดนี้ในสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนขนาดนี้ได้?
คนที่วางข่ายพลังมิใช่หยวนฉีจิงที่ได้รับบาดเจ็บ แล้วก็มิใช่นักพรตกว่างหยวน หากจะเป็นศิษย์หนุ่มผู้หนึ่ง
ในสงครามที่สะเทือนฟ้าดินครั้งนี้ ต่อให้จัวหรูซุ่ยจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน เขาก็เป็นได้เพียงนักแสดงตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้สะดุดตาอะไร นั่งอยู่ บนดาดฟ้าเรือปล่อยกระบี่ออกไปสู้รบ จากนั้นก็ง่วงนอน
จนกระทั่งสถานการณ์จู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เขาถึงได้ลุกขึ้นมาสังเกตดูอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงเริ่มวางข่ายพลัง
เขาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของหลิ่วฉือ พอเข้าสำนักก็เริ่มเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ในช่วงเวลาหลายสิบปีร่ำเรียนแต่เพียงเพลงกระบี่แบกสวรรค์
สภาวะของเขาในตอนนี้อาจจะยังไม่สูงพอ แต่ในเรื่องของความเข้าใจในข่ายพลังของชิงซานและการรับรู้อันว่องไวมาแต่กำเนิด กลับไม่มีใครสามารถเที ยบเขาได้
อย่าว่าแต่พวกศิษย์ร่วมสำนักอย่างกั้วหนานซานเลย กระทั่งมั่วฉือและไป๋หรูจิ้งที่เป็นผู้อาวุโสของยอดเขาเทียนกวงก็ยังไม่อาจเทียบเขาได้ใ ในด้านนี้
กระทั่งจิ๋งจิ่วก็ยังยอมรับว่าเพลงกระบี่แบกสวรรค์ของจัวหรูซุ่ยนั้นดีกว่ากู้ชิง แล้วก็ดีกว่าเขา
กระบี่บินของสำนักชิงซานไม่ได้ไล่ตามผีกุมารกระบี่ตนนั้นอีก หากแต่กลับไปประจำตำแหน่งของตน
ไม่ว่าจะเป็นขั้นแหวกทะเลระดับสูงสุดหรือว่าศิษย์ใหม่ที่เพิ่งจะลงมาจากยอดเขากระบี่ ไม่ว่าจะเป็นกระบี่มิคำนึงสีแดงหรือว่ากระบี่เหล็กธรรมดา าก็ล้วนแต่กำลังแสดงประโยชน์อยู่ในตำแหน่งของตน
กระบี่บินจำนวนหลายร้อยเล่มเป็นเหมือนดวงดาวจำนวนหลายร้อยดวง แล้วก็เป็นเหมือนดอกไม้หลายร้อยดอกที่วางกระจัดกระจายเต็มท้องฟ้า
ผีกุมารกระบี่อยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว อยู่ท่ามกลางดงดอกไม้ ไม่อาจเคลื่อนไหวได้สะดวก
เขามองดูศิษย์หนุ่มของชิงซานที่หนังตาห้อยตกลงมาบนเรือกระบี่ผู้นั้น ร่างกายพลันหายไป เพียงพริบตาก็มาอยู่บนเรือกระบี่ลำนั้น
ข่ายพลังนี้ยังไม่สมบูรณ์ ยังมีโอกาสที่จะทำลายอยู่ เขาอยากจะฉวยโอกาสนี้สังหารคนที่วางข่ายพลัง
เสียงหวึ่งดังสนั่น
หยวนฉีจิงเดินออกมาจากด้านหลังของจัวหรูซุ่ย ในมือขวาถือกระจกน้ำแข็งเอาไว้บานหนึ่ง สกัดผีกุมารกระบี่เอาไว้
กระจกน้ำแข็งพลันแตกกระจาย หยวนฉีจิงกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
จัวหรูซุ่ยใบหน้าค่อนข้างซีดขาว
ข่ายพลังกระบี่หกดาวที่เขาวางเอาไว้จำเป็นต้องอาศัยกระบี่หลักของยอดเขาหกเล่มมาเป็นหลักประจำข่ายพลัง ตอนนี้มีกระบี่หลักของยอดเขาเพียงห้ าเล่ม ยังขาดอยู่อีกหนึ่งเล่ม
ข่ายพลังกระบี่ยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่สามารถหยุดยั้งการสังหารคนของผีกุมารกระบี่ที่น่ากลัวตนนั้นได้
ในเวลานี้เอง ลำแสงสีเงินสายหนึ่งพลันพุ่งทะลวงจากท้องฟ้าอีกด้านหนึ่งที่ไกลออกไปมายังที่นี่ มายังตำแหน่งตำแหน่งหนึ่งในข่ายพลังกระบี่
ข่ายพลังกระบี่พลันสมบูรณ์ขึ้นมาทันที สกัดผีกุมารกระบี่ตนนั้นเอาไว้ด้านนอก
แสงสีเงินสายนั้นคือกระบี่เล่มเล็กที่มีความยาวประมาณสามฉื่อ ตัวกระบี่เป็นมันวาว ดูสว่างเจิดจ้า
เมื่อเห็นกระบี่เล่มนี้ ผู้อาวุโสของสำนักชิงซานหลายคนต่างตกใจ โดยเฉพาะลูกศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างอย่างกั้วหนานซานนั้นยิ่งตกตะลึงจนพู ดไม่ออก
กระบี่หลักของยอดเขาเหลี่ยงว่าง!
กระบี่ไร้อัตตามิใช่ว่าติดตามปรมาจารย์อาจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียนไปแล้วหรือ? เหตุใดถึงยังอยู่ในโลกมนุษย์อีก?
……
……
บนเรือความรู้ดุจมหานทีของเรือนอี้เหมา ปู้ชิวเซียวมองดูหลิ่วสือซุ่ย มิได้กล่าวกระไร
หลิ่วสือซุ่ยเอามือไปซุกไว้ด้านหลัง มองไปบนท้องฟ้าพลางกล่าวว่า “ฟ้าร้องแล้ว ฝนจะตกใช่รึเปล่าขอรับ?”
……
……
ในท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปมีเสียงฟ้าคำรามจำนวนนับไม่ถ้วน
พายุหิมะที่อยู่ในฟ้าดินได้รับอิทธิพลของเสียงฟ้าคำราม ค่อยๆ หลอมละลายกลายเป็นหยาดฝนตกลงมา
หลิ่วฉือและเทพกระบี่ซีไห่ลอยกลับลงมายังท้องทะเล อาภรณ์เปียกชื้น แต่กลับมองไม่ออกว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่
กระบี่ของชิงซานจำนวนหลายร้อยเล่มประกอบกันกลายเป็นข่ายพลังกระบี่ ห้อมล้อมอยู่ด้านนอกเรือกระบี่ ดูคล้ายหยาดพิรุณที่หยุดค้างอยู่กลางอากา าศ เป็นภาพที่ดูแล้วมหัศจรรย์ยิ่งนัก
แต่คู่ต่อสู้ของพวกเขากลับมีแค่คนเดียว
ผีกุมารกระบี่ลอยอยู่ในท้องฟ้า ใบหน้าเรียบเฉย ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยเจตน์กระบี่ที่รุนแรง ให้ความรู้สึกที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังร่างกายของผีกุมารกระบี่ รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าตัวประหลาดนี้เป็นใครกันแน่ เพียงพริบตาก็ทำลายเรือกระบี่ของชิงซานไปถึงสองลำ สังหารศิษย์ชิงซานไปมากมายขนาดนี้ อีกทั้งยังทำให้หยวน ฉีจิงบาดเจ็บสาหัส
สำนักชิงซานที่แข็งแกร่งไร้คู่ต่อกร กลับทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าคนผู้นี้
เทพกระบี่ซีไห่ลอยมายังด้านหลังผีกุมารกระบี่ จากนั้นทำการคารวะ
เขาทำการคารวะแบบลูกศิษย์
เมื่อเห็นภาพนี้ ในที่สุดปู้ชิวเซียวและคนอื่นๆ ก็มั่นใจในการคาดเดาของตนเอง สีหน้ายิ่งดูแย่กว่าเดิม
ข่าวคราวค่อยๆ แพร่กระจายออกไป ผู้บำเพ็ญพรตจากแต่ละสำนักต่างรู้แล้วว่าผีกุมารกระบี่ผู้นี้ก็คือ…. ปรมาจารย์แห่งเกาะหมอกหนานชวี!
คลื่นทะเลซัดสาดแผ่วเบา ก็เหมือนกับอารมณ์ของทุกคนในเวลานี้ ในความสงบเงียบนั้นแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ในอดีตปรมาจารย์แห่งเกาะหมอกหนานชวีคือยอดคนแห่งยุค เคยทำลายเส้นทางที่จะบรรลุกลายเป็นเซียนของนักพรตเต้าหยวนผู้เป็นปรมาจารย์ของสำนักช ชิงซาน เป็นผู้ที่ไม่ได้ต่างอะไรกับเซียนกระบี่
และก็เป็นเพราะเรื่องนี้ เขาถึงได้กลายเป็นผู้หลบหนีกระบี่คนแรกของแผ่นดินเฉาเทียน ถูกข่ายพลังกระบี่ของชิงซานไล่ล่าจนต้องหนีไปหลบอยู่ ในเกาะหมอกเป็นเวลาเกือบพันปี
เขายังไม่ตายหรือนี่? ทำไมเขาถึงกล้าออกมาจากเกาะหมอก?
สิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงยิ่งกว่านั่นก็คือเหตุใดคนผู้นี้ถึงมีรูปร่างกลายเป็นเด็ก ทว่ากลับยิ่งน่ากลัว กระทั่งสำนักชิงซานก็ไม่อาจหยุดเขาเอา าไว้ได้?
หรือว่าเขาจะซ่อนตัวอยู่บนเกาะหมอกมาเป็นเวลาหลายปี จนในที่สุดก็บรรลุสภาวะเหนือขั้นทะลวงสวรรค์ ไม่หวาดกลัวข่ายพลังกระบี่ของชิงซานอีก?
หนานชวีมองดูหยวนฉีจิงที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยน้ำค้างแข็ง ลมหายใจปั่นป่วน พลางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้าอ่อนแอเกินไป มิน่าถึงกลายเป ป็นเจ้าสำนักไม่ได้”
จากนั้นเขามองไปทางหลิ่วฉือ “เจ้าช้าเกินไป ยังใช้ไม่ได้เช่นกัน”
คำพูดง่ายๆ เพียงสองประโยคก็วิจารณ์ยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักชิงซานเสียจนไม่มีค่าให้พูดถึงอีก ฟังดูช่างโอหังเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อมาคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ในตอนนั้นหากหนานชวีได้เป็นศิษย์ของนักพรตเต้าหยวน เขาก็น่าจะกลายเป็นปรมาจารย์ของหลิ่วฉือและหยวนฉีจิง
ในเวลานี้เอง เสียงของจัวหรูซุ่ยดังขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาไม่ได้วางข่ายพลัง น้ำเสียงไม่ได้ฟังดูคร่ำเคร่งและจริงจังเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก หากแต่กลับมาฟังดูเกียจคร้านเหมือนอย่างในเวลาปกติ
“กระทั่งข่ายพลังของข้าก็ยังทำลายไม่ได้ ตาแก่อย่างเจ้ายังมีหน้ามาพล่ามอะไรอีก?”
หนานชวีหรี่ตาเล็กน้อย มองดูจัวหรูซุ่ยด้วยสายตาที่เหมือนมองเห็นคนตาย
“ขอแนะนำหน่อย เขาเป็นศิษย์คนสุดท้ายของข้า”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “นอกจากนี้ เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าเจ้าใกล้จะตายแล้ว”
หนานชวีรับรู้ได้ถึงพลังของข่ายพลังกระบี่ชิงซาน จึงกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะหาข้าพบ แต่แล้วจะทำไมล่ะ?”
หลิ่วฉือเข้าใจความหมายของเขา กล่าวว่า “อย่างนั้นข้าก็จะฆ่าตัวเจ้าที่อยู่ตรงนี้ก่อน”
……………………………………………………………….