มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 69 หลิ่วฉือเชิญกระบี่ (2)
ในตอนที่หลิ่วฉือพยายามสังหารหนานชวีอยู่บนทะเล จิ๋งจิ่วก็กำลังพยายามสังหารหนานชวีอยู่ในศาลเจ้าบนภูเขารกร้างเช่นเดียวกัน
เขากุมมือของหนานชวี ออกแรงเล็กน้อย ลำแสงกระบี่จำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากตรงตำแหน่งที่มือของพวกเขาทั้งสองสัมผัส ตัดเศษซากปรักหักพังที่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนเล็กละเอียดยิ่งขึ้น
พื้นของภูเขารกร้างปริแตก เกิดเป็นรอยแตกลึกจำนวนนับไม่ถ้วน สามารถมองเห็นสายน้ำที่อยู่ใต้ดินได้ลางๆ
ท้องฟ้าเองก็ฉีกขาด กระบี่คมจักรวาลแทงไปบนศีรษะของหนานชวี
เสียงฟึบดังขึ้นเบาๆ หนานชวียื่นมือซ้ายไปกุมปลายกระบี่คมจักรวาลเอาไว้
กระบี่คมจักรวาลอ้างว้างและเยือกเย็นเหมือนที่สิ่งหลุดพ้นแล้วซึ่งการผูกมัดใดๆ แต่ในเวลานี้มันกลับกำลังสั่นสะเทือนขึ้นมาไม่หยุดเหมือนมีชีวิต คิดอยากจะตัดมือของหนานชวี
หนานชวีกล่าวชม “กระบี่ดี!”
ในตอนที่กล่าวชมออกมานี้ กรงเล็บอันแหลมคมของแมวขาวก็ตะปบไปที่ตาข้างขวาของเขาแล้ว
หนานชวีหลับตา ใช้เปลือกตารับการโจมตีนี้
เสียงแคร่กดังขึ้น ต้นหลิวต้นหนึ่งตรงหน้าผาที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้หักเป็นสองท่อน
ร่างกายที่แห้งเหี่ยวของชายชรามีพลังมหาศาลไหลทะลักออกมา เขายกร่างกายของจิ๋งจิ่วเหวี่ยงเข้าใส่หนานว่างที่พุ่งมาถึงตรงหน้า
เสียงตูมดังสนั่น หนานว่างกระเด็นลอยไปข้างหลัง กระแทกเข้าไปในป่าที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ เศษหินฟุ้งกระจาย ภายใต้ฝุ่นควันสามารถมองเห็นโพรงโพรงหนึ่งได้ลางๆ
หนานชวีไม่สามารถสลัดมือของจิ๋งจิ่วให้หลุดออกไปได้ ก็เลยใช้เขาเป็นอาวุธฟาดเข้าใส่หนานว่างจนทะลุเข้าไปภายในผาหิน!
แมวขาวส่งเสียงร้องที่น่ากลัวแปลกๆ ออกมา มันกระโดดลงมาจากหัวไหล่ของจิ๋งจิ่ว กอดศีรษะของหนานชวีเอาไว้ ก่อนจะข่วนลงไปอย่างไม่คิดชีวิต
หากถูกแมวบ้านธรรมดาข่วน อย่างมากก็มีเพียงแค่รอยข่วนสีแดงเส้นเล็กๆ เท่านั้น แต่มันคือท่านไป๋กุ่ยที่เป็นผู้พิทักษ์แห่งชิงซาน การตะปบแต่ละครั้งมิได้ต่างอะไรกับกระบี่ของยอด ดคนขั้นทะลวงสวรรค์!
ภายในภูเขารกร้างเต็มไปด้วยเจตน์กระบี่ที่เจิดจ้าและน่ากลัว หน้าผาพังถล่ม ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย
ด้านนอกฝุ่นควันที่คละคลุ้งมีเสียงที่โกรธเกรี้ยวของหนานว่างดังขึ้นมา “ไปตายซะ!”
นางพุ่งตัวเข้ามา สองมือของนางกุมกระบี่ิพิณวิจิตรฟันลงไปยังศีรษะของหนานชวี
หนานชวีใบหน้าเรียบเฉย จับจิ๋งจิ่วฟาดไปที่กระบี่พิณวิจิตร
เสียงกัมปนาทดังสนั่นอีกครั้ง หนานว่างกระเด็นลอยออกไปอีกครั้ง กระแทกเข้ากับภูเขาหินจนพังถล่มลงมาครึ่งหนึ่ง ยากที่จะลุกขึ้นมาได้อีก
ท่ามกลางฝุ่นควัน แมวขาวยังคงโจมตีอย่างคลุ้มคลั่งเหมือนลำแสงสีขาวที่ดุร้าย เสียงร้องที่เกรี้ยวกราดดังขึ้นไม่ขาดสาย เหมือนกำลังติดสัดอย่างไรอย่างนั้น
หนานชวีแค่นหัวเราะ จับจิ๋งจิ่วกระหน่ำฟาดเข้าไปที่มันเหมือนดั่งห่าฝน เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็ฟาดไปแล้วหลายร้อยที
เสียงร้องโหยหวนของแมวดังขึ้นมา แมวขาวถูกจิ๋งจิ่วฟาดเข้าใส่จนกระเด็นเข้าไปในพุ่มหญ้า
……
……
“คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายตาแก่อย่างเจ้าจะได้สัมผัสกับธรรมวิถี หรือว่าสุดท้ายแล้ววิถีกระบี่จะเดินไปบนเส้นทางที่คนกระบี่รวมเป็นหนึ่งเหมือนกันหมด?”
เสียงของหลิ่วฉือดังขึ้นในท้องฟ้าอีกครั้ง
ในน้ำเสียงของเขาไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีความเย็นยะเยือกที่เกิดขึ้นก่อนจะทำการต่อสู้ มีแต่เพียงความสงบและความมั่นใจ
เขามองดูหนานชวีพลางกล่าวอย่างเห็นใจ “เสียดายที่เจ้าไม่ใช่คนแรกที่เดินไปบนถนนเส้นนี้”
การบุกเบิกวิถีกระบี่เส้นใหม่เป็นเหมือนกับการค้นพบหลักสัจธรรมของฟ้าดิน คนแรกที่ทำได้ย่อมต้องเป็นคนที่สำคัญที่สุด
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตของแต่ละสำนักต่างตกใจ แต่กลับไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ พวกเขาคิดว่านักพรตหลิ่วฉือเพียงแค่ต้องการจะทำให้ปรมาจารย์แห่งเกาะหมอกเสียสมาธิ
พวกเขามองวิถีผีกระบี่ของหนานชวีไม่เข้าใจ แต่ก็รู้ว่าวิถีกระบี่ที่น่ากลัวเช่นนี้นั้นมิใช่วิชาลับที่สืบทอดต่อๆ กันมาของสำนักไหนอย่างแน่นอน มีเพียงอัจฉริยะแห่งวิถีกระบี่ท ที่มีประสบการณ์เคยถูกทำลายต้นไม้แห่งเต๋า ถูกชิงกระบี่พรหมจรรย์ ทุกขังอยู่ในเกาะหมอกเหมือนอย่างหนานชวีเท่านั้นถึงจะสามารถสร้างวิถีกระบี่เส้นทางใหม่ได้
ด้วยเงื่อนไขแบบนี้ อย่าว่าแต่สำนักชิงซานเลย ต่อให้เป็นทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนก็ยากที่จะมีใครทำเช่นนี้ได้เป็นคนที่สอง
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิ่วฉือ หนานชวีค่อนข้างตกใจ จากนั้นก็สงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า “ไม่มีทาง วิถีกระบี่ที่อัจฉริยะเช่นนี้ มีเพียงข้าเท่านั้นที่ทำได้”
ในอดีตต้นไม้แห่งเต๋าของเขาถูกนักพรตเต้าหยวนใช้ข่ายพลังกระบี่ชิงซานทำลาย กระบี่พรหมจรรย์เองก็ถูกชิงเอาไป สภาวะหยุดนิ่งไม่คืบหน้า ถูกบีบให้ต้องเสี่ยงเดินไปบนเส้นทางที่จะเ เปลี่ยนร่างกายของตัวเองให้กลายเป็นกระบี่ จากนั้นค่อยใช้โอสถกระบี่ฝังเข้ามาในร่างกาย แล้วเอาดวงจิตฝากไว้ที่ผีกระบี่ทั้งหมด สลับลำดับก่อนหลัง ถึงได้กลายเป็นวิถีกระบี่ที่พิสด ดารเหมือนอย่างในตอนนี้
“วิถีกระบี่ของเจ้านั้นถือว่าแปลกใหม่จริงๆ เจ้าใช้วิชาเทพภูเขากุมวิญญาณของชาวเผ่าทางใต้มาฝึกผีกระบี่ก่อน แล้วค่อยใช้เพลิงใต้ดินของเกาะหมอกมาหลอมร่างกายให้กลายเป็นกระบี่ สอ องสิ่งส่งเสริมซึ่งกันและกัน เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมจริงๆ…”
หนานชวีฟังคำพูดของหลิ่วฉือ สีหน้ายิ่งดูแย่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นเข้าใจในวิถีกระบี่ของตนเอง
“…. เพียงแต่วิธีนี้ชิงซานมีตั้งนานแล้ว”
ทะเลตะวันตกเงียบสงัด มีเพียงเสียงคลื่นและเสียงของหลิ่วฉือ
“แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะบอกให้รู้เสียหน่อย”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ความจริงแล้วข้ามีกระบี่”
ปลอกกระบี่แบกสวรรค์ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
หนานชวีหรี่ตาเล็กน้อย กล่าวว่า “นี่คือปลอกกระบี่”
ไม่ว่าใครต่างก็มองออก
“มีกระบี่ถึงจำเป็นต้องมีปลอกกระบี่ นี่เป็นหลักการง่ายๆ”
หลิ่วฉือกล่าว “เชิญ”
เขามองดูหนานชวี
แต่คำว่าเชิญนี้เขากลับพูดให้คนอื่นฟัง
มือซ้ายของเขา กรุงปลอกกระบี่แบกสวรรค์ มือขวาคว้าจับไปในที่ที่หนึ่งในอากาศ ค่อยๆ ดึงออกมาอย่างช้าช้า
ไม่มีกระบี่ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า
แต่ทั่วทั้งฟ้าดินกลับได้ยินเสียงกระบี่
……
……
ภูเขารกร้างพังพินาศ ศาลเจ้าร้างหายไป ต้นหญ้ากลายเป็นน้ำค้างแข็ง ฝุ่นควันค่อยๆ สงบลง
บนใบหน้าและบริเวณลำคอของหนานชวีมีรอยสีขาวที่เล็กละเอียดจำนวนมาก ดูน่าหวาดกลัว แต่อาการบาดเจ็บกลับไม่ได้รุนแรง
ในกอหญ้า แมวขาวเลียกรงเล็บของตนเอง อุ้งเท้ากลายเป็นสีแดง ไม่รู้ว่าเล็บหักไปกี่เล็บ
คนที่มีสภาพย่ำแย่ที่สุดก็คือจิ๋งจิ่ว ใบหน้าเขาขาวซีด ทุกรูขุมขนล้วนแต่มีเลือดไหลออกมา มองดูคล้ายมนุษย์เลือด ปราณกระบี่เองก็เผาผลาญไปเป็นจำนวนมาก
เขี้ยวของแมวขาวเองก็หักไปส่วนหนึ่ง เลือดไหลออกมาจากมุมปากไม่หยุด มันไม่ได้พุ่งเข้าไปกัดหนานชวีอีก หากแต่จ้องมองดูจิ๋งจิ่ว สายตาดูสับสนเป็นอย่างมาก
มันไม่ได้พูดอะไร แต่ไม่ว่าใครต่างก็มองออกถึงการข้อร้องวิงวอนที่อยู่ในสายตาของมัน คล้ายกำลังขอร้องให้จิ๋งจิ่วตอบรับอะไรบางอย่าง
ในช่วงเวลาที่กำลังตึงเครียดเช่นนี้ ไม่รู้ว่ามันอยากจะให้จิ๋งจิ่วตอบรับอะไรกันแน่ หรือว่าการตอบรับนั้นจะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปได้?
แต่สิ่งที่ยิ่งคาดคิดไม่ถึงก็คือจิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจมัน หากแต่ถามคำถามหนานชวีอย่างตั้งใจสองสามคำถาม
“โคมไฟสีแดงถูกทำลายไปแล้ว ผีกระบี่ไม่สามารถกลับมายังร่างนี้ได้ อย่างนั้นตัวเจ้าคนไหนกันแน่ถึงจะเป็นตัวเจ้าที่แท้จริง?”
“หากฆ่าตัวเจ้าที่อยู่ตรงนี้ ตัวเจ้าที่อยู่ตรงนั้นยังจะเป็นเจ้าอยู่หรือเปล่า?”
“อย่างนั้นตัวเจ้าใช่ตัวเจ้าหรือเปล่า?”
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย จู่ๆ ก็เริ่มพูดคุยถึงปัญหาเหล่านี้ขึ้นมา ไม่ว่าดูยังไงก็แปลกประหลาด
แต่หนานชวีกลับให้คำตอบออกมาจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังเห็นได้ชัดว่าผ่านการครุ่นคิดมาอย่างจริงจัง “ตัวข้าที่มีชีวิตอยู่ต่อไปทางนั้น ก็คือตัวข้า”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “มีเหตุผล”
เสียงกระบี่ดังลอยมาแต่ไกล
นั่นคือการเชิญ
เชิญกลับ
หากเป็นเมื่อก่อนนี้ ต่อให้มีคนตายตรงหน้าเขามากมายเท่าไหร่ เขาก็ไม่มีทางรับคำเชิญ
แต่วันนี้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปแล้ว เพราะเขาอยากจะเปรียบกับหนานชวีเสียหน่อยว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนวิถีกระบี่
ชิงซานหรือว่าเกาะหมอก
ข้าหรือว่าเจ้า
ดังนั้นเขาจึงรับคำเชิญของหลิ่วฉือ
จากนั้นลอยขึ้นมา