มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 70 ข้าคือลำแสงกระบี่สายนั้น
เมฆหมอกสลายตัว ดวงอาทิตย์สาดแสงลงมายังชิงซาน ยอดเขาแต่ละยอดปรากฏตัวให้เห็นอย่างชัดเจน
ยอดเขาซั่งเต๋ออบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
ซือโก่วมิได้หรี่ตาอีก มันเงยหน้าขึ้นมองดูแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา สายตาเองก็ดูอบอุ่นเป็นอย่างมาก
ในส่วนลึกของคุกกระบี่
เสียงตะโกนของนักพรตไท่หลูกลายเป็นเสียงพึมพำพูดกับตัวเองเบาๆ “หนึ่งหรือ? หรือว่านี่คือหนึ่ง?”
ภายในห้องขังที่โดดเดี่ยวห้องนั้น เสวี่ยจีนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังในฟ้าดิน นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะส่งเสียงอิ๋งออกมาเบาๆ
แสงสว่างบนยอดเขาเทียนกวงยังคงสว่างที่สุด แต่รูที่อยู่บนป้ายหินกลับยิ่งดูลึกและเยือกเย็น
หยวนกุยที่อยู่ด้านล่างป้ายหินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สายตาเยือกเย็นเหมือนกับรูรูนั้น
ฟางจิ่งเทียนมองดูรูที่อยู่บนป้ายหินรูนั้น กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “อาจารย์ ท่านคิดถูกจริงๆด้วย”
……
……
ตรงพื้นที่ที่เคยเป็นศาลเจ้าร้าง
เท้าของจิ๋งจิ่วออกห่างจากพื้น ตัวเขาลอยขึ้นมา
ในอดีตตอนที่อยู่ในคุกสะกดมาร หลังจากที่เขาฝึกวิชากระบี่เซียนแห่งยมโลกสำเร็จโดยมีจักรพรรดิแห่งหมิงคอยช่วยเหลือ ร่างกายของเขาก็ดูเบาขึ้นกว่าผู้บำเพ็ญพรตปกติทั่วไป แล้วก็ สะอาดกว่าด้วย
นั่นเป็นเพราะว่าพลังที่ขุ่นมัวภายในร่างกายเขาได้ถูกเพลิงวิญญาณเผาผลาญไป ทำให้เขาดูคล้ายเซียน
ตัวเขาในเวลานี้ลอยขึ้นมา แต่มันกลับไม่เหมือนในเวลาปกติ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ใช่คน เป็นเหมือนธงที่อยู่ท่ามกลางสายลม เป็นเหมือนเรือใบที่อยู่บนท้องทะเล
เนื่องจากมือของเขายังคงกุมมือของหนานชวีเอาไว้อยู่ ร่างกายของเขาที่ลอยขึ้นมาจึงพาดขวางอยู่กลางอากาศ มือขวาชี้ไปยังร่างกายของหนานชวี
ตอนที่อยู่ในวัดกั่วเฉิง มือขวาของเขาถูกสมณะตู้ไห่ทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นเขาก็ตระเวนไปตามที่ต่างๆ บนแผ่นดินเฉาเทียนเพื่อตามหาหินลับกระบี่ ใช้เวลาหนึ่งปีถึงจะ ะรักษาหาย
มือขวาของเขาในตอนนี้กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งมีความคมมากกว่าแต่ก่อน
นอกจากนี้เขาเองก็คุ้นเคยกับท่าทางนี้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อยู่ใต้ดินของเขาเหลิ่งซานหรือว่าตอนที่ขุดโพรงอยู่ที่อื่น เขาก็ล้วนแต่บินด้วยท่าทางแบบนี้
ที่เขาทำแบบนั้นก็เพื่อลับกระบี่ แล้วก็เป็นการทำความคุ้นเคยกับมันล่วงหน้า
บางทีในเวลานั้นเขาอาจจะรู้อยู่แล้วว่าจะมีวันนี้
หนานชวีมองดูจิ๋งจิ่วที่ลอยขึ้นมา ในดวงตามีแววตาหวาดระแวงขึ้นมาอย่างรุนแรง
แต่ในขณะที่กระทั่งความคิดที่ยังไม่ทันจะผุดขึ้นมาในหัวสมองของเขา จิ๋งจิ่วก็บินออกไปแล้ว
เสียงหวึ่งดังขึ้น จิ๋งจิ่วหายตัวไปจากที่เดิม ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
หนานชวีก้มหน้ามองดูร่างกายของตัวเอง พบว่าบนร่างกายมีรูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมารูหนึ่ง
ในรูนั้นว่างเปล่า เป็นเหมือนกับหน้าต่างทรงกลมที่อยู่ในห้องฌานของตำหนักแม่ชีสามพันที่สามารถเห็นฤดูกาลทั้งสี่และสรรพสิ่งต่างๆ
หนานชวีคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง
แมวขาวนั่งอยู่ในกอหญ้าจ้องมองดูเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเห็นใจและหดหู่
หนานว่างพุ่งตัวออกมาจากในโพรงของผาหิน ขณะที่เตรียมจะสู้ต่อ นางพลันพบเห็นอีกฝ่ายได้ตกอยู่ในสภาพเหมือนผีอย่างในตอนนี้ จึงอดรู้สึกงุนงงขึ้นมาไม่ได้ กระทั่งคำหยาบคายก็ลื มสบถออกมา
……
……
จิ๋งจิ่วกำลังบิน
เขาไม่เคยบินได้เร็วขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ขี่กระบี่หรือว่าตอนที่ใช้กระบี่เซียนแห่งยมโลก ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่แล้วหรือว่าชีวิตนี้
ภาพทั้งหมดที่อยู่บนพื้นเปลี่ยนเป็นเส้นสีสันต่างๆ ที่เคลื่อนที่ผ่านไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เขาคล้ายรู้สึกได้ว่ากระทั่งกระบี่มิคำนึงก็ยังไม่เร็วเท่าตัวเขาในตอนนี้
นี่มิใช่การคำนวณและการวิเคราะห์ที่ถูกต้องแม่นยำเท่าไรนัก เพราะตัวเขาในเวลานี้ได้เข้าสู่สภาวะที่เหมือนไม่ใช่ตัวเองไปแล้ว ใจแห่งเต๋าว่างเปล่าแต่ก็มีความสับสนวุ่นวาย
ที่น่าแปลกก็คือตัวเขาที่อยู่ในสภาวะแบบนี้กลับมองเห็นสภาพที่แท้จริงของสิ่งที่อยู่ในเส้นสีเหล่านั้นได้
เส้นสีเขียวเหล่านั้นน่าจะเป็นป่าเขาสีเขียว เส้นสีแดงน่าจะเป็นกำแพงของสำนักฌานเป่าทง แล้วก็มีหม้อไฟของเมืองอี้โจว
บางครั้งก็จะมีรอยสีขาวเป็นดวงๆ ปรากฏขึ้นมา นั่นอาจจะเป็นหม้อยวนยางที่แทบจะไม่ค่อยได้เห็นในเมืองอี้โจว
จากนั้นเขาก็มองเห็นสีน้ำเงินแถบหนึ่ง
ทุกที่ล้วนแต่เป็นสีน้ำเงิน
ทะเลและท้องฟ้าเป็นสีเดียวกัน
……
……
ทะเลตะวันตกและท้องฟ้าเป็นสีเดียวกัน
หลิ่วฉือยืนอยู่ระหว่างท้องฟ้ากับทะเล มือซ้ายกุมปลอกกระบี่แบกสวรรค์ มือขวาชักกระบี่ที่มองไม่เห็นเล่มนั้น
หลังจากเสียงกระบี่นั้นดังขึ้น มันก็ดังขึ้นไม่หยุด ส่งเสียงเสียดสีที่ดังต่อเนื่องคล้ายไม่มีวันหยุด
แล้วก็ไม่รู้ว่านี่เป็นเสียงกระบี่กลับเข้าปลอกหรือว่าออกจากปลอก
เจตน์กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในฟ้าดินมารวมกันอยู่ที่เขา ศูนย์กลางอยู่ที่มือขวาของเขา
ร่างกายเขาที่อยู่ในลำแสงดูสูงใหญ่เป็นอย่างมาก ดูคล้ายพระเจ้า แล้วก็คล้ายคนยักษ์ที่จะฟันพระเจ้าด้วยกระบี่ของเขา
ร่างกายของหนานชวีพลันดูจางลง
เทพกระบี่ซีไห่พลันเงยหน้าขึ้นมา ยื่นมือชี้ไปทางด้านหน้า
กระบี่หลอดลมสิบสองชั้นถูกเรียกกลับมา ก่อนจะส่งเสียงเพล้งๆๆ แยกตัวออกเป็นสิบสองท่อน
ตัวกระบี่ที่แยกออกห้อมล้อมอยู่เบื้องหน้าเขาเหมือนกับเจดีย์ที่ถูกฟันขาด กลายเป็นแนวป้องกันที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
หลิ่วฉือสะบั้นกระบี่!
ภายในท้องฟ้าไม่มีลม เหมือนกับก้อนน้ำแข็งที่จับตัวแข็ง น้ำทะเลเองก็สงบเงียบ เหมือนกระจกโบราณที่ดำมืด
แต่ความเงียบสงัดเช่นนี้กลับให้ความรู้สึกฉีกขาดที่รุนแรง ท้องฟ้าและท้องทะเลคล้ายค่อยๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากกัน
เมื่อกระบี่นี้ฟันลงมา ฟ้าดินราวกับจะถูกผ่าให้ขาดออกจากกัน
ทุกคนต่างรับรู้ได้ แต่ไม่ทันจะได้แสดงการตอบสนองใดๆ ออกมา หรือพูดอีกอย่างก็คือไม่กล้าทำการตอบสนองใดๆ ออกมา
กระบี่บินของชิงซานจำนวนหลายร้อยเล่มก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงถึงการยอมศิโรราบ มีเพียงกระบี่ไร้อัตตาที่ไม่ได้ทำ คล้ายต้องการจะแสดงออกถึงอะไรบางอย่าง
นักพรตไป๋เหลียวหน้ามองไปทางใต้ทันที สีหน้าดูแปลกไป
ปู้ชิวเซียวรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวที่ส่งมาจากจานฝนหมึกหางมังกร คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย
กระบี่ที่มาคือกระบี่อะไรกันแน่?
……
……
ในตอนที่ลำแสงกระบี่นั้นเพิ่งจะปรากฏขึ้นตรงขอบฟ้า หนานชวีก็ขยับแล้ว
เขาหายตัวไปจากที่เดิม
ในท้องฟ้าสีครามคล้ายมีกลุ่มควันห้ากลุ่มปรากฏขึ้นพร้อมกัน กลุ่มควันแต่ละกลุ่มอยู่ห่างกันหลายลี้
เพียงแค่พริบตา เขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปอย่างมาก
เขาเองก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับกระบี่นี้ตรงๆ ได้แต่มองมันแล้วหนีไป!
ไม่กี่อึดใจก่อนหน้านี้ ลำแสงกระบี่สายนั้นยังอยู่ที่ขอบฟ้า
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ ลำแสงกระบี่สายนั้นก็มาถึงทะเลตะวันตกแล้ว
ท้องทะเลถูกส่องสว่าง ราวกับพระอาทิตย์ยามเช้ากำลังจะขึ้นอีกครั้ง
กลิ่นอายของกระบี่เล่มนั้นธรรมดา ไม่ถือว่าเย็นยะเยือก แล้วก็ไม่ถือว่าอ้างว้างโดดเดียว ไม่มีจิตสังหาร แล้วก็ไม่มีกลิ่นอื่น ราวกับเป็นกระบี่บินที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป เรียบง่าย จนถึงที่สุด
มีเพียงยอดคนอย่างหนานชวีและนักพรตไป๋ถึงจะรู้ว่าความเรียบง่ายเช่นนี้คือความวางเฉยที่เกิดขึ้นหลังจากที่ประสบพบเจอสิ่งต่างๆ มามากมาย นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่ากลับคืนสู่ตัวตนที่ เป็นอยู่แต่เดิม
ลำแสงกระบี่สายนั้นพุ่งทะลุตำแหน่งเดิมที่หนานชวีอยู่ก่อนหน้านี้ ก่อนจะพุ่งต่อไปข้างหน้า
เทพกระบี่ยืนอยู่ในท้องฟ้าตรงนั้น
เขาได้ปรับสภาวะของตัวเองให้อยู่ในขั้นสูงสุด เผชิญหน้ากับลำแสงกระบี่สายนั้นอย่างไม่ลังเล
บนทะเลเกิดคลื่นยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วน….ก่อนจะเงียบสงบลงไปในพริบตา
ลำแสงกระบี่มิได้หยุดชะงักแม้แต่นิดเดียว มันยังคงบินต่อไปแบบนี้
ท่ามกลางเสียงแตกเพล้งๆๆ กระบี่สิบสองชั้นทั้งสิบสองท่อนแหลกละเอียด
โลหิตสาดกระจาย เทพกระบี่ซีไห่แหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะร่วงตกลงไปในทะเล
ยอดคนทะลวงสวรรค์ขั้นสูงสุดถูกกระบี่เล่มหนึ่งโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส!
เป้าหมายของลำแสงกระบี่สายนั้นมิใช่เขา เขาเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น!
คนที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก กระทั่งนักพรตไป๋ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่เสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก
ลำแสงกระบี่สายนั้นโจมตีใส่เทพกระบี่ซีไห่ จากนั้นมิได้หยุดชะงัก กระทั่งความเร็วก็มิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย มันยังคงทะลวงต่อไปข้างหน้า
ท้องฟ้าถูกส่องสว่าง
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ซีไห่พากันร่วงตกลงไปในทะเล เพียงแค่พริบตาไม่รู้ว่าเสียชีวิตไปมากน้อยเท่าไร
จู่ๆ ลำแสงกระบี่พลันพุ่งลงไปในทะเล จากนั้นบินขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะหายไปต่อหน้าทุกคน บินขึ้นไปบนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในส่วนลึกของใต้ทะเลมีเสียงร้อยโหยหวนที่ทุ้มต่ำและเจ็บปวดดังขึ้นมา
เงาดำมหึมาเงานั้นกำลังค่อยๆ สลายตัว
น้ำทะเลค่อยๆ ถูกย้อมเป็นสีแดง
ในเวลานี้หนานชวีได้หลบขึ้นไปบนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปแล้ว
ลำแสงกระบี่สายนั้นไล่ตามไป
สายตาจำนวนนับไปถ้วนมองตามไป
เพียงพริบตา ในท้องฟ้าก็มีร่องรอยจำนวนนับไม่ถ้วน
หนานชวีอยู่ข้างหน้า ลำแสงกระบี่อยู่ข้างหลัง
ความเร็วที่หนานชวีแสดงออกมาได้ก้าวข้ามขอบเขตที่เหล่าผู้บำเพ็ญพรตจะจินตนาการได้ไปแล้ว
แต่เขาก็ยังมิอาจสลัดกระบี่เล่มนี้ทิ้งได่
ร่องรอยเหล่านั้นดูจางลงทุกขณะ
นี่แสดงให้เห็นว่าหนานชวีและลำแสงกระบี่สายนั้นอยู่ห่างจากพื้นดินออกไปเรื่อยๆ
จนกระบี่ไม่สามารถมองเห็นได้อีก
แต่ไม่มีใครดึงสายตากลับมา ทุกคนยังคงแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ภายในท้องฟ้าพลันมีหยาดฝนตกลงมา
ทุกคนรู้ว่าหนานชวีตายแล้ว
……
……
ในภูเขารกร้าง
หนานชวีมองดูป่าที่อยู่รอบกาย
ศาลเจ้าแห่งนั้นและโลงศพสีดำ แล้วก็ยังมีก้อนหินเหล่านั้น ทุกอย่างล้วนกลายเป็นผุยผง
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่ถูกตัวเขาและจิ๋งจิ่วซึ่งเป็นกระบี่สองเล่มฟัน
ต้นไม้ใบหญ้า ผาหินไอน้ำล้วนแต่ผสมปนเปเข้าด้วยกัน ไม่สามารถแยกแยะได้อีก
หนานชวีเข้าใจถึงหลักเหตุผลนั้นแล้ว
นี่ก็คือสรรพสิ่งรวมเป็นหนึ่งหรือ?
เขาครุ่นคิดอย่างเงียบๆ จากนั้นหลับตาลง
……
……
เหนือทะเลตะวันตก
จิ๋งจิ่วและหนานชวีอยู่ในดินแดนแห่งความว่างเปล่า ยืนอยู่ห่างกันหลายสิบจ้าง
หากตัดเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างชิงซานและเกาะหมอกทิ้งไป เมื่อทอดตามองไปในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินเฉาเทียน พวกเขาสองคนคือคนที่มีความใกล้เคียงกันมากที่สุดในเรื่องวิถีกระบี
ในช่วงเวลาสุดท้าย พวกเขาพูดคุยกันผ่านทางกระแสจิต
จิ๋งจิ่วกล่าวถามว่า “ตอนนี้เจ้ายังเป็นเจ้าอยู่ไหม?”
บนใบหน้าที่ขาวซีดของหนานชวีมีอารมณ์ผิดหวังอยู่เล็กน้อย เขาตอบว่า “ข้าย่อมต้องเป็นข้า”
จิ๋งจิ่วกล่าวถามว่า “อย่างนั้นเขาคือใคร?”
หนานชวีกล่าวว่า “เขาคือเขา”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “มีเหตุผล”
หนานชวีกล่าวถามว่า “แล้วเจ้าคือใคร? สรรพสิ่งรวมเป็นหนึ่ง?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าคือจิ่งหยาง”
หนานชวีเข้าใจแล้ว เขามองจิ๋งจิ่วพลางรู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างมาก “ยอดกระบี่แห่งยุค ยอดคนแห่งยุค”
……
……
ชิงซานมีกระบี่เล่มหนึ่งที่เขาคิดอยากจะเจอมาโดยตลอด แต่กลับไม่กล้าเจอ
แล้วก็มีคนที่เขาคิดอยากจะเจอมาโดยตลอด แต่กลับไม่กล้าเจอเช่นกัน
วันนี้หนานชวีได้เจอทั้งคนและกระบี่แล้ว แล้วก็ถึงเวลาที่ควรจะกลับไปแล้ว
ร่างกายของเขาแตกสลายกลายเป็นจุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนจะกระจายตัวไป
ยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ล้วนแต่เป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นร่างผีกระบี่ด้วย
สายตาของจิ๋งจิ่วมองตามจุดแสงเหล่านั้นลงไปด้านล่าง
จุดแสงเหล่านั้นข้ามดินแดนแห่งความว่างเปล่า จับตัวเข้ากับไอน้ำเหล่านั้น แปรเปลี่ยนกลายเป็นหยดน้ำ ก่อนจะกลายเป็นฝนตกลงไป
หยาดฝนเหล่านั้นตกลงไปบนทะเล ไม่ได้ทำให้เกิดคลื่นใดๆ
น้ำทะเลที่ถูกเลือดปลาวาฬย้อมจนเป็นสีแดงยังคงเงียบสงบ
เรื่องราวพันปี จบลงเพียงเท่านี้
เมื่อเห็นภาพนี้ จิ๋งจิ่วรู้สึกค่อนข้างทอดถอนใจ กล่าวว่า “ลมสงบชั่วชีวิต คลื่นเงียบหมื่นปี”
เขาลืมไปว่าที่นี่คือดินแดนแห่งความว่างเปล่า ไม่มีอากาศ แล้วก็ย่อมไม่มีเสียง
ฟ้าดินเงียบสงัด