มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 71 บนฟ้ามีเมฆก่อตัวอีกครั้ง
ในดินแดนแห่งความว่างเปล่าไร้ซึ่งลมและไร้ซึ่งเสียง เงียบสงัดเหมือนดั่งสุสาน บนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปมีพายุสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน คล้ายว่าพร้อมจะกระหน่ำฟาดลงไปยังเบื้องล่างทุก กเมื่อ แล้วก็คล้ายว่าจะไม่มีวันตกลงไป ดูแล้วเหมือนดวงตาของสัตว์ประหลาดสีม่วง สีแดง และสีน้ำเงินที่กำลังจับจ้องมองดูทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง
จิ๋งจิ่วมองไปยังมือขวาของตัวเอง ขณะเดียวกันก็มองดูทุกส่วนในร่างกาย ก่อนจะมั่นใจว่าตนเองได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หรือพูดอีกอย่างก็คือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ล้ำลึกมหัศจรร รย์
การตอบรับคำเชิญของหลิ่วฉือในศาลเจ้าบนภูเขารกร้าง กลายเป็นกระบี่ให้เขาได้สังหารหนานชวีและซีไหล สำหรับเขาแล้วนี่คือก้าวที่สำคัญที่สุดหลังจากที่เหยียบลงไปในแม่น้ำสายนั้น
เขาไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น คำถามที่เขาถามหนานชวีเหล่านั้น สุดท้ายคำตอบที่ได้รับก็เป็นคำตอบของหนานชวี
คำตอบเหล่านั้นไม่สำคัญ เขาไม่เคยสงสัยในตัวเองมาก่อน สาเหตุที่ในช่วงเวลาหลายปีมานี้เขาเอาแต่ปฏิเสธหลิ่วฉือ ไม่ยอมที่จะก้าวก้าวนี้ออกมา นั่นเป็นเพราะเขากังวลใจเรื่องอื่น
เขามองไปยังเกาะเซ่าหมิงที่อยู่บนทะเล เมื่อดูจากการวางกำลังของสำนักฝ่ายธรรมะต่างๆ อย่างสำนักจงโจวและเรือนอี้เหมาแล้วก็พอจะคาดเดาได้ว่าศิษย์พี่น่าจะอยู่บนเกาะแห่งนั้น น
นี่คือเรื่องที่ท่านคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างนั้นหรือ? หากเขาเป็นผีตัวนั้นจริงๆ อย่างนั้นสุดท้ายสงครามครั้งนี้ท่านก็อาจจะเป็นฝ่ายชนะจริงๆ แต่ท่านจะมีโอกาสได้ดื่มด่ำ ำกับชัยชนะนั้นหรือ?
เขาครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ พลางมองไปยังที่ที่หนึ่งในท้องฟ้า ก่อนจะพบว่าหลิ่วฉือไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
……
……
ภายในท้องฟ้ามีฝนตกโปรยปรายลงมา
ฝนตกไม่หนัก เพียงแค่ตกมาเล็กน้อยก็หยุดไป เสื้อผ้าของผู้บำเพ็ญพรตหลายๆ คนยังไม่ทันเปียกด้วยซ้ำ
แต่ต่อให้เป็นหยดฝนที่อยู่บนใบหน้า ก็ไม่มีใครคิดที่จะไปเช็ดออก แล้วก็ไม่มีใครคิดที่จะใช้พลังป้องกันหยดฝนนั้นเหล่านั้นไม่ให้ตกลงมากระทบถูกตนเอง
ทุกคนต่างยังตกอยู่ในความตกตะลึงหลังจากที่ได้เห็นลำแสงกระบี่สายนั้น ไหนเลยจะสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ได้
ลำแสงสายนั้นพุ่งมาจากขอบฟ้า เพียงแค่พริบตาก็มาถึง โจมตีเทพกระบี่ซีไห่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส สังหารศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่จำนวนนับไม่ถ้วนในพริบตา สลายร่างปลาวาฬบิน สุดท้ายบินขึ นไปสังหารหนานชวีที่อยู่บนท้องฟ้า
ฟ้าดินเปิดทางให้มัน ภูติผีและทวยเทพเองก็ยังต้องหลบออกไป ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรแบบไหนก็ไม่เพียงพอที่จะนิยามมันได้….
นี่มันคือกระบี่อะไรกันแน่? เหตุใดบนโลกถึงได้มีกระบี่เช่นนี้ได้?
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตหวนคิดถึงช่วงเวลาในการบำเพ็ญพรตอันยาวนานของตนเอง หวนคิดถึงบันทึกโบราณที่อยู่ในสำนัก แต่กลับพบว่าในบันทึกเหล่านั้นไม่เคยพูดถึงกระบี่ที่ทรงอานุภาพเช่นนี้มา าก่อน
นี่อาจจะเป็นกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินเฉาเทียน
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองตามสายฝนกลับมายังตัวนักพรตหลิ่วฉือ
ในสายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความกริ่งเกรงและความหวาดกลัว
กระบี่เล่มนั้นช่างน่ากลัวจริงๆ แต่คนที่สามารถฟันกระบี่เช่นนี้ออกมาได้ย่อมต้องน่ากลัวกว่า
หลายคนคิดถึงคำพูดที่หลิ่วฉือพูดกับหนานชวีก่อนหน้านี้ประโยคนั้น
—- ข้าเป็นเจ้าสำนักชิงซาน ใต้หล้าย่อมไร้ซึ่งผู้ต่อกร
ถูกต้อง
เมื่อมีกระบี่อยู่ในมือ หลิ่วฉือก็คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน
มาตรว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน เมื่อฟันกระบี่เช่นนี้ออกไป เขาก็ต้องสูญเสียปราณกระบี่และพลังชีวิตไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน
หลิ่วฉือมองไปทางเกาะเซ่าหมิง จู่ๆ พลันเลิกคิ้ว
มีลมพัดขึ้นมา
เมฆครึ้มปกคลุมอยู่เหนือเกาะ
……
……
กระบี่หลอดลมสิบสองชั้นยังไม่อาจถือเป็นสุดยอดกระบี่แห่งยุค แต่เทพกระบี่ซีไห่กลับใกล้เคียงกับคำว่ายอดคนแห่งยุค
ในอดีตตอนที่เขาถูกเทียนจิ้นเหรินพาออกมาจากเกาะหมอก เขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ไม่มีอาจารย์ ไม่มีสำนัก อาศัยเพียงคัมภีร์กระบี่ไม่กี่เล่ม เขาก็สามารถบำเพ็ญเพียรจนมาถึงจุดสูงสุดของวิถีกระบี่ได้ในเวลาเพียงแค่สองร้อยปี ก่อตั้งสำนักกระบี่ซีไห่ คนแบบนี้ย่อม มต้องยอดเยี่ยม
ภายใต้แรงกดดันจากสำนักชิงซาน เขายังคงสามารถนำพาสำนักกระบี่ซีไห่ให้ยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ บนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ทำได้?
น่าเสียดายที่ฉายาของเขานั้นมีความหมายว่ากระบี่อันรวดเร็ว สุดท้ายแล้วมันก็ไม่อาจเอาชนะกระบี่ที่มาจากนอกท้องฟ้าได้
โชคดีที่ในตอนนั้นเหล่ายอดฝีมือของสำนักชิงซานต่างยังอยู่ในข่ายพลังกระบี่หกดาว จึงทำได้แค่เพียงมองดูตัวเขาที่บาดเจ็บสาหัสหนีกลับไปยังเกาะจุ้ยเซียน
ที่นี่คือเกาะหลักของสำนักกระบี่ซีไห่ อยู่ห่างไกลจากเกาะเซ่าหมิง ต่อให้ข่ายพลังประจำสำนักถูกทำลาย แนวป้องกันของที่นี่ก็น่าจะยื้อเวลาได้สักครู่หนึ่ง
บนหน้าผาทางด้านตะวันออกของเกาะที่หันหน้าสู่ทะเลมีถ้ำขนาดใหญ่ที่กว้างหลายร้อยจ้าง สูงหลายสิบจ้างอยู่แห่งหนึ่ง
มันเป็นเหมือนหน้าต่างบานใหญ่บานหนึ่ง ภาพทิวทัศน์ท้องทะเลและลมฝนล้วนแต่อยู่ในนี้
เส้นสีขาวลากยาวเป็นทางบนท้องทะเล เทพกระบี่ซีไห่บินลงมายังหน้าต่างบานนั้น
เขาเหลียวหน้ากลับไปมอง ก่อนจะมองเห็นฝนที่ตกลงมาจากบนท้องฟ้า จึงรู้ว่าอาจารย์ตายแล้ว
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว อาจารย์ถูกเรียกว่าเซียนกระบี่แห่งทะเลใต้ ชื่อเกาะจุ้ยเซียน[1]นี้ไม่ดีจริงๆ ด้วย ในตอนนั้นเขาควรจะเปลี่ยนทิ้งเสีย
เทพกระบี่ซีไห่สีหน้าขาวซีด บนใบหน้ายังคงไม่มีอารมณ์ใดๆ เขากล่าวถามว่า “นี่เป็นแผนของพวกเจ้าหรือ?”
เมื่อหลายปีก่อน เสวียนอินจึได้ติดต่อเขาผ่านทางซูจึเย่ ด้วยคิดอยากจะร่วมมือกับเขาเพื่อสังหารนักพรตไท่ผิง
เขาไม่ถนัดเรื่องวางกลอุบาย แล้วก็รู้ว่าแผนการที่ง่ายดายเช่นนี้ไม่มีโอกาสที่จะสำเร็จ ดังนั้นเขาถึงใช้ให้ซูจึเย่ไปดึงสำนักจงโจวเข้ามาด้วย
ตามความคิดในตอนแรก เป้าหมายของเขาคือสังหารนักพรตไท่ผิง จากนั้นค่อยร่วมมือกับอาจารย์สังหารผีในชิงซานตัวนั้น
เพื่อที่จะหลอกให้นักพรตไท่ผิงมาติดกับ เขาถึงกับยอมแลกด้วยชีวิตของเทียนจิ้นเหริน...ผลปรากฏว่าตอนนี้อาจารย์ตายแล้ว ซีไห่กำลังพังทลาย แต่สำนักจงโจวกลับไม่ยอมลงมือ
ปัญหาอยู่ตรงไหนนั้นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าการโจมตีสำนักกระบี่ซีไห่ของสำนักชิงซานจะน่ากลัวแค่ไหน ไม่ว่าลมพายุที่อยู่ด้านนอกจะรุนแรงเพียงใด ซูจึเย่ก็อยู่ที่เกาะจุ้ยเซียนแห่งนี้ไม่จากไปไหน
อดีตนายน้อยของสำนักเสวียนอิน ชายหนุ่มแห่งวิถีมารที่มีพรสวรรค์และอนาคตมากที่สุดไม่อาจสร้างปัญหาใดๆ ในสงครามครั้งนี้ได้
เพราะเรื่องก่อปัญหา เขาได้ทำมันเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนที่สงครามครั้งนี้จะเริ่มขึ้นแล้ว
ที่เขายังอยู่ที่เกาะจุ้ยเซียนนั้นมีเหตุผล เขารู้ว่าเทพกระบี่ซีไห่จะต้องกลับมาถามคำถามนี้กับตน
“ถูกต้อง”
ซูจึเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตั้งแต่แรกจนมาถึงตอนนี้ เรื่องที่ข้าจะทำก็คือสังหารท่าน หลังเรื่องนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว สำนักจงโจวจะช่วยหาเส้นปราณวิญญาณให้สำนักเสวียนอินเ เส้นหนึ่ง”
เทพกระบี่ซีไห่ยืนอยู่ห่างจากเขาหลายจ้าง แต่เพียงยื่นมือออกมาก็กุมคอของเขาเอาไว้
เจตน์กระบี่สายหนึ่งพุ่งออกมาจากในหว่างคิ้วของซูจึเย่ แทงทะลุทรวงอกของเทพกระบี่ซีไห่
ร่างกายของเทพกระบี่ซีไห่ส่ายโงนเงนเล็กน้อย อาการบาดเจ็บยิ่งทรุดหนัก ต้นไม้แห่งเต๋าใกล้จะหักโค่น
ต่อให้วันนี้เขาหนีรอดไปได้ แต่ถ้าหากไม่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรเป็นเวลาร้อยปี ก็ไม่มีทางที่จะรักษาอาการบาดเจ็บให้หายดีได้ แล้วก็ยิ่งไม่มีทางปีนขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของวิถีกระบ บี่ได้อีกครั้ง
เจตน์กระบี่สายนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทั้งรุนแรงและเกรี้ยวกราด มีกลิ่นอายที่เขาคุ้นเคย
เขานึกขึ้นมาได้ นี่คือกระบี่ของเผยไป๋ฟ่า
ในอดีตเผยไป๋ฟ่าได้เอาเจตน์กระบี่สายนี้และปราณก่อกำเนิดที่เหลือทั้งหมดกรอกเข้าไปในร่างกายของซูจึเย่ จนกระทั่งในเวลานี้ถึงจะแสดงพลังของมันออกมา
ซูจึเย่อดทนอยู่ในหมู่เกาะซีไห่มาเป็นเวลาหลายปีก็เพื่อรอคอยช่วงเวลานี้
ในเวลานี้ขอเพียงเทพกระบี่ซีไห่ขยับความคิดเล็กน้อย ศีรษะของซูจึเย่ก็จะตกลงมา
ซูจึเย่รอคอยความตายอย่างเงียบๆ
เมื่อหลายปีก่อน เขาตัดศีรษะของเผยไป๋ฟ่าด้วยมือของเขาเอง มองเห็นศีรษะของถงหลูตกลงไปในทะเลต่อหน้าต่อตา นับแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่หวาดกลัวต่อความตายอีก
ที่น่าแปลกก็คือ เทพกระบี่ซีไห่ไม่ได้สังหารเขา
“สำนักจงโจวถึงขนาดสัญญาว่าจะมอบเส้นปราณวิญญาณให้เจ้า…ดูเหมือนชิงซานเองก็ใกล้จะเกิดเรื่องแล้ว”
เทพกระบี่ซีไห่ดึงมือกลับไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำ
……
……
หนานชวีตายแล้ว เทพกระบี่ซีไห่หนีไปแล้ว ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ซีไห่บาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะลำแสงกระบี่ในตอนสุดท้ายนั้นได้บดขยี้จิตใจที่จะต่อสู้ของทุกคนไปจนหมด ด
แต่สงครามครั้งนี้ยังไม่จบสิ้น เพราะนักพรตไท่ผิงยังไม่ถูกจับ
เกาะเซ่าหมิงถูกน้ำแข็งผนึกเอาไว้ แล้วก็ยังมีจานฝนหมึกหางมังกรที่พร้อมจะโจมตีลงมาทุกเมื่อ ต่อให้นักพรตไท่ผิงจะร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้
เรือกระบี่ของชิงซานลำหนึ่งบินลงไปบนเกาะเซ่าหมิง
นักพรตกว่างหยวนพาศิษย์ชิงซานหลายสิบคนขึ้นไปบนเกาะ
เรือเมฆของสำนักจงโจว เรือความรู้ดุจมหานทีของเรือนอี้เหมาและเหล่ายอดฝีมือของสำนักฝ่ายธรรมะอย่างวัดกั่วเฉิงและสำนักคุนหลุนต่างมองดูภาพเหตุการณ์นี้อยู่บนท้องฟ้า
ภูเขาสีดำลูกนั้นถูกเทพกระบี่ซีไห่ฟันขาดไปแถบหนึ่ง เผยให้เห็นผาหินที่ราบเรียบเป็นมันวาว แล้วก็ยังมีอุโมงค์ใต้ดินที่ซับซ้อนเป็นอย่างมากที่แอบซ่อนอยู่ในภูเขา
ภายในห้องหินที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุด ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินยืนอยู่ด้านหลังอินซาน
อินซานมองดูชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นั้น ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยและไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
ด้านนอกจะต่อสู้กันรุนแรงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เพราะอย่างไรเสียสำนักกระบี่ซีไห่ก็พังพินาศแล้ว
หนานชวีตายอยู่ภายใต้กระบี่เล่มนั้น อย่างนั้นศิษย์เนรคุณก็น่าจะรู้ดีว่าตนเองจะทำอย่างไร
ตอนนี้เขาเพียงแค่ต้องหยิบเอากระบี่พรหมจรรย์มา จากนั้นก็ไปจากที่นี่ได้
แผนการของหนานชวีในวันนี้และลำแสงกระบี่ที่มาจากขอบฟ้าสายนั้นได้ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจบางอย่าง
แผ่นดินเฉาเทียนในตอนนี้ก็มีเพียงหนานชวีและกระบี่เล่มนั้นที่สามารถทำอะไรเขาได้
หลังเอากระบี่พรหมจรรย์มาได้และหนีออกไปจากทะเลตะวันตก เขาก็จะลองพยายามเปลี่ยนเป็นร่างกระบี่ ทันทีที่สำเร็จ เขาก็จะไปยังชิงซานและทำการเปลี่ยนร่างใหม่อีกครั้ง
หลังจากนั้นหลายสิบปี หลังจากศิษย์เนรคุณคนนั้นตายไป เขาก็จะได้เป็นเจ้าสำนักชิงซานอีกครั้ง ในมือถือปลอกกระบี่แบกสวรรค์ ใช้กระบี่เล่มนั้นสยบทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน ทำภารกิจท ที่ยิ่งใหญ่นั้นให้สำเร็จ
แผนการนี้สมบูรณ์แบบ
แต่ที่น่าเสียดายก็คือก่อนที่ความสมบูรณ์แบบจะเริ่มขึ้น เขาก็ได้เจอกับปัญหาที่ไม่คาดคิดบางอย่าง
ภายในห้องที่กระบี่พรหมจรรย์วางเอาไว้อยู่ห้องนั้นยังมีชายหนุ่มอยู่อีกคนหนึ่ง
บนร่างของชายหนุ่มผู้นั้นเต็มไปด้วยคราบดินคราบฝุ่น แต่มันมิอาจปิดบังความอ่อนเยาว์และความสง่างามที่อยู่บนใบหน้าได้ ทว่าสายตาเขากลับดูเฉยชา
อินซานรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้เหมือนกับตน ซูจึเย่เองก็คล้ายตนเองเช่นกัน
บนโลกพลันมีชายหนุ่มที่เหมือนตัวเองปรากฏขึ้นมาสองคน ที่ช่างเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์อย่างมาก แต่มันไม่สนุก
อินซานยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “ยอดเยี่ยม”
“ขอบคุณท่านนักพรตที่ชื่นชม”
ถงเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
สองมือของเขาจับคันฉ่องฟ้ากระจ่างเอาไว้
คันฉ่องฟ้ากระจ่างหันมาทางอินซาน
เสียงหวึ่งเบาๆ ดังขึ้น
แสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
ในแสงสีขาวสายนั้นมีแสงสีทองจางๆ แฝงเอาไว้ด้วยพลังเซียนที่บริสุทธิ์ที่สุด เต็มไปด้วยการทำลายล้างอันยิ่งใหญ่
บนใบหน้าของเสวียนอินจึเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
บนใบหน้าอินซานเองก็ถูกส่องสว่างจนเป็นสีขาว
…………………………………………………………………
[1]เกาะจุ้ยเซียน หมายถึง เกาะเซียนตกสวรรค์