มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 73 เซียนและผีของสำนักชิงซาน (2)
ไม่มีใครรู้สึกได้ว่าถงเหยียนขยับ
ต่อให้เป็นวิชาหลบหนีฟ้าดินก็ไม่มีทางทะลวงฝ่าข่ายพลังกระบี่ของสำนักชิงซานไปยังที่ที่ไกลขนาดนั้นได้ในพริบตา
เขาใช้วิธีอะไรกันแน่?
ผู้บำเพ็ญพรตที่เคยเข้าร่วมการประลองวิถีพรตในที่ราบหิมะหรือว่าคนที่เคยได้ยินเรื่องราวของลั่วไหวหนานต่างคิดถึงของวิเศษชิ้นนั้นของสำนักจงโจวขึ้นมา
ตราประทับหมื่นลี้!
ผู้บำเพ็ญพรตหลายๆ คนต่างคาดเดาได้แล้วว่านี่น่าจะเป็นแผนการที่สำนักจงโจววางเอาไว้
เพียงแต่ถงเหยียนทำอะไรกันแน่? ลำแสงเซียนสายนั้นและสายฟ้าที่กระหน่ำฟาดลงมาหลังจากนั้น…คือยันต์เซียนที่เล่าลือกันอย่างนั้นหรือ?
“หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้วนะ”
นักพรตไป๋มองดูถงเหยียน
ถงเหยียนนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไร ในตอนที่ถูกหวังเสี่ยวหมิงใช้ธงสุรินยันโจมตีในเขาเหลิ่งซาน เขาเคยคิดที่จะใช้ตราประทับหมื่นลี้ สุดท้ายก็อดทนเอาไว้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้มันจะช ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้
สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือสำนักชิงซานจะสังหารเขาโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดแม้แต่นิดเดียว
แต่สิ่งที่เขายิ่งคิดไม่ถึงก็คือในตอนที่นักพรตไท่ผิงกำลังจะถูกฆ่า คนที่ก้าวออกมาจะเป็น…นักพรตหลิ่วฉือ
……
……
เกาะเซ่าหมิงได้กลายเป็นเศษซาก
อินซานมองดูหลิ่วฉือที่อยู่บนท้องฟ้า ไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไร จากนั้นส่งเสียงอืมออกมา
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินรีบโค้งตัวลงตรงหน้าเขา
อินเซียนทิ้งตัวลงไป ดูค่อนข้างอ่อนแรง
เสียงแคร่กดังขึ้นเบาๆ บนพื้นมีรอยแตกปรากฏขึ้นมา ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินแบกเขาเดินไปบนพื้นน้ำแข็งที่อยู่ด้านนอกเกาะเซ่าหมิง
เขาคือนักพรตไท่ผิงที่คนทั้งโลกต้องการสังหาร วันนี้สำนักบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เขาจะหนีไปได้อย่างนั้นหรือ?
ยันต์เซียนที่สำนักจงโจวเตรียมเอาไว้สังหารเขาแผ่นนั้นถูกนักพรตหลิ่วฉือรับเอาไว้ อย่างนั้นคนอื่นล่ะ?
……
……
ในท้องฟ้ามีเสียงหวีดดังขึ้นมา ปู้ชิวเซียวที่เตรียมพร้อมอยู่เงียบๆ มาเป็นเวลานานควบคุมจานฝนหมึกหางมังกรให้พุ่งเข้าไปโจมตี
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินรู้ว่านี่คือของวิเศษล้ำค่าของเรือนอี้เหมา จึงมิกล้ารอช้า หมัดทั้งสองข้างที่มีควันสีดำที่มีพลังชั่วร้ายแฝงเอาไว้ต่อยออกไป
จานฝนหมึกหางมังกรส่งเสียงคำรามของมังกรที่ทุ้มต่ำออกมา ลำแสงสาดกระจายไปรอบทิศ ปัดเป่าควันสีดำให้สลายหายไปในพริบตา
เสียงตู้มดังสนั่น บนพื้นน้ำแข็งที่อยู่รอบๆ เกาะเซ่าหมิงมีรอยแตกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา ก่อนจะลุกลามออกไปเหมือนใยแมงมุม!
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินโงนเงนเล็กน้อย ก่อนจะทรงตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นแบกอินซานวิ่งต่อไปข้างหน้า
จานฝนหมึกหางมังกรกระเด็นลอยออกไป ในขณะที่กำลังโจมตีลงมาอีกครั้ง ปู้ชิวเซียวพลันรู้สึกได้ถึงอันตราย
ทันใดนั้น ลำแสงกระบี่ที่เย็นยะเยือกสายหนึ่งได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
นักพรตกว่างหยวนมองดูเขาอย่างเงียบๆ
ปู้ชิวเซียวจ้องมองเขา มิได้กล่าวอะไรเช่นกัน
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง หลิ่วสือซุ่ยที่อยู่ในเรือความรู้ดุจมหานทียิ่งรู้สึกสับสน
ในตอนที่อยู่ในวัดกั่วเฉิง เขาได้พบกับสมณะผู้หนึ่ง ภายหลังถึงได้รู้ว่านั่นคือศัตรูของคุณชาย ดังนั้นเมื่อเจ้าล่าเยวี่ยต้องการให้เขาไปช่วยสังหารอีกฝ่ายเขาก็ไป
ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคือปรมาจารย์ไท่ผิง เขาเองก็มิได้ลังเลแม้แต่น้อย เพราะเขาเชื่อคุณชาย อย่างนั้นอีกฝ่ายจะต้องเป็นคนเลวอย่างแน่นอน
แต่ทำไมวันนี้ท่านเจ้าสำนักและนักพรตกว่างหยวนต่างเข้ามาหยุดไม่ให้คนอื่นสังหารเขา?
……
……
“สาธุ สาธุ”
เหล่าสมณะระดับสูงของตำหนักแสดงธรรมของวัดกั่วเฉิงลอยขึ้นมา พวกเขารู้ว่าตนเองมิใช่คู่มือของปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน แต่วันนี้ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินถูกยันต์เซียนทำให้ตกใจเสีย ยขวัญ อีกทั้งยังรับมือการโจมตีจากจานฝนหมึกหางมังกรไปแล้วครั้งหนึ่ง กำลังอยู่ในช่วงที่สภาพร่างกายและจิตใจไม่สมบูรณ์ เหล่าสมณะตัดสินใจที่จะถ่วงเวลาเขาเอาไว้ รอให้ยอดฝีมือขอ องสำนักอื่นเข้ามาช่วยเหลือ ถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของตนเองก็ตาม
“ขะ..ขอ..โทษ…ขะ…ขอ...โทษ”
มิใช่เป็นเพราะหวาดกลัวหรือตื่นเต้นถึงได้ทำให้คนที่มาพูดจาเช่นนี้ หากแต่เป็นเพราะว่าเดิมเขาก็พูดติดอ่างอยู่แล้ว
มั่วฉือพาเหล่าศิษย์ร่วมสำนักจากยอดเขาไหนไม่ทราบมาขวางทางสมณะเหล่านั้นเอาไว้
ในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน ผู้อาวุโสมั่วฉือแห่งยอดเขาเทียนกวงขึ้นชื่อเรื่องหน้าตาน่าเกลียด แต่มีนิสัยอ่อนโยน สายตาของเขาในเวลานี้ยังคงอ่อนโยน แต่สีหน้ากลับมั่นคงเด็ดเดี่ยว
……
……
บนท้องฟ้าและในทะเลที่อยู่รอบๆ เกาะเซ่าหมิง ลำแสงกระบี่บินวุ่นวาย
เรือกระบี่สองลำของลูกศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างลอยอยู่ห่างออกไป กั้วหนานซาน กู้หานและศิษย์คนอื่นๆ ต่างรู้สึกสับสน
สถานการณ์วุ่นวายเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียวว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ไม่ได้รับคำสั่งใดๆ
เจ้าสำนักยืนอยู่ในท้องฟ้า มิได้ออกคำสั่ง คล้ายว่าปล่อยให้เหล่าอาจารย์ของแต่ละยอดเขาทำการตัดสินใจด้วยตัวเอง
ผู้อาวุโสบางคนยังอยู่บนเรือกระบี่ มองดูร่างที่ค่อยๆ ห่างออกไปร่างนั้นด้วยสีหน้าสับสน
เหล่าอาจารย์บางคนขี่กระบี่ออกไปขัดขวางผู้บำเพ็ญพรตของสำนักอื่นๆ เอาไว้
จนกระทั่งเรือเมฆของสำนักจงโจวขยับเล็กน้อย นักพรตไป๋ทะยานออกมา หลิ่วฉือจ้องมองดูนาง
ทุกที่ล้วนแต่กำลังเผชิญหน้ากัน ไม่มีใครสังเกตเห็นตัวเอง เจ้าสำนักคุนหลุนเหอเว่ยคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด เขาตะโกนบอกให้มารเฒ่าหยุดหนี จากนั้นตัวเองไล่ตามไป
ความเร็วของนกหานเฮ่านั้นเร็วเป็นอย่างมาก ไม่นานก็ไล่ตามปรมาจารย์สำนักเสวียนอินจนอยู่ห่างกันเพียงสิบกว่าลี้
อินซานพิงอยู่บนหลังของปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน มิได้เหลียวหน้ากลับมา
ทันใดนั้นบนท้องฟ้าพลันมีเสียงร้องดุร้ายดังขึ้นมา
อินเฟิ่งไม่รู้ว่าบินมาจากที่ไหน วาดหางและปีกออกมาเหมือนกระบี่ ฟันเข้าใส่เหอเว่ยและนกหานเฮ่าจนตกลงไปบนพื้นน้ำแข็ง
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินแบกอินซานกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า
อินเฟิ่งมาถึงในพริบตา
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินตกลงบนหลังของอินเฟิ่ง
อินเฟิ่งกระพือปีก บินไปยังส่วนลึกของทะเลด้วยความเร็วที่ยากจะจินตนาการได้
เนื่องจากถูกหนานชวีลอบโจมตี แล้วก็ใช้กระจกน้ำแข็งรับการโจมตีของหนานชวีเอาไว้เพื่อปกป้องจัวหรูซุ่ย หยวนฉีจิงจึงได้รับบาดเจ็บสาหัส เขานิ่งเงียบมาเป็นเวลาครู่ใหญ่แล้ว
จนกระทั่งในเวลานี้ เสียงที่แข็งกร้าวและเย็นยะเยือกของเขาได้ดังขึ้นอีกครั้ง “ฆ่ามัน”
มีเพียงเขาและหลิ่วฉือเท่านั้นที่รู้ว่าประโยคนี้เป็นการพูดกับจิ๋งจิ่ว
ป้ายชีวิตของอินเฟิ่งอยู่ในมือของจิ๋งจิ่ว
หากในเวลานี้สังหารอินเฟิ่ง ต่อให้ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินจะร้ายกาจแค่ไหนก็ยากจะพานักพรตไท่ผิงหนีไปได้
แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อินเฟิ่งบินเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะหายไปจากสายตาของทุกคน
การเผชิญหน้ากันในท้องฟ้าเองก็ย่อมไม่ต้องดำเนินต่อไป
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนต่างมองไปในส่วนลึกของทะเล
ไม่ว่าจะเป็นจานฝนหมึกหางมังกรของเรือนอี้เหมา ตำหนักแสดงธรรมของวัดกั่วเฉิง การไล่ฆ่าของเหอเว่ย คนผู้นั้นก็ไม่ได้หันหน้ากลับมา เขาเพียงแค่พิงอยู่บนหลังของปรมาจารย์สำนัก กเสวียนอินอย่างเงียบๆ
เขาถูกยันต์เซียนของสำนักจงโจวโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับไม่ได้มองการไล่ฆ่าของยอดฝีมือในใต้หล้าอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ยังคงขี่นกบินหนีออกไปอ อย่างสง่างาม
ความมั่นใจเช่นนี้ ท่าทีที่ดูไม่ธรรมดา ไหนเลยจะคล้ายมารร้าย กระทั่งเซียนก็ยังเทียบเขาไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูลำแสงกระบี่ที่อยู่บนท้องฟ้าเหล่านั้น ใบหน้าค่อนข้างขาวซีด
นางไม่ได้ลงมือเพราะสภาวะยังไม่สูงพอ ยิ่งไปกว่านั้นยังค่อนข้างสับสนด้วย
หากนางก้าวออกมาก็เท่ากับเป็นการแสดงท่าทีของยอดเขาเสินม่อ
แต่นางคิดว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติ
หยวนฉวี่และผิงหย่งเจีย แล้วก็ยังมีศิษย์ของยอดเขาซื่อเยวี่ยที่รับผิดชอบเรื่องการควบคุมเรือต่างตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาอ้าปากค้างโดยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
จิ๋งจิ่วเดินเข้ามาหานาง มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เจ้าล่าเยวี่ยคาดเดาสิ่งต่างๆ ได้มากมายแล้ว นางคิดถึงตัวตนของเขาพลางกล่าวอย่างเป็นห่วงว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
จิ๋งจิ่วมองไปในส่วนลึกของทะเล นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เขาคอยตามหาผีที่อยู่ในชิงซานมาโดยตลอด แล้วก็ย่อมต้องรู้ว่าไม่ได้มีแค่เพียงสองสามคนอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเยอะขนาดนี้
ทันใดนั้นเขาพลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา —- บางทีในสายตาของคนเหล่านี้ คงเป็นตัวเขาเองต่างหากที่เป็นผีตัวนั้น