มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 75 ไม่ต้องพูดถึงสรรพสิ่ง ไม่คุ้มค่า
สุดท้ายแผนการโจมตีสำนักกระบี่ซีไห่ก็ได้บทสรุปออกมา ฝั่งไหนจะได้รับประโยชน์อะไรจากแผนการนี้ก็ล้วนแต่มีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ สำนักชิงซานจะต้องเป็นผ ผู้ชนะที่สำคัญที่สุดอย่างแท้จริง ผลประโยชน์ที่ได้ไปก็ต้องมากที่สุด ส่วนเรื่องที่นักพรตไท่ผิงหนีไป…. ขอเพียงหลิ่วฉือยังสามารถฟันกระบี่นั้นออกมาได้ ก็ไม่มีใครที่จะกล้าม มาหาเรื่องชิงซาน
แต่จิ๋งจิ่วไม่ได้มองแบบนี้
หลังผ่านศึกครั้งนี้ นักพรตไท่ผิงออกมายืนอยู่ในที่สว่าง อินเฟิ่งทรยศหนีไป ชิงซานไปปลูกเมล็ดพันธุ์ที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายภายใน…..สำนักจงโจวต่างหากที่เป็นผู้ที่ชนะอย่างแท ท้จริง
เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับไป๋เจ่าและถงเหยียนนัก
หนุ่มสาวสองคนนั้นเพียงแค่สืบทอดอุดมคติของกั้วตง คิดอยากจะสังหารซีไหล จากนั้นค่อยสังหารศิษย์พี่
ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น นั่นล้วนแต่เป็นปัญหาของชิงซาน
กระทั่งคันฉ่องฟ้ากระจ่างเขาก็ยังเป็นฝ่ายคืนให้ถงเหยียน
เขาคำนวณได้หลายเรื่อง เพียงแต่คำนวณผิดไปเรื่องหนึ่ง
สุดท้ายเรื่องราวมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้
จิ๋งจิ่วคิดถึงเรื่องราวนี้พลางพยักหน้าให้ไป๋เจ่า ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องโดยสารของเรือ
ไป๋เจ่างุนงง
เขาหมุนตัวเดินจากไป ดูคล้ายเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่เหตุใดภายในใจของนางกลับรู้สึกอ้างว่างและว่างเปล่าคล้ายทะเลตะวันตกอันกว้างใหญ่ไพศาล รู้สึกหนาวเย็นคล้ายน้ำแข็งที่ลอยอยู่ รอบๆ เกาะเซ่าหมิง?
นางไม่เข้าใจว่านี่มันเป็นเพราะเหตุใด ก็เหมือนกับที่นางไม่เข้าใจว่านักพรตหลิ่วฉือขังนักพรตไท่ผิงมาเป็นเวลาสามร้อยปี แต่เหตุใดวันนี้กลับก้าวออกมาช่วยเขา
ในตอนที่มา เรือกระบี่สิบเจ็ดลำดูยิ่งใหญ่ทรงพลัง ในตอนที่กลับ เรือกระบี่สิบสี่ลำก็ดูยิ่งใหญ่ทรงพลังเช่นเดียวกัน แต่ความรู้สึกกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นักพรตหลิ่วฉือฟันกระบี่ที่สะเทือนฟ้าดินออกมา หนานชวีที่เป็นศัตรูเก่าพันปีตายไป เทพกระบี่ซีไห่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหนีไป สำนักกระบี่ซีไห่พังพินาศย่อยยับ สำนักชิงซานเพียงแค่เสี ยเรือกระบี่ไปสองลำ จำนวนลูกศิษย์ที่ตายไปก็มิได้มาก ไม่ว่ามองอย่างไรก็ล้วนแต่เป็นเรื่องน่ายินดีที่ควรค่าแก่การถูกบันทึกเอาไว้ แต่เรือกระบี่ที่ล่องไปในฟ้าดินกลับดูช่างเง งียบขรึม
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตของแต่ละสำนักเองก็นิ่งเงียบ มองดูเรือกระบี่ของชิงซานค่อยๆ ลอยห่างออกไป บางคนเป็นเพราะตกตะลึงและกริ่งเกรง บางคนคิดได้ถึงสาเหตุที่ลึกซึ้งกว่านั้น
อนุภาพของสายฟ้าเหล่านั้นเมื่อเทียบกับทัณฑ์สวรรค์แล้วมิได้ด้อยกว่าเท่าไหร่ นักพรตหลิ่วฉือรับสายฟ้าเหล่านั้นเอาไว้แบบนั้น เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือไม่?
ถ้าหากเขาเกิดเรื่อง เช่นนั้นโลกแห่งการบำเพ็ญพรตจะเกิดความวุ่นวายที่รุนแรงคลุ้มคลั่งแบบไหนกัน?
แสงอาทิตย์ค่อยๆ ร้อนแรง ลมทะเลพัดโชยไม่ขาดสาย น้ำแข็งที่ลอยอยู่ค่อยๆ ละลาย ก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าถูกพัดจนกระจัดกระจายสลายไป
ผู้บำเพ็ญพรตของแต่ละสำนักเองก็จากไปพร้อมกับก้อนเมฆเหล่านั้น
เรือเมฆของสำนักจงโจวเงียบสงัด เหล่าลูกศิษย์ยืนอยู่บนเรือที่เป็นชั้นๆ จ้องมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่รอบๆ อย่างระมัดระวัง
สถานการณ์ในวันนี้วุ่นวายมากเกินไป เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนสุดท้ายมีมากเกินไป ใครจะไปรู้บ้างว่าจู่ๆ สำนักชิงซานจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาหรือเปล่า
ภายในห้องโดยสารที่อยู่ชั้นบนสุดของเรือเมฆมีคนอยู่เพียงสองคน
นักพรตไป๋มองดูถงเหยียน พลางกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ครั้งนี้หลิ่วฉือต้องตายอย่างแน่นอน เจ้าทำความดีความชอบใหญ่หลวง ต้องการอะไร?”
ถงเหยียนคุกเข่าลงบนพื้น กล่าวว่า “ขออาจารย์ได้โปรดให้ชิงเอ๋อร์ได้มีชีวิตอยู่ต่อ”
ในตอนที่นักพรตไป๋ตกลงที่จะให้เขาพาคันฉ่องฟ้ากระจ่างออกไปจากเขาอวิ๋นเมิ่ง นางก็ได้เคยให้สัญญาเอาไว้
หากนักพรตไท่ผิงถูกแผนการของถงเหยียนสังหารจนตาย นางจะมอบอิสระให้แก่คันฉ่องฟ้ากระจ่าง
ถงเหยียนรู้ดีว่าอาจารย์ไม่มีทางยอมให้ของวิเศษชั้นสวรรค์อย่างคันฉ่องฟ้ากระจ่างออกไปจากสำนักจงโจวอย่างแน่นอน อิสระที่ว่านั้นก็คือการมีชีวิตอยู่
นักพรตไป๋กล่าวถามเสียงเฉยชาว่า “ไท่ผิงตายหรือยัง?”
ถงเหยียนมองดูคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่อยู่บนพื้นข้างกาย นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะลุกขึ้นคารวะแล้วเดินออกไปจากห้องโดยสาร
สายลมพัดโชยแถบผ้าอย่างแผ่วเบา เหมือนอารมณ์ที่ยากจะคาดเดาได้
ไป๋เจ่ายืนรอเขาอยู่ด้านนอกประตู
เมื่อเห็นสายตาของที่เยือกเย็นของถงเหยียน นางก็รู้ว่าท่านแม่ตัดสินใจอย่างไร จึงรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ
สายตาที่เยือกเย็นของถงเหยียนค่อยๆ ถูกความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดเข้ามาแทนที่ แต่สีหน้าบนใบหน้าเขายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ท่าทีเองก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
เขายอมให้ไป๋เจ่าได้เห็นความเจ็บปวดและความอ่อนแอของตัวเอง แต่กลับไม่ยอมให้นักพรตไป๋ได้สัมผัสถึงมัน
เสียงสั่นเครือของไป๋เจ่าดังขึ้นมา “ท่านพยายามเต็มที่แล้ว”
ถงเหยียนส่งเสียงอืม
จากนั้นเขาถามคำถามตัวเองคำถามหนึ่ง
เจ้าพยายามเต็มที่แล้วจริงๆ หรือ?
ตั้งแต่ต้นจนจบ ชิงเอ๋อร์ไม่รู้เลยว่าเขาอยากทำอะไร นางนึกว่าเขาอยากจะพาตัวเองหนีออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง ไหนเลยจะรู้เรื่องอุบายที่เกี่ยวข้องกับซีไห่ แล้วก็ยังมียันต์เซียนที ราชาปลาไนเพลิงเอาเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันแผ่นนั้น แล้วก็ยิ่งไม่รู้ว่าเบื้องหลังเรื่องราวนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนและกลอุบายอยู่มากมายขนาดนี้
เขาปิดบังชิงเอ๋อร์เอาไว้อย่างดี
เขาหลอกโลกนี้เสียสนิท
สุดท้ายในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ
อย่างนั้น
เขาถามตัวเองอีกครั้ง
เจ้าพยายามเต็มที่แล้วจริงๆ หรือ?
กระทั่งนักพรตไท่ผิงเจ้าก็ยังคาดการณ์ได้ กระทั่งทั้งโลกเจ้าก็ยังหลอกได้ อย่างนั้นเจ้ามีเหตุผลอะไรที่จะทำเรื่องนี้ไม่ได้ล่ะ?
คำตอบไม่ต้องถามก็รู้ได้ ความจริงในตอนที่นักพรตไป๋กล่าวคำพูดประโยคนั้นออกมา เขาก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอาเรื่องเสวี่ยจีบอกแก่อาจารย์ของตัวเอง
ไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
……
……
หลังจากเรือกระบี่สิบสี่ลำเดินทางมาถึงแผ่นดินเฉาเทียนก็มีเรือกระบี่ลำหนึ่งแยกตัวออกไป หันหน้าไปทางทิศใต้
มุ่งหน้าไปทางใต้ไม่ไกลก็คืออี้โจว หากมุ่งหน้าต่อไปทางภูเขารกร้างที่ไม่มีพลังวิญญาณแห่งนั้นก็จะมองเห็นหน้าผาแห่งหนึ่งที่พังถล่มลงมา
ทั่วทั้งหน้าผาล้วนแต่เต็มไปด้วยเศษซากที่เป็นผุยผง มองไม่ออกถึงสภาพเดิมของต้นไม้ใบหญ้า แล้วก็ยิ่งมองไม่เห็นศาลเจ้าร้างและโลงศพสีดำใบนั้น
เรือกระบี่ลำนั้นคือเรือกระบี่ของยอดเขาเสินม่อ
เจ้าล่าเยวี่ยอุ้มแมวขาวกลับมาบนเรือ
แมวขาวเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก ขนยาวๆ ของมันติดกันเป็นก้อน ดูน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง คล้ายว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำเอาหยวนฉวี่และผิงหย่งเจียต่างตกใจ
หนานว่างส่งเสียงเหอะออกมา พลางหิ้วหนานเจิงที่นอนสลบเข้าไปในห้องโดยสาร ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงไม่ได้สังหารอดีตคนในเผ่าผู้นี้
แมวขาวรู้ว่าเสียงเหอะของนางเสียงนี้หมายความว่าอย่างไร แต่มันก็ไม่ได้สนใจ เพียงแต่นอนซุกอยู่ในอ้อมอกของเจ้าล่าเยวี่ย หลับตาแสร้งทำเป็นอ่อนแอ ในใจครุ่นคิดว่าการดูแลเช่น นนี้เป็นสิ่งที่ข้าต้องเสี่ยงชีวิตแลกกลับมา เลิกฝันที่จะให้ข้าออกไปจากตรงนี้ได้เลย!
……
……
แสงดาวเต็มฟ้า
ยอดเขาที่สูงที่สุดยอดนั้น ขาวจนค่อนข้างแสบตา
เรือกระบี่ลำใหญ่ลอยอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ ถูกส่องสว่างจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ที่นี่คือสถานที่ที่รกร้างที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน ไม่ต้องกังวลว่าภาพเหตุการณ์นี้จะทำให้คนธรรมดาตกใจ
จิ๋งจิ่วยืนอยู่บนยอดเขา มองดูภาพนี้ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เขาไม่ได้รู้สึกท้อแท้ผิดหวังจนเกิดความคิดที่จะออกไปจากชิงซาน
เรือกระบี่ของยอดเขาเสินม่อแยกตัวออกมากลุ่ม ก็เพราะว่าเขากับคนๆ หนึ่งมีเรื่องที่สำคัญอย่างมากต้องพูดคุยกัน
สายลมยามค่ำคืนพัดแผ่นเบา แสงดาวดูไม่เป็นระเบียบ หลิ่วฉือบินลงมายังข้างกายเขา
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้ามาช้า”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “เหตุใดข้าถึงบินช้า ท่านน่าจะรู้เหตุผลดี”
ระหว่างทางที่ออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่งเมื่อในอดีตก็เหมือนจะมีบทสนทนาทำนองนี้เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นจิ๋งจิ่วหรือว่าหลิ่วฉือ สีหน้าล้วนแต่สงบนิ่งเยือกเย็น
การสังหารหนานชวีเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในโลก แต่ในดวงตาของพวกเขากลับมองไม่เห็นความรู้สึกยินดีหรือว่าความรู้สึกหวาดกลัวอะไรนัก
ความจริงอันนี้ได้ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่วันที่จิ๋งจิ่วกลับมายังชิงซานเมื่อสามสิบปีก่อนแล้ว
ขอเพียงพวกเขาร่วมมือกัน ใต้หล้าก็จะไร้ซึ่งผู้ต่อกร
ขอเพียงจิ๋งจิ่วยินดียอมรับเรื่องนั้น
หนานชวีใช้ผีกระบี่เป็นคน ใช้คนเป็นกระบี่ นับเป็นการบุกเบิกวิถีกระบี่เส้นทางใหม่จริงๆ
แต่ก็เหมือนอย่างที่หลิ่วฉือได้ว่าเอาไว้ จิ๋งจิ่วได้เดินอยู่ข้างหน้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขาต่างหากถึงจะถือเป็นคนกระบี่รวมเป็นหนึ่งที่แท้จริง
กระบี่แข็งแกร่งตามคน แน่นอนว่าบทบาทของหลิ่วฉือนั้นยิ่งสำคัญกว่า
หากคนที่สะบั้นกระบี่ออกไปในวันนี้คือจัวหรูซุ่ย เช่นนั้นจะสามารถสังหารหนานชวีได้หรือไม่? เกรงว่ากระทั่งขนสักเส้นก็ยังตัดไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
มีเพียงหลิ่วฉือเท่านั้นถึงจะมีความสามารถ แล้วก็มีคุณสมบัติที่จะสะบั้นกระบี่นั้นออกไป
ตัวเขาในตอนนี้ต่างหากที่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ทั้งในความเป็นจริงและในนาม
“เกาะหมอกยังจะมีหนานชวีคนต่อไปออกมาอีกไหม?”
จิ๋งจิ่วคล้ายพูดกับตัวเอง แล้วก็คล้ายถามหลิ่วฉือ
หลิ่วฉือมองเรือกระบี่ที่อยู่ภายใต้แสงดาว จากนั้นกล่าวว่า “ไม่แล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ซีไหลยังจะกลับมาไหม?”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “คงยาก”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง”
หลิ่วฉือส่งเสียงอืมออกมา
……
……
เสียงอืมนี้ฟังดูจืดจาง ไม่ได้มีการขยับขึ้นลงของเสียง แต่กลับมีความหมายที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ในอดีตมีคนปล่อยนักพรตไท่ผิงออกมาจากในคุกกระบี่ สังหารเหลยพั่วอวิ๋นปิดปาก นั่นล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าในชิงซานมีผี
ในช่วงเวลาหลายปีมานี้หลังกลับมายังชิงซาน จิ๋งจิ่วคอยมองหาตลอดว่าผีคนนั้นคือใคร
หลิ่วฉือและหยวนฉีจิงคือคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุด แล้วเป็นคนที่เขาสงสัยมากที่สุดด้วยเช่นกัน
มีเพียงพวกเขาถึงจะมีความสามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้ ฟางจิ่งเทียนต่อให้ไม่ปิดบังความสามารถที่แท้จริงก็ไม่สามารถทำได้
แต่เขาไม่รู้ว่าผีตัวนั้นเป็นใครกันแน่
ต่างก็เป็นคนที่เคยกินหม้อไฟด้วยกัน ฆ่าคนด้วยกัน ชักกระบี่ใส่ศิษย์พี่ด้วยกัน ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ล้วนแต่ไม่มีเหตุผลเลย
ในที่สุดวันนี้คำตอบก็ปรากฏออกมา
หลิ่วฉือก็คือผีที่ตัวใหญ่ที่สุดตัวนั้น
จิ๋งจิ่วมองดูปลอกกระบี่แบกสวรรค์ที่เขาถืออยู่ในมือ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเจ้าชนะแล้ว”
กระบี่คมจักรวาลลอยนิ่งๆ อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือยอดเขา คอยดูดซับแสงดาว
คืนนี้ไม่มีการปะทะกระบี่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน สภาวะของทั้งสองคนแตกต่างกันมากเกินไป
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือตอนที่อยู่ในเขารกร้าง จิ๋งจิ่วได้ตอบรับคำเชิญของหลิ่วฉือที่ส่งมาจากทะเลตะวันตกไปแล้ว ทุกอย่างได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากทั้งหมดนี่เป็นแผนการที่ศิษย์พี่วางเอาไว้ ข้าก็จำต้องยอมรับ”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ไม่ ท่านคิดผิดแล้ว เขาเองก็คิดผิดเช่นกัน พูดให้ถูกก็คือพวกท่านต่างคิดมากไปแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เชิญข้ากลับปลอก หรือว่ามิใช่แผนการของเขา?”
“ข้าปล่อยอาจารย์ออกมาจากคุกกระบี่ มิได้หมายความว่าข้าสนับสนุนเขา แล้วก็ยิ่งไม่มีทางที่จะเชื่อฟังคำสั่งเขา”
หลิ่วฉือมองดูเขา ก่อนกล่าวว่า “เรื่องราวในวันนี้ความจริงแล้วง่ายมาก ข้าเพียงแค่อยากได้กระบี่เล่มหนึ่ง”
ในบทสนทนาระหว่างที่เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งของเขากับจิ๋งจิ่วในช่วงหลายปีมานี้ เรื่องที่เขาพูดถึงมากที่สุดก็คือกระบี่
หลิ่วฉือบางทีก็จริงจัง บางทีก็จนปัญญา บางทีก็เหนื่อยใจ บางทีก็ทอดถอนใจ เอาแต่พูดไม่หยุดว่า…ตัวเองไม่มีกระบี่
ความหมายในคำพูดเหล่านี้นั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก นั่นก็คือเขาอยากได้กระบี่
หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาอยากเอากระบี่ของตัวเองกลับมา
เมื่อก่อนจิ๋งจิ่วไม่เคยตอบรับคำพูดของเขาในเรื่องนี้มาก่อน
ในตอนนั้นที่เขากำยันต์เซียนของสำนักจงโจวเอาไว้ในมือซ้าย เผชิญหน้ากับอันตรายอย่างใหญ่หลวง หลิ่วฉือถามเขาว่าจะใช้วิธีนั้นหุ้มมือเอาไว้หรือไม่ เขายังคงปฏิเสธอย่างไม่ลังเลแม้ แต่น้อย
นี่คือเรื่องที่จิ่งจิ่วไม่ยินดีทำมากที่สุด เป็นเรื่องที่เขาหวาดกลัวมากที่สุด
แต่ไหนแต่ไรมา แบกสวรรค์นั้นมิใช่กระบี่ หากแต่เป็นปลอกกระบี่
ปลอกกระบี่อันนี้คือสิ่งที่เอาไว้ใช้ควบคุมกระบี่เล่มนั้น
สำนักชิงซานก่อตั้งสำนักมาจนถึงตอนนี้เป็นเวลาหลายหมื่นปี ที่ผ่านมาล้วนแต่เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
เจ้าสำนักแต่ละรุ่นล้วนแต่เป็นผู้ถือกระบี่
กระบี่เมื่ออยู่ในปลอกก็จะไม่อิสระ
จิ๋งจิ่วไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ ถึงแม้วันนี้เขาจะตอบรับคำเชิญของหลิ่วฉือแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ลืมที่จะพูดว่า “นี่คือกระบี่ของข้า”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ข้าเป็นเจ้าสำนัก นี่ย่อมต้องเป็นกระบี่ของข้า”
จิ๋งจิ่วโบกมือ เพื่อบอกว่าปัญหาที่ไร้สาระเช่นนี้อย่าได้ถงเถียงกันอีก
หลิ่วฉือพลันถามว่า “ท่านจงใจให้กู้ชิงเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างไปคืนให้ถงเหยียน ในตอนนั้นท่านรู้ถึงแผนการของสำนักจงโจวแล้ใช่หรือเปล่า?
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ในตอนนั้นข้านึกว่าคนที่เขากับซูจึเย่อยากจะสังหารคือซีไหล”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ในตอนแรกสุดบางทีท่านอาจจะคิดเช่นนี้ แต่หลังจากที่ท่านได้รับจดหมายของอาจารย์ ท่านก็น่าจะคาดเดาได้แล้วว่าหลังจากนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ถูกต้อง การสังหารเขาเป็นเรื่องที่ข้าอยากจะทำมากที่สุด”
หลังได้รับจดหมายฉบับนั้น เขากับหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงก็จัดประชุมเล็กๆ ขึ้นบนยอดเขาเทียนกวง โดยมีหยวนกุยเป็นพยาน
ในตอนสุดท้ายของการสนทนาครั้งนั้น เขายังกำหนดโครงร่างของแผนการโจมตีสำนักกระบี่ซีไห่ในครั้งนี้ด้วย — สังหารหนานชวี แล้วค่อยสังหารไท่ผิง ใต้หล้าจะได้สงบสุข
นี่คือเป้าหมาย แล้วก็เป็นการย้ำเตือน ไม่ว่าผีตัวนั้นจะเป็นหลิ่วฉือหรือว่าหยวนฉีจิง พวกเขาก็น่าจะคิดถึงผลลัพธ์ในตอนสุดท้าย
หากทั้งหมดเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ ไม่ว่าสำนักจงโจวจะมีแผนการเยอะแค่ไหน ไม่ว่ากับดักของไป๋เจ่าและถงเหยียนจะสมบูรณ์แบบอย่างไร ชิงซานก็ไม่มีวันได้รับความเสียหายใดๆ
อย่างน้อยชิงซานของเขาก็ไม่มีทางได้รับความเสียหายใดๆ
มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาคิดไม่ถึง และตอนนี้ดูเหมือนจะถูกนักพรตไป๋คาดการณ์ได้แล้ว
นั่นคือหลิ่วฉือก้าวออกมา
ทัณฑ์สวรรค์ตกลงบนร่างกายของเขา
จิ๋งจิ่วมองหลิ่วฉือ ก่อนกล่าวว่า “ไม่คุ้มเลย”
หลิ่วฉือทอดตามองไปบนทะเล ยิ้มออกมาเล็กน้อย