มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 77 ทำตัวเหมือนคนหนุ่ม
บนโลกมักจะมีภาพแบบนี้ให้เห็นเสมอ
ขุนนางทรยศบางคนถือตราลัญจกรไปหาอ๋องบางคน บอกว่าสวรรค์ประทานโอกาสมาให้ หากไม่รับเอาไว้จะต้องถูกลงโทษ
โจรบางคนบอกกับพี่ใหญ่ของตนเองว่าท่านลองดูแม่นางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนคนนั้นสิ ใบหน้างดงามดุจดั่งบุปผา
คนว่างงานบางคนกล่าวกับหัวหน้าของตัวเองว่า ได้ยินว่าในเรือนหลังหนึ่งมีฉากกั้นที่ทำจากหยก ล้ำค่าเป็นอย่างมาก
คนเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคนเลว เรื่องที่ทำก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไม่ดี
ถงเหยียนไม่ใช่คนที่มีใบหน้างดงาม แต่ก็เป็นศิษย์ที่มีอนาคตไกลที่สุดของสำนักจงโจว เหตุใดคืนนี้ถึงทำเรื่องแบบนี้? และสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือหลิ่วฉือซึ่งเป็นเจ้าสำนักช ชิงซานไม่เพียงแต่จะไม่กล่าวสั่งสอนเขา แต่กลับยังครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาพูดอย่างจริงจัง จากนั้นกล่าวว่า “ถ้าคำนวนจากเวลาแล้ว เวลานี้เรือเมฆคงจะเข้าไปที่จงโจวแล้ว ไม่สะดวกกระมัง ง?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เพิ่งถึง”
เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ฟังคำพูดของถงเหยียน เขาเองก็ทำการคาดการณ์ด้วยเช่นกัน
ในตอนที่ออกมาจากทะเลตะวันตกเมื่อตอนกลางวันก็สามารถมองเห็นได้ว่าสำนักจงโจวนั้นระมัดระวังเป็นอย่างมากว่าสำนักชิงซานจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาหรือเปล่า พวกเขาน่าจะกลับไปยังสำนักจงโจวใ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ทันทีที่เข้าไปในอาณาเขตข่ายพลังเขาอวิ๋นเมิ่ง ต่อให้เป็นหลิ่วฉือและจิ๋งจิ่วที่ใต้หล้าไร้ผู้ต่อกรก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากเช่นกัน
“ข้าขุดโพรงอยู่ใต้เขาอวิ๋นเมิ่งมาเป็นเวลาหกปี รู้จักข่ายพลังเขาอวิ๋นเมิ่งเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นข้าถนัดเล่นหมากล้อมพอดี ก็เลยเขียนวิธีคลายข่ายพลังเอาไว้บางส่วน
ถงเหยียนกล่าวคำพูดที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างมากออกมา
หลิ่วฉือมองดูเขาพลางกล่าว “หากสำนักจงโจวรู้เรื่องนี้ เจ้าตายแน่นอน”
ถงเหยียนเสนอให้สำนักชิงซานไปชิงเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างมา อีกทั้งยินดีช่วยออกหัวคิดวางแผน นี่เป็นโทษที่ไม่ว่าสำนักไหนก็ไม่มีทางให้อภัย
ถึงแม้เขาจะเพิ่งทำความดีความชอบให้แก่สำนักจงโจวก็ตาม
นี่มิใช้การแสร้งทรยศ หากแต่เป็นการทรยศจริงๆ
ถงเหยียนกล่าวว่า “ข้าไม่เคยคิด”
ภายใต้แสงดาว ขนคิ้วของเขายิ่งจางลง ก็เหมือนกับความเป็นความตายที่อยู่ในสายตาของเขา
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “อย่างนั้นเจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าพวกเราจะฆ่าเจ้า?”
ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าปิดปากหรือว่าล้างแค้นเรื่องทัณฑ์สวรรค์สายนั้นก็ล้วนแต่เป็นเหตุผลที่จะใช้สังหารถงเหยียนได้
ถงเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เคยคิด แต่ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าข้าเป็นคนเล่นหมากล้อม ในสายตามีเพียงสีขาวและสีดำ นักพรตไท่ผิงสมควรตาย ข้าก็คิ ดทำทุกวิธีทางเพื่อจะสังหารเขา ส่วนพวกเจ้าชิงซานอยากจะช่วยเขา นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า ส่วนผลที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ไม่ควรให้ข้าเป็นคนแบกรับ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะคล้ายหลิ่วสือซุ่ยทีเดียว”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ดังนั้นข้าจึงร่วมมือกับเขาได้อย่างมีความสุข”
ในอดีตจิ๋งจิ่วกับไป๋เจ่าถูกลั่วไหวหนานวางแผนเล่นงานจนต้องติดอยู่ในที่ราบหิมะเป็นเวลาหกปี ถงเหยียน เจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยร่วมมือกันสังหารลั่วไหวหนาน
เรื่องที่เขาพูดย่อมหมายถึงเรื่องในอดีตตอนนั้น
นี่เป็นเรื่องในอดีตจริงๆ ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว
จิ๋งจิ่วมองหลิ่วฉือ
หลิ่วฉือมองถงเหยียน ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชม แต่กลับไม่เห็นด้วยกับคำเชิญของเขา กล่าวว่า “ข้าไม่รับ”
ถงเหยียนไม่ได้ตกใจ แล้วก็ไม่ได้ผิดหวัง เขารอคอยฟังคำพูดต่อไปอย่างเงียบๆ
หลิ่วฉือกล่าวว่า “นอกเสียจากเจ้ากับคันฉ่องฟ้ากระจ่างจะมาที่ชิงซานของข้าด้วยกัน”
ถงเหยียนครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวว่า “ตกลง”
เด็ดขาดตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่เหมือนกับนิสัยของสำนักจงโจวเลยจริงๆ
จิ๋งจิ่วคิดในใจ นี่ควรเป็นศิษย์ชิงซาน
……
……
บนท้องฟ้ายามค่ำคืน แสงดาวสาดลงมาบนดาดฟ้าเรือ เหมือนมีหิมะปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
ถงเหยียนลอยลงมาบนดาดฟ้าเรือ
หยวนฉวี่มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในใจครุ่นคิดว่าต่อให้ท่านเจ้าสำนักกับอาจารย์อาไม่ฆ่าเจ้า ข้าก็ไม่มีทางญาติดีกับเจ้า
ถงเหยียนไม่ได้สนใจเขา เดินไปนั่งขัดสมาธิลงตรงมุมหนึ่ง จากนั้นเริ่มทำสมาธิปรับลมปราณ
หิมะเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีรอยเท้า
หนานว่างลืมตาขึ้น มองดูเขาอย่างเงียบๆ
นางทราบเรื่องที่เกิดขึ้นตรงทะเลตะวันตกจากเจ้าล่าเยวี่ย หลังจากนั้นนางก็หลับตานิ่งเงียบไม่พูดอะไร ท่านทางดูคล้ายเหนื่อยล้า
นางพลันกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ฆ่าเจ้า แต่หลังจากหลิ่วฉือตายไป ข้าจะต้องฆ่าเจ้าแน่นอน”
ถงเหยียนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
ทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตต่างรู้ว่าหนานว่างนั้นถูกเหล่าศิษย์พี่ตามใจ เอาแต่ใจตัวเองไม่มีเหตุผลเป็นที่สุด อีกทั้งสถานะยังสูงส่งด้วย
นางจะทำเรื่องอะไรก็จะต้องทำให้ได้
เจ้าล่าเยวี่ยสังเกตเห็นว่าหนานว่างไม่ได้ใช้คำสุภาพเรียกขานเจ้าสำนัก กระทั่งคำว่าศิษย์พี่ก็ไม่ได้ใช้ หากแต่เรียกชื่อของเจ้าสำนักออกมาตรงๆ
สายลมไม่อาจทำให้แสงดาวขยับเขยื้อน เรือกระบี่เองก็ไม่มีใบเรือ แต่ภายในใจของคนที่อยู่บนเรือกระบี่เหล่านี้กลับรู้สึกวุ่นวายแตกต่างกันไป
กู้ชิงไม่อยู่
หยวนฉวี่ทำไม่ได้
เจ้าล่าเยวี่ยไม่รู้ว่าควรจะจัดการสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไร
ในเวลานี้เอง เสียงที่ฟังดูค่อนข้างตกใจ ค่อนข้างสงสัย ค่อนข้างตื่นเต้นเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ท่านคือถงเหยียน? ท่านก็คืออัจฉริยะของสำนักจงโจวที่วิถีหมากล้อมเป็นรองเพียงอาจารย์ของข้าน่ะหรือ? ท่านมาหาพวกข้าที่นี่ทำไม?”
ผิงหย่งเจียมองดูคิ้วบางๆ ทั้งสองข้างของเขา จากนั้นคิดถึงคนที่ตนเองได้เห็นในทะเลตะวันตกเมื่อตอนกลางวันผู้นั้น จึงรีบถามต่อว่า “ท่านจะมาเข้ากับสำนักข้าหรือ?”
เขาพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ คิ้วทั้งสองข้างเลิกขึ้นไม่หยุด ราวกับว่าจะบินหนีไปอย่างไรอย่างนั้น
ในหลายๆ ครั้ง ความนิ่งเงียบนั้นหมายถึงตื่นเต้น แต่ในหลายๆ ครั้งมันก็หมายถึงความกระอักกระอ่วน
ผิงหย่งเจียถึงได้รู้ว่าคำพูดเหล่านี้คล้ายจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไร จึงถูมือไปมาอย่างเขินๆ
ทันใดนั้นเขาพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา จึงรีบไปหยิบเอาผ้าผืนหนึ่งมาคลุมถงเหยียนเอาไว้ จากนั้นกล่าวว่า “จะให้คนอื่นเห็นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นข้ออ้างให้สำนักจงโจวได้ ห หลังกลับไปชิงซานแล้วข้าจะหาถ้ำให้ท่านซ่อนตัวสักสองสามปี แล้วค่อยเปลี่ยนโฉมให้ท่าน ตั้งชื่อใหม่ขึ้นมาสักชื่อ ถึงตอนนั้นยังจะมีใครจำท่านได้อีก?”
เมื่อเห็นภาพนี้ หยวนฉวี่รู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป เขารีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
หนานว่างส่งเสียงเหอะที่ฟังดูเยือกเย็นออกมา
เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว จึงหลับตาไม่ได้สนใจอีก
แมวขาวไซร้ไปมาอยู่ในอ้อมอกของนาง เปลี่ยนท่าทางเล็กน้อยแล้วนอนหลับต่อ ตั้งแต่ต้นจนจบมันไม่ได้ลืมตาขึ้นมา ถงเหยียนอะไรนั่น…มันขี้เกียจที่จะสนใจแล้ว
อากาศบนเรือกระบี่พลันเบาสบายขึ้นมา
ถงเหยียนนั่งคลุมผ้าอยู่ใต้แสงดาว
เขามองดูความมืดที่อยู่ตรงหน้า คิดถึงคำพูดของศิษย์ยอดเขาเสินม่อที่ไม่รู้ว่าเป็นใครผู้นี้ ก่อนจะพบว่าคำพูดนี้มีเหตุผลอยู่ไม่น้อยจริงๆ
……
……
แสงดาวที่เหมือนกัน เมื่ออยู่ในระดับความสูงที่ไม่เหมือนกัน มันก็จะสว่างแตกต่างกันออกไป อย่างเช่นแสงดาวเมื่ออยู่บนดาดฟ้าเรือกระบี่นั้นดูคล้ายหิมะ แต่เมื่ออยู่ยอดเขาบนโลกมน นุษย์กลับดูเหมือนน้ำ
น้ำทั้งใสทั้งอ่อนนุ่ม เมื่อรวมกันกลายเป็นทะเลสาบและมหาสมุทร มันก็จะเปิดกว้างยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้ นี่คือสิ่งที่คนจำนวนมากใช้นิยามนักพรตหลิ่วฉือ
แต่ท่าทีที่เขามีต่อถงเหยียนนั้นมิได้มีความเกี่ยวข้องกับความคิดของเขา หากแต่เป็นเพราะเขารู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายในบางเรื่อง
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ฟังดูแล้วคำวิจารณ์ที่เขามีต่อสือซุ่ยนั้นไม่เลวทีเดียว”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเป็นคนเลี้ยงดูชี้แนะสือซุ่ย”
ความหมายของคำพูดประโยคนี้ก็คือย่อมต้องไม่เลว จะต้องไม่เลว
หลิ่วฉือลูบหนวดเบาๆ ดูค่อนข้างพึงพอใจ กล่าวถามว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลหลิ่วคือลูกหลานของข้า?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าห่วงใยศิษย์หลาน”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “แต่ในตอนที่ท่านกลับชิงซาน ท่านกลับไปแจ้งยอดเขาซั่งเต๋อก่อน”
เมื่อหลายปีก่อน อาจารย์หลี่ว์ซึ่งเป็นศิษย์ชองยอดเขาซั่งเต๋อได้ทราบข่าวหนึ่ง จึงเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เพื่อจะไปรับเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าหลิ่วสือซุ่ยกลับไป
จากนั้นเขามองเห็นเด็กหนุ่มชุดสีขาวที่อยู่บนเก้าอี้ไม่ไผ่ริมสระน้ำ
หลิ่วฉือหมายถึงเรื่องนี้
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ในอดีตข้าเติบโตมาจากยอดเขาซั่งเต๋อ มีปัญหาอะไร?”
หลิ่วฉือคิดในใจว่าหากว่ากันแบบนี้ ข้าเองก็เติบโตมาจากยอดเขาซั่งเต๋อเช่นกัน แล้วจะคุยกันอย่างไร?
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตอนที่หลิ่วสือซุ่ยเกิดเรื่อง ข้าให้พวกลิงไปแจ้งเจ้าก่อน”
นี่หมายถึงเรื่องที่หลิ่วฉือซุ่ยกลืนตานปีศาจในแม่น้ำจั๋ว ก่อนจะถูกจับไปขังในคุกกระบี่
ในช่วงเวลาสามสิบปีที่ผ่านมามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมากมายนัก
กู้ชิงและวานรพูดไม่หยุด หยวนฉวี่วิ่งขึ้นไปบนยอดเขาซั่งเต๋อไม่หยุด เรื่องราวที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลัง คืนนี้ได้เปิดเผยออกมาจนหมด
“ท่านมักจะบอกว่าข้าทำอะไรไม่เด็ดขาด ประเดี๋ยวเป็นแบบนี้ ประเดี๋ยวเป็นแบบนั้น ท่านก็เป็นเหมือนกันมิใช่หรือ?”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ประเดี๋ยวท่านก็ลองใจศิษย์พี่ ประเดี๋ยวก็ลองใจข้า ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมเชื่อใจ ท่านทำแบบนี้ไม่ได้”
จิ๋งจิ่วมองดูเรือกระบี่ที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน กล่าวว่า “ข้าเพียงแค่ไม่เชื่อใจพวกเจ้า”
เขาไม่เคยคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงมาก่อน แต่ในชีวิตนี้เขากลับมีคนที่อยู่ข้างกายและควรค่าแก่การเชื่อใจเพิ่มขึ้นมาสามสี่คน
คนหรือว่าแมวสามสี่คนนั้นอยู่ในเรือกระบี่ที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนลำนั้น มีเพียงกู้ชิงและหลิ่วสือซุ่ยที่ไม่อยู่
ถึงแม้คืนนี้จะเป็นการ ‘กลับมาพบกันใหม่หลังจากกันไปนาน’ ครั้งแรกอย่างแท้จริง แต่คนอย่างจิ๋งจิ่วกับหลิ่วฉือก็ไม่มีทางที่จะมาพร่ำพรรณนาถึงวันเก่าๆ อย่างคนธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นเว วลาของพวกเขาก็ยังเหลือไม่มาก ในขณะที่พูดคุยเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็กำลังดูแผนที่และวิธีคลายข่ายพลังที่ถงเหยียนทิ้งเอาไว้ให้ พร้อมทำการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย
เมื่อทำเรื่องเหล่านี้จบ ก็ถึงเวลาที่ต้องแยกจากกัน
ชิงซานถล่มซีไห่ เรือกระบี่สิบเจ็ดลำออกเดินทางพร้อมกัน นั่นเป็นเพราะวิถีกระบี่ของชิงซานสง่าผ่าเผยเช่นนี้
แต่ครั้งนี้เป็นการไปขโมยของ ย่อมต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่อาจนั่งเรือกระบี่ไปได้
หลิ่วฉือมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างจริงใจว่า “เมฆกระบี่ช้าเกินไป”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “อย่าได้คิด”
ในขณะที่พูด กระบี่คมจักรวาลก็ลอยออกมาแล้ว มันลอยอยู่นิ่งๆ ในท้องฟ้ายามค่ำคืนด้านนอกหน้าผา รอคอยทั้งสองคน
หลิ่วฉือมองดูกระบี่คมจักรวาล ก่อนกล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “ตอนนั้นข้าเคยบอกแล้วว่ากระบี่นี่มันสกปรกเกินไป”
จิ๋งจิ่วไม่สนใจเขา นั่งลงตรงด้านหน้ากระบี่คมจักรวาล
เจ้าจะนั่งไม่นั่ง
หลิ่วฉือได้แต่ต้องนั่งลงไป
กระบี่คมจักรวาลแหวกอากาศพุ่งออกไป บินไปยังเขาอวิ๋นเมิ่ง
จิ๋งจิ่วหลับตานั่งลงตรงด้านหน้า
หลิ่วฉือนั่งเอียงๆ อยู่ด้านหลัง ขายาวๆ ทั้งสองข้างแกว่งไปมาอยู่ท่ามกลางแสงดาว
แสงดาวเหมือนสายน้ำ
เขาก็เหมือนเด็กน้อยที่เล่นน้ำ
……
……
ในช่วงเวลาที่แสงแรกยามเช้าปรากฏขึ้นมา หมอกยามเช้าเองก็หนาที่สุดเช่นกัน
ภายในเขาอวิ๋นเมิ่งเต็มไปด้วยไอหมอก บดบังสายตาผู้คน ในตอนที่แสงอาทิตย์ส่องทะลุลงมา ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันได้ง่าย
ไอหมอกปั่นป่วนเล็กน้อย ชิงเอ๋อร์กระพือปีกใสๆ ของตน เหลียวหน้ากลับไปมองดูหุบเขาที่สวยงาม ในดวงตามีหยดน้ำตา คล้ายกับหยดน้ำค้างที่อยู่บนใบไม้
ที่นี่คือสถานที่ที่นางใช้ชีวิตมาทั้งชีวิต กระทั่งตัวนางเองก็จำไม่ได้แล้วว่าผ่านมาแล้วกี่หมื่นปี
แต่ความรู้สึกเจ็บปวดในเวลานี้มิได้เป็นเพราะความกังวลที่ต้องจากบ้านเกิดไป หากแต่เป็นเพราะเศร้าใจเรื่องอื่น
“เขา…จะตายหรือเปล่า?”
หลิ่วฉือกับจิ๋งจิ่วไม่ได้บอกนางว่าถงเหยียนไปที่ชิงซานแล้ว
คนที่รู้เรื่องนี้ยิ่งน้อยยิ่งดี โดยเฉพาะเด็กน้อยที่ทั้งบริสุทธิ์และหลอกง่ายเหมือนอย่างชิงเอ๋อร์
จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร เดินมือไพล่หลังไปข้างหน้า ยิ่งเดินยิ่งเร็ว คล้ายชาวนาที่กำลังรีบขึ้นไปดูพืชผลของตนเองที่อยู่บนภูเขา
หลิ่วฉือยื่นมือขวาออกไป ให้ชิงเอ๋อร์หยุดอยู่บนมือพลางกล่าวถามว่า “เจ้าไม่โทษเขาใช่ไหม?”
“โทษ…” ชิงเอ๋อร์หลั่งน้ำตา กล่าวว่า “แต่เขาจะไม่ตายใช่ไหม?”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ไม่ตาย”
ชิงเอ๋อร์ใช้มือเล็กๆ เช็ดน้ำตาของตัวเอง เดินไปนั่งบนไหล่ของหลิ่วฉือ ไม่ได้พูดอะไรอีก
ที่นี่ยังอยู่ในอาณาเขตของเขาอวิ๋นเมิ่ง ถึงแม้จะมาถึงตรงริมเขตแดนแล้ว แต่หากให้สำนักจงโจวพบเห็นเข้ามันก็ยังอันตรายอย่างมาก
ดังนั้นนางควรจะรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร อย่าได้สร้างปัญหาให้ท่านเซียนผู้นี้เพิ่ม
นางคิดเช่นนี้
ส่วนจิ๋งจิ่ว ตอนนี้นางยังไม่อยากพูดกับเขา
ฝ่าสายลมและสายหมอกออกเดินทาง ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไร ในที่สุดก็ออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง
กระบี่คมจักรวาลแหวกอากาศบินขึ้นไป ในที่สุดหลิ่วฉือก็โล่งใจ
จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจ ขอเพียงได้คันฉ่องฟ้ากระจ่างมา เป้าหมายก็เท่ากับบรรลุ ต่อให้นักพรตถานกับนักพรตไป๋หรือว่าฉีหลินมาพบพวกเขาเข้า อย่างมากก็แค่สู้กัน หรือว่าพวกเขาจะสู้เจ้าได้? ต่อให้เป็นข่ายพลังเขาอวิ๋นเมิ่งก็ไม่แน่ว่าจะขังพวกเราเอาไว้ได้ เจ้ากลัวอะไร?
“เป็นขโมยครั้งแรก ย่อมต้องตื่นเต้นกันบ้าง” หลิ่วฉือกล่าวอธิบาย
“ข้าเองก็ไม่เคยเป็นขโมย” จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “เมื่อหลายปีก่อนเคยหยิบเอาหมวกลี่เม่าใบหนึ่งมาจากในเมืองซางโจวกับล่าเยวี่ย ไม่ได้ให้เงิน แบบนี้นับหรือไม่?”
หลิ่วฉือกล่าวว่า หยิบโดยไม่ถาม ย่อมต้องเป็นขโมย”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “อย่างนั้นข้ามีประสบการณ์มากกว่าเจ้า”
การเดินทางไปยังเขาอวิ๋นเมิ่งครั้งนี้ดูเหมือนง่ายดาย แต่ความจริงกลับมิได้เป็นเช่นนั้น
มาขโมยของวิเศษชั้นสวรรค์ที่อยู่ภายในข่ายพลังอวิ๋นเมิ่งของสำนักจงโจว
ต่อให้มีถงเหยียนช่วยเหลือ แต่ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ไปจนถึงเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ก็คงจะมีเพียงหลิ่วฉือและตัวเขาในตอนนี้เท่านั้นที่ทำได้
ในที่สุดพระอาทิตย์สีแดงก็ลอยมาอยู่เหนือทะเลเมฆ อบอุ่นจนทำให้รู้สึกสบาย
หลิ่วฉือคิดในใจว่าไม่ง่ายเลยที่จะได้ออกมาข้างนอก อย่างไรก็ต้องไปสักหลายที่หน่อย จึงกล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “พวกเราไปถล่มสำนักเสวียนอินกันเถอะ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เอาสิ”