มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 79 ท่องเที่ยว
ในขณะเดียวกับที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้จิ่งเหยาเป็นรัชทายาท พระองค์ก็ยังได้มีพระราชโองการออกมาอีกฉบับหนึ่ง
เจ้ากรมชิงเทียนจางอี๋อ้าย รับพระราชโองการไปสืบคดีที่เจ้าล่าเยวี่ยถูกลอบสังหารด้านนอกเมืองหลวงเมื่อในอดีต สุดท้ายสืบไปถึงตำหนักองค์ชายจิ่งซิน
—-ที่แท้เป็นองค์ชายจิ่งซินจ้างวานนักฆ่าของปู้เหล่านั้นให้ทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้
ความจริงทุกคนต่างรู้เรื่องนี้กันมานานแล้ว แต่ในที่สุดครั้งนี้ราชสำนักก็เปิดเผยเรื่องนี้ออกมา อีกทั้งยังเอาหลักฐานที่ไม่รู้ว่าเป็นหลักฐานจริงหรือเท็จออกมา ดังนั้นองค์ชาย จิ่งซินจึงไม่อาจอยู่ที่ตำหนักองค์ชายต่อไปได้อีก ถึงหน้าจะเป็นการกักขังก็ต้องเปลี่ยนสถานที่
องค์ชายจิ่งซินถูกส่งไปยังวัดกั่วเฉิง ปลงผมกลายเป็นพระ คอยสวดมนต์ภาวนาแทนฮ่องเต้พระองค์ก่อน
พระราชโองการสองฉบับนั้นทำให้ใต้หล้าต่างพากันแตกตื่น ทุกคนต่างรู้ว่าองค์ชายจิ่งเหยาคือศิษย์ของชิงซาน ส่วนเบื้องหลังขององค์ชายจิ่งซินนั้นมีสำนักจงโจวอยู่ ทั้งสองฝ่ายแอบต ต่อสู้กันในราชสำนักมาอย่างเงียบๆ เป็นเวลาหลายปี พระราชโองการสองฉบับนี้มิเท่ากับเป็นการตบหน้าสำนักจงโจวหรอกหรือ? ผู้นำแห่งฝ่ายธรรมะทั้งสองสำนักจะเปิดสงครามกันเพราะตำแหน่งฮ่อ องเต้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?
ในเวลานี้เอง ภายในเขาอวิ๋นเมิ่งก็ได้ถ่ายทอดคำสั่งของนักพรตถานออกมา —- เขาอวิ๋นเมิ่งปิดเขาเป็นเวลาสามปี
เมื่อหลายปีก่อนสำนักอู๋เอินเหมินประกาศปิดสำนัก เป็นเพราะว่าเผยไป๋ฟ่าตายด้วยน้ำมือของเทพกระบี่ซีไห่ สำนักไม่มียอดคนขั้นทะลวงสวรรค์คอยคุ้มครอง จึงได้แต่ต้องปิดสำนักปกป้อง ตัวเอง
หลายปีมานี้สำนักจงโจวประสบปัญหาหลายอย่าง แต่นักพรตถานและนักพรตไป๋ยังคงยืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลก รากฐานและกำลังของสำนักยังคงแข็งแกร่ง เหตุใดจู่ๆ ถึงทำเช่นนี้?
อวิ๋นเมิ่งปิดเขา เหล่าขุนนางฝ่ายสำนักจงโจวที่คอยสนับองค์ชายจิ่งซินเหล่านั้นไร้ซึ่งคนนำ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร อีกทั้งเรือนอี้เหมาที่มีอัครมหาเสนาบดีเป็นตัวแทนก็มีท่าทีน นิ่งเงียบอย่างแปลกๆ พระราชโองการสองฉบับนี้ประกาศออกมาสู่ใต้หล้าอย่างราบรื่น โดยไม่ถูกทักท้วงใดๆ
ที่สถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ ล้วนเป็นเพราะลำแสงกระบี่สายนั้น
ลำแสงกระบี่ที่ฉวัดเฉวียนไปในใต้หล้าสายนั้น ไม่มีใครที่จะขัดขวางได้ ถึงขนาดที่ว่าไม่มีใครกล้าที่จะมองมัน
ว่ากันว่าฉีหลินที่เป็นสัตว์เทพของสำนักจงโจวเคยมองลำแสงกระบี่สายนั้นอยู่ไกลๆ ผลสุดท้ายเกือบจะเกิดเรื่อง
นักพรตหลิ่วฉือในตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงเวลาพันปีที่ผ่านมา สามารถจัดอยู่ในสามอันดับแรกของเจ้าสำนักชิงซานที่แข็งแกร่งที่สุดได้
สิ่งที่ทุกคนไม่เข้าใจก็คือเขามาถึงสภาวะขั้นนี้แล้ว เหตุใดถึงยังไม่บรรลุเป็นเซียนอีก?
……
……
เสียงคลื่นของทะเลตะวันออกไม่เหมือนกับเสียงคลื่นของทะเลตะวันตก
ขบวนรถจากเมืองเจาเกอขบวนหนึ่งมาถึงมั่วชิว แต่รั้งอยู่เพียงไม่นานก็ออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าไปยังสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยที่อยู่ริมทะเล
สายตาของจิ๋งจิ่วเลื่อนตามขบวนรถเข้าไปในสำนักแม่ชี ก่อนจะดึงสายตากลับมา
“กระอักกระอ่วนเหมือนกันนะเนี่ย” หลิ่วฉือกล่าว
องค์ชายจิ่งซินอยู่ในขบวนรถขบวนนั้น
พระราชโองการของฮ่องเต้คือให้เขาโกนผมบวชเป็นพระอยู่ที่วัดกั่วเฉิง หลังจากนี้สวดมนต์ฟังธรรมะอยู่หน้าพระพุทธรูปและธูปเทียน แต่คิดไม่ถึงว่าวัดกั่วเฉิงกลับไม่ยอมรับ
วัดกั่วเฉิงมีสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับราชวงศ์จิ่ง แต่ทางวัดกลับทำแบบนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าฉานจึโกรธเรื่องที่หลิ่วฉือปล่อยนักพรตไท่ผิงไปอย่างมาก
ที่หลิ่วฉือพูดว่ากระอักกระอ่วนนั้นหมายถึงเรื่องที่จิ่งซินถูกบีบให้ต้องไปออกบวชที่สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย แล้วก็รู้สึกอับอายต่อฉานจึ
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ออกบวชมิใช่ตาย ยังไงก็ต้องมีปัญหา”
พระราชโองการได้ประกาศออกมาแล้ว เชื่อว่าหลังจากนี้อีกหลายปี จิ่งเหยาจะต้องกลายเป็นรัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวในใจ ของประชาชนทั่วทั้งใต้หล้า แต่ปัญหาก็คือเมื่อถึงวันนั้น สำนักจง งโจวจะต้องทำอะไรบางอย่างแน่ ขอเพียงจิ่งซินยังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องถูกคนเหล่านั้นผลักดันออกมาอย่างแน่นอน
หลิ่วฉือรู้ว่าเรื่องความสัมพันธ์พ่อลูกแบบนี้ไม่สามารถอธิบายให้จิ๋งจิ่วเข้าใจได้ จึงเดินไปริมผา มองลงไปยังด้านล่างของหุบเหวลึก พลางกล่าวว่า “ด้านนั้นข้ายังไม่เคยไป”
ที่นี่คือบ่อผ่านฟ้าที่อยู่ริมทะเลตะวันออก กระโดดลงก็จะเป็นดินแดนหมิง หากเจ้าไม่ตายล่ะก็นะ
ดินแดนหมิงนั้นหมายถึงความมืดมิดที่เย็นยะเยือก มิใช่สถานที่ที่ดวงวิญญาณจะเดินทางไปเหมือนอย่างที่ว่าไว้ในตำนาน ดวงวิญญาณเมื่อตายไปแล้วไม่มีทางไปที่นั่น แต่ก็ไม่รู้ว่าดวงวิญญาณ เหล่านั้นจะเดินทางไปที่ไหน
การแสวงหาของผู้บำเพ็ญพรตไม่มีทางสัมผัสกับปัญหานี้
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “สถานที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แล้วก็ไม่มีทิวทัศน์อะไร ไม่ไปก็ไม่เป็นไร”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “อย่างนั้นยังมีอีกที่หนึ่งที่ควรไปดูหน่อย”
เขาหมายถึงที่ราบหิมะ ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตระดับสูงสุดของแผ่นดินเฉาเทียนอยู่ เป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ใจเย็น”
……
……
ออกมาจากริมบ่อผ่านฟ้า มาถึงด้านบนเมฆเหนือทะเลตะวันออก หลิ่วฉือยังคงไม่ล้มเลิกความคิดนั้น
กระบี่สุดท้ายไปตกลงบนที่ราบหิมะ สำหรับผู้บำเพ็ญพรตของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว นี่ถือเป็นบทสรุปที่งดงามที่สุด
เขากล่าวว่า “ดาบของเฉาหยวนดาบนั้นท่านก็ได้เห็นแล้ว หากเขาช่วยพวกเรา มันอาจจะสำเร็จก็เป็นได้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่ได้”
หลิ่วฉือถอนใจ กล่าวว่า “อย่างนั้นข้าไปล่ะ”
เขาเตรียมจะเดินทางออกไปจากแผ่นดินเฉาเทียน ไปท่องเที่ยวยังแผ่นดินแปลกหน้าเหล่านั้นเสียหน่อย
ส่วนสถานการณ์บนแผ่นดินเฉาเทียน ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่มีใครกล้าที่จะทำอะไร จะอยู่หรือไม่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกัน
วันไหนที่เขาจากไปจริงๆ แผ่นดินเฉาเทียนจะต้องรู้อย่างแน่นอน
จิ่งจิ่วมองดูเมฆสีขาวที่อยู่ใต้เท้าเขา กล่าวว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าไม่เอากระบี่คมจักรวาลไปด้วย?”
การจะฝึกกระบี่ให้เป็นกระบี่บินของตนนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก แต่การจะให้กระบี่บินเปลี่ยนมือในระหว่างที่ทำการฝึกกระบี่อยู่นั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากยิ่งกว่า มีเพียง จิ๋งจิ่วที่เป็นกรณีพิเศษที่มีวิธีที่เอากระบี่ของตัวเองให้คนอื่นใช้ แล้วก็สามารถเอากระบี่ของคนอื่นมาใช้ได้ อย่างเช่นกระบี่มิคำนึง ตอนนี้น่าจะถือได้ว่าเป็นกระบี่ที่เขาและเจ้ าล่าเยวี่ยใช้ร่วมกัน
ชั่วชีวิตนี้ของหลิ่วฉือฝึกกระบี่เพียงแค่เล่มเดียว จนสุดท้ายเมื่อไม่กี่วันมานี้เพิ่งจะได้ใช้มัน แต่แน่นอนว่าใช้ได้คล่องมืออย่างมาก เขากล่าวถามว่า “ท่านแน่ใจนะว่าจะไม่ไปเป ป็นเพื่อนข้า?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “สถานที่พวกนั้นข้าเคยไปมาแล้ว น่าเบื่อ”
สำหรับหลายๆ คนแล้ว การเดินทางนั้นถือเป็นเรื่องที่มีความสุข สำหรับเขาแล้ว การเดินทางไปครั้งแรกอาจจะมีความรู้สึกแปลกใหม่อยู่บ้าง แต่เมื่อเคยไปมาแล้ว การเดินทางไปอีกครั้งถือเป ป็นเรื่องที่เสียเวลา
จิ๋งจิ่วมองดูใต้เท้าเขา ทนไม่ไหวกล่าวขึ้นมาว่า “เมฆกระบี่ช้าจริงๆ นะ”
หลิ่วฉือโมโหเล็กน้อย กล่าวว่า “จะไปท่องเที่ยวก็ต้องขี่เมฆไปสิ ท่านเข้าใจหรือเปล่านี่!”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็ขี่เมฆทะยานออกไป มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของทะเลตะวันออก
แสงอาทิตย์สาดส่องลงบนเมฆ ขอบของก้อนเมฆกลายเป็นสีทอง
ชิงเอ่อร์บินออกมา ก่อนจะบินลงไปบนหัวไหล่ของหลิ่วฉือ ชี้ไปยังขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกล ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่
จิ๋งจิ่วมองดูอย่างเงียบๆ จนกระทั่งเมฆก้อนนั้นหายลับไปในขอบฟ้า เขาถึงจะหมุนตัวเดินออกมา
……
……
จิ๋งจิ่วแวะไปยังสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเยี่ยมกั้วตงที่ยังนอนหลับ ก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปยังชิงซานโดยไม่ได้ไปหาจิ่งซิน แล้วก็ไม่ได้ไปวัดกั่วเฉิง
ลำแสงกระบี่ที่เย็นยะเยือกส่องสว่างยอดเขาเสินม่อ คนสามคนและแมวหนึ่งตัวออกมาต้อนรับ
กู้ชิงรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ คิดอยากจะกลับมา แต่เนื่องจากจิ่งเหยาเพิ่งจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท ภายในเมืองเจาเกอมีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ เจ้าล่าเยวี่ยจึงไม่เห็นด้ว วยที่จะให้เขากลับมา
หยวนฉวี่และผิงหย่งเจียคารวะ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตำหนักอย่างรู้งาน
กู้ชิงไม่อยู่ แต่กฎที่ตั้งเอาไว้ยังอยู่ — ตอนที่อาจารย์ทั้งสองอยากจะพูดคุยกัน เหล่าลูกศิษย์ต้องถอยออกมาให้ไกลหน่อย
แมวขาวมิใช่ลูกศิษย์ อีกทั้งมันยังคิดว่าครั้งนี้ตัวเองพอจะสร้างผลงานได้บ้าง มันจึงไม่ได้หลบออกไป หากแต่ไปฟุบหมอบอยู่ริมผา ใบหูตั้งขึ้นมาเตรียมฟังเรื่องสนุก
ตอนนี้เก้าอี้ไม้ไผ่เอาไปให้เสวี่ยจีใช้อยู่ เก้าอี้ตัวใหม่ที่หลิ่วสือซุ่ยรับปากว่าจะทำให้ยังไม่ได้ส่งมา ตอนนี้จิ๋งจิ่วขี้เกียจที่จะทำอะไร จึงนั่งลงไปริมผา
อาจจะเป็นเพราะเห็นหลิ่วฉือนั่งแบบนี้มาหลายครั้ง
เพียงแต่ขาของเขาไม่ได้ยาวเหมือนอย่างหลิ่วฉือ จึงทำได้เพียงเหยียบไปบนทะเลเมฆ ไม่สามารถยื่นส่งไปกวนให้เกิดเกลียวคลื่นได้
เจ้าล่าเยวี่ยนั่งลงข้างกายเขา
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ผีตัวนั้นคือหลิ่วฉือ”
ตอนที่อยู่ในทะเลตะวันตก หลิ่วฉือยืนอยู่ตรงหน้านักพรตไท่ผิง ใช้ฝ่ามือปิดฟ้า รับสายฟ้าเหล่านั้นเอาไว้
ในตอนนั้นเจ้าล่าเยวี่ยก็คาดเดาคำตอบได้แล้ว นางกล่าวถามว่า “เจ้าสำนักสนับสนุนนักพรตไท่ผิง?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่ กระทั่งลูกน้องที่ภักดีต่อเขามากที่สุดก็มิได้สนับสนุนเขาจริงๆ รวมไปถึงคนของเผ่าหมิงด้วย เพราะเขาเป็นบ้า”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวถามว่า “นักพรตไท่ผิงอยากจะทำอะไรกันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เขาอยากจะฆ่าคนธรรมดาทั้งหมด สร้างโลกที่มีแต่ผู้บำเพ็ญพรตขึ้นมา”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
นางเคยคาดเดามาหลายต่อหลายครั้งว่านักพรตไท่ผิงอยากจะทำเรื่องชั่วช้าอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้ทั่วทั้งโลกไม่ยอมรับเขา แต่นางกลับคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นความคิดที่แปลกประหลาด ชั่วร้าย หรือเรียกได้ว่าเหลวไหลถึงเพียงนี้
ภายในพระราชวังเมืองเจาเกอเมื่อหลายวันก่อน ฮ่องเต้ก็ได้มีบทสนทนาทำนองนี้กับพระสนมหู ปฏิกิริยาของพระสนมหูในตอนนั้นคือมันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่เจ้าล่าเยวี่ยไม่ได้กล่าวประโยค นี้ออกมา เพราะนางรู้ดีว่าหากสำนักบำเพ็ญพรตคุ้มคลั่งขึ้นมาจริงๆ พวกเขาสามารถสังหารคนธรรมดาทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย แต่ปัญหาก็คือ…เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้? ผู้ที่ถือกำเนิดขึ้น นมาเป็นผู้บำเพ็ญพรตนั้นมีแค่หนึ่งในพันลี้หรือว่าหนึ่งในหมื่นลี้ ถ้าหากเผ่าพันธุ์มนุษย์มีจำนวนประชากรไม่มากพอ แล้วจะทำให้โลกแห่งการบำเพ็ญพรตคงอยู่ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น หากสังหารคนธรรมดาจนหมด อย่างนั้นมิเท่ากับเป็นการทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์หรอกหรือ?
นอกจากปัญหาที่สำคัญที่สุดนี้แล้ว มันยังมีปัญหาบางอย่างที่เจ้าล่าเยวี่ยมองว่าเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้เช่นกัน นางกล่าวว่า “ท่านเคยบอกว่าโลกแห่งการบำเพ็ญพรตถูกคนธรรมดา ค้ำจุนเอาไว้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เขาไม่ได้คิดเช่นนี้ เขาคิดว่าไม่ใช่คนธรรมดาที่ค้ำจุนผู้บำเพ็ญพรต หากแต่เป็นผู้บำเพ็ญพรตที่ให้งานคนธรรมดาทำ เลี้ยงดูพวกเขาเอาไว้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “หากไม่มีคนธรรมดา ใครจะทำนา ขุดเหมือง เก็บไข่มุก ใครจะหาทรัพยากรที่จำเป็นมาให้ผู้บำเพ็ญพรต?”
จิ๋งจิ่วมองดูนาง
หากไม่มีคนฆ่าหมู เจ้ายังจะกินเนื้ออยู่หรือไม่?
หากไม่มีข้าวกิน เจ้ายังจะกินเนื้อบดหรือไม่?
เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าตนเองคิดผิดแล้ว
ก็เหมือนอย่างผู้บำเพ็ญพรตทุกคนที่เคยชินกับการให้คนธรรมดาเลี้ยงดู จึงมองว่าเรื่องนี้มันจะต้องกลายเป็นอย่างที่เจ้าล่าเยวี่ยคิด
หากไม่มีคนธรรมดา ผู้บำเพ็ญพรตก็ยังสามารถทำนา ขุดเหมือง เก็บไข่มุก ปลูกสมุนไพรได้
ยิ่งไปกว่านั้นผู้บำเพ็ญพรตยังสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะต้องทำได้ดีกว่าคนธรรมดาอย่างแน่นอน
เพียงแต่ยังมีปัญหาอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือผู้บำเพ็ญพรตส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองสูงส่ง หยิ่งทะนงในตัวเอง ทุกคนล้วนแต่มุ่งแสวงหาธรรมวิถี แล้วพวกเขาจะยอมมาทำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร ?
“ชาวนาเพราะยินดีไปทำนาจึงไปทำนาหรือ? คนงานเหมืองเพราะชอบใต้ดินที่มืดมิดจึงไปขุดเหมืองหรือ? หญิงสาวริมทะเล…”
จิ๋งจิ่วคิดถึงหลิ่วฉือขึ้นมา เขาไม่ได้กล่าวต่อไป แต่ความหมายชัดเจน
ต่อให้ผู้บำเพ็ญพรตไม่อยากทำ มันก็จะมีพลังที่มองไม่เห็นบางอย่างมาบีบให้พวกเขาต้องไปทำ
พลังสายนั้นมาจากความหวาดกลัวต่อความตาย มาจากความต้องการของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจแล้ว
นั่นจะกลายเป็นโลกใบใหม่ แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันมิได้ต่างอะไรกับโลกใบเก่า
ผู้บำเพ็ญพรตจะมีสถานะที่แตกต่างกันไปในโลกนั้นตามพรสวรรค์และสภาวะของตนเอง
ยังคงแบ่งเป็นชั้นๆ
ยังคงหันดาบไปทางผู้ที่อ่อนแอกว่า
สิ่งที่โลกใบใหม่แตกต่างกับโลกในตอนนี้ น่าจะเป็นคนที่อยู่ในระดับชั้นต่ำสุดในโลกใบใหม่เหล่านั้นมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าคนในระดับชั้นต่ำสุดของโลกตอนนี้
แต่หากเป็นแบบนี้ อย่างน้อยพลังของโลกใบใหม่ก็จะเหนือกว่าโลกในตอนนี้อย่างมาก
เจ้าล่าเยวี่ยพลันกล่าวขึ้นมาว่า “ผู้บำเพ็ญพรตน้อยเกินไป”
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนมีพลัง แต่ความจริงแล้วกลับค่อนข้างไร้พลัง
จิ๋งจิ่วรู้ว่าตัวนางเองก็มีคำตอบแล้ว แต่เขายังคงพูดว่า “ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเรื่องที่ผู้บำเพ็ญพรตควรจะทำมากที่สุดก็คือมีลูก”
ในอดีตเขาเคยพูดกับเจ้าล่าเยวี่ยเอาไว้ว่า ถ้าหากมิเป็นเพราะนักพรตไท่ผิงไม่สามารถยอมรับเรื่องที่จะมีสายเลือดที่คล้ายตัวเองปรากฏขึ้นมาบนโลกได้ เขาคงจะมีลูกไปทั่วทั้งใต้หล ล้าแล้ว
เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงอีกปัญหาหนึ่งขึ้นมา ถ้าหากผู้บำเพ็ญพรตจับคู่กันเป็นคู่รักบำเพ็ญพรต ลูกหลานที่เกิดมาส่วนใหญ่ก็จะมีใจแห่งเต๋า มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญพรต แต่มันก็จะต้องมีเด็ก ส่วนหนึ่งที่เกิดมาเป็นคนธรรมดาอย่างแน่นอน เช่นนั้นลูกหลานที่ไม่สามารถบำเพ็ญพรตได้เหล่านั้นจะทำอย่างไร? หรือว่าฆ่าทิ้งทั้งหมด? การคาดคะเนอันนี้ทำให้นางรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา รู้สึ กไม่สบายเป็นอย่างยิ่ง
นั่นเป็นเรื่องที่สำนักวิถีมาร หรือกระทั่งนิกายเสวี่ยหมัวก็ยังไม่มีทางทำ
มิน่าทุกคนถึงอยากให้ไท่ผิงตาย
“เขาคิดว่านี่เป็นค่าตอบแทนที่สมควรจะแลกเพื่อการวิวัฒนาการ ถึงแม้ผู้บำเพ็ญพรตจะมาจากคนธรรมดา แต่พวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากคนธรรมดาอย่างสิ้นเชิง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ถ้าหากผู้บำเพ็ญพรตอยากจะเดินไปให้ไกลยิ่งขึ้น ก็ควรจะสลัดภาระและช่วงเวลาเก่าๆ ทิ้งไป”
เจ้าล่าเยวี่ยดึงขาทั้งสองข้างกลับมา นางนั่งกอดเข่าพลางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “แต่ว่าโลกกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ต่อให้โลกของผู้บำเพ็ญพรตจะแข็งแกร่งแค่ไหน ต่อให้ยึดแผ่นดินแปลกหน้า าเอาไว้ได้ แล้วมันจะความหมายอะไร? ในเมื่อไม่มีความหมาย เหตุใดเขาถึงต้องดึงดันที่จะทำให้โลกของพวกเราแข็งแกร่งขึ้นด้วย?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เพราะในสายตาของเขามันไม่ได้มีแค่โลกของพวกเราใบนี้”
เจ้าล่าเยวี่ยมองตามสายตาของเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า
ภาพก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าตกกระทบลงมาในม่านตาของนาง เกิดเป็นเงาจางๆ ชั้นหนึ่ง