มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 80 เจตน์จำนงนอกกระบี่
เหนือท้องฟ้าขึ้นไป ยังมีอีกโลกหนึ่ง
สิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินมีการคาดเดาต่อโลกนั้นมากมายนับไม่ถ้วน จากนั้นค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา
พันปีถึงจะมีผู้บรรลุกลายเป็นเซียนสักคนหนึ่ง ต่อให้เคยมีคนพยายามจะก้าวข้ามไป แต่จะทนได้นานเท่าไร
อีกฟากหนึ่งที่ไม่มีวันก้าวข้ามไปถึง มาตรว่าเป็นดินแดนเซียน ไยต้องสนใจด้วย?
แต่สำหรับผู้บำเพ็ญพรตอัจฉริยะที่มีการบรรลุกลายเป็นเซียนเป็นเป้าหมายอย่างเจ้าล่าเยวี่ยแล้ว พวกเขาย่อมต้องครุ่นคิดว่าอีกฟากหนึ่งนั้นมีอะไร
และนี่ก็เป็นสิ่งที่นางไม่สามารถเข้าใจนักพรตไท่ผิงได้
เป้าหมายของการบำเพ็ญพรตคือเป็นอมตะ บรรลุกลายเป็นเซียน คนที่ยอดเยี่ยมเหมือนอย่างเขา เหตุใดถึงเอาแต่ใจจดใจจ่ออยู่กับโลก?
“เขามีความตื่นตัวต่ออันตรายที่รุนแรง คิดว่าในโลกนั้นเต็มไปด้วยการแก่งแย่งและอันตราย นอกจากนี้เขายังมีความรับผิดชอบอย่างมาก คิดว่าตัวเองควรจะนำทั้งโลกก้าวเดินไปข้างหน้า ดังน นั้นเป้าหมายของเขาจึงแตกต่างจากผู้บำเพ็ญพรตคนอื่น”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เขาอยากจะทำลายกฎเกณฑ์ของโลก นำพาผู้บำเพ็ญพรตทุกคนออกไปจากโลกนี้ด้วยกัน”
ในดวงตาของเจ้าล่าเยวี่ยมีภาพที่ยิ่งใหญ่ตระการตาปรากฏขึ้นมา นางนิ่งเงียบไปด้วยความตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะกล่าวขึ้นมาเบาๆ ว่า “ทุกคนบรรลุกลายเป็นเซียนอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง ดูเผินๆ แล้วนี่คล้ายกับที่สำนักฌานบอกว่าทุกคนสามารถกลายเป็นอรหันต์ได้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เขาเคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดกั่วเฉิง ความรู้ทางธรรมลึกซึ้ง อาจจะได้รับอิทธิพลมาบ้าง”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “ท่านคิดว่า…สิ่งที่เขาคิดมันไม่มีทางเป็นจริงได้?”
จิ๋งจิ่วกล่าวตรงๆ ว่า “ข้าไม่รู้ ข้าเพียงแต่ไม่ชอบเรื่องที่เขาทำเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของตนเองเหล่านั้น”
ในชีวิตก่อนหน้านี้เขาเอาแต่เก็บตัวอยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อกับยอดเขาเสินม่อ น้อยครั้งที่จะออกไปจากชิงซาน แต่หลิ่วฉือกับหยวนฉีจิงและอาต้าต่างรู้ว่าเขาไม่กลัวการฆ่าคน
เขาเองก็เคยเห็นเหลียนซานเยวี่ยฆ่าคน
แต่เขาไม่เคยเห็นการฆ่าคนแบบนั้น
เพื่อที่จะทำให้เป้าหมายของตัวเองกลายเป็นจริง ไท่ผิงฆ่าได้ทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งพวกเดียวกันเอง
น้ำท่วมใหญ่
พี่ชายตายไป
ฉานจึถูกบีบให้มาเกิดใหม่
กระบี่เล่มนั้นบินหลบไปทั่วทุกที่ในชิงซาน ดูคล้ายลิงที่น่าสงสาร
ที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้น
เดิมผู้บำเพ็ญพรตกับคนธรรมดาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์เหมือนอย่างเด็กเลี้ยงแพะกับแพะ
ตอนอยู่ที่เมืองเจาเกอ เขาเคยพูดกับเจ้าล่าเยวี่ย
เจ้าล่าเยวี่ยน่าจะคิดถึงคำพูดประโยคนั้นเช่นเดียว จึงกล่าวว่า “ท่านคิดถูกแล้ว”
นี่ถือว่าได้ข้อสรุปออกมาแล้ว
หลังจากนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะไม่คุยกันถึงปัญหานี้อีก
บนยอดเขาชิงหรงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของหน้าผามีเสียงเพลงดังมา
สีหน้าของจิ๋งจิ่วเปลี่ยนไปเล็กน้อย เตรียมจะลุกเดินหนีไป แต่จากนั้นกลับยังรั้งอยู่
เสียงเพลงนั้นฟังดูค่อนข้างน่าเศร้า
ภายในเมฆหมอกคล้ายมองเห็นภาพที่อยู่ทางด้านนั้น
หนานว่างยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้นพลางดื่มสุรา
นางเพิ่งจะเริ่มดื่ม ยังไม่เมา
จิ๋งจิ่วพลันกล่าวขึ้นมาว่า “ในตอนนั้นหากไม่มีอะไรผิดคาดล่ะก็ นางน่าจะเป็นคู่รักบำเพ็ญพรตของหลิ่วฉือ”
เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกแปลกใจ กล่าวว่า “หลังจากนั้น?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “นางไม่ชอบเขา”
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ ที่แท้ท่านก็คือเรื่องที่ไม่คาดคิดนั้น กล่าวถามว่า “จากนั้นล่ะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์”
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิด กล่าวว่า “นั่นสิ”
……
……
ยอดเขาซั่งเต๋อมีหิมะเกาะตัวเป็นชั้นหนาๆ
ภายในถ้ำมีเสียงไอดังออกมาเป็นระยะ
หิมะที่อยู่บริเวณหน้าผาสั่นสะเทือนขึ้นมาตามเสียงไอ ก่อนจะร่วงกราวลงไปด้านล่างเหมือนหิมะถล่มขนาดเล็ก
ฉือเยี่ยนดึงสายตากลับมาจากตรงตำแหน่งที่แขนขาด ทอดตามองเข้าไปในถ้ำ สายตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
กระบี่ของหนานชวีร้ายกาจเป็นอย่างมาก เขาถูกตัดแขนไปโดยไม่สามารถตอบโต้อะไรได้แม้แต่นิดเดียว ส่วนต้วนเหลียนเถียนก็ตายไปตรงนั้น
ท่านกฎแห่งกระบี่คือเป้าหมายในการลอบโจมตีของหนานชวี หลังได้รับบาดเจ็บแล้วยังปะทะกระบี่กับหนานชวีอีกครั้งหนึ่ง อาการบาดเจ็บย่อมต้องสาหัสอย่างแน่นอน
เสียงไอพลันหายไป หยวนฉีจิงเดินออกมาจากในถ้ำ
ฉือเยี่ยนตกใจเป็นอย่างมาก ในใจคิดว่าอาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดี นี่ท่านจะไปที่ไหน?
หยวนฉีจิงโบกมือบอกเขาว่าไม่ต้องพูดอะไร ก่อนจะเหยียบกระบี่สามฉื่อออกไปจากยอดเขาซั่งเต๋อ
บนแท่งหินที่เชื่อมต่อระหว่างยอดเขาซื่อเยวี่ยกับยอดเขาซีไหล หมอกยังคงหนาทึบเช่นวันวาน แต่กลับไม่มีเงาของอินเฟิ่ง
เมฆหมอกพลันสลายไป หยวนฉีจิงบินลงมาบนแท่งหินพร้อมกับเกล็ดหิมะ
ฟางจิ่งเทียนเดินออกมาจากในส่วนลึกของหมอก
หยวนฉีจิงมองดูเขาอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร
คิ้วสีขาวของฟางจิ่งเทียนพลิ้วไหว ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
หยวนฉีจิงมองดูเขาอย่างเงียบๆ พลางส่ายศีรษะ
ฟางจิ่งเทียนนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ในที่สุดก็พยักหน้า
นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เขาต้องเริ่มเก็บตัว หากไม่ได้รับอนุญาต ห้ามไม่ให้ออกมา
……
……
ด้านนอกเมืองหนานฮว๋ามีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง
หมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีอะไรพิเศษ เหมือนกับหมู่บ้านอื่นๆ ที่มักจะเห็นคนแก่ออกมานั่งอาบแดดพูดคุยกันตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน
พระอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยตกลง ชายชราที่ผมเผ้าเบาบาง จมูกเป็นสีแดงผู้หนึ่งเดินยันไม้เท้ากลับเข้าไปในบ้านของตัวเอง
ไก่ฟ้าตัวหนึ่งนั่งเหม่อลอยอยู่บนโม่หิน หางที่ยาวๆ ของมันได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงมิได้ดูแปลกประหลาดน่ากลัวเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก หากแต่ดูค่อนข้างตลก
เสียงแอ๊ดดังขึ้น อินซานผลักประตูเดินออกมา เขาหรี่ตามองดูพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินดวงนั้น พลางกล่าวว่า “ผ่านไปอีกวันแล้ว”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินขยี้จมูก กล่าวว่า “นักพรต...เรื่องนี้ต้องมีคำอธิบายหน่อยหรือเปล่า?”
อินซานสามารถหนีออกมาจากกับดักที่ทะเลตะวันตกได้ เหล่ายอดฝีมือของชิงซานที่ทนไม่ไหวเหล่านั้นได้แสดงประโยชน์ที่สำคัญอย่างมากออกมา แต่คนที่สำคัญอย่างแท้จริงย่อมต้องเป็นปรม มาจารย์สำนักเสวียนอิน
เขารับการโจมตีจากเทพกระบี่ซีไห่ จากนั้นยังรับการโจมตีของหินฝนหมึกหางมังกรของเรือนอี้เหมาอีกครั้งหนึ่ง แสดงสภาวะที่ลึกล้ำจนมิอาจประมาณออกมา
ก็เหมือนอย่างแมวขาวที่อยู่บนยอดเขาเสินม่อตัวนั้น เขาคิดว่าตอนนี้ตัวเองมีสิทธิ์ที่ร้องขออะไรบางอย่างได้แล้ว
อินซานยื่นมือไปตบไหล่เขา กล่าวว่า “ไว้จะหาโอกาสให้เจ้าได้ระบายอารมณ์”
จมูกของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินยิ่งแดงขึ้น นี่แสดงให้เห็นว่าเขาโกรธเป็นอย่างมาก
“สำนักเสวียนอินไม่เหลือแล้ว! ระบายอารมณ์จะมีประโยชน์อะไร?”
อินซานไม่ได้สนใจเขา หากแต่เดินไปตรงหน้าโม่หิน ก่อนจะตรวจดูขนหางของไก่ฟ้าพลางกล่าวว่า “รักษาได้”
ไก่ฟ้าพูดภาษามนุษย์ออกมา “นักพรต ป้ายชีวิตยังอยู่ในมือเจ้านั่น ไม่ว่าเขาจะเป็นตัวอะไร ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจเลย”
อินซานพูดปลอบว่า “ไม่ต้องกลัวๆ ครั้งนี้เขาไม่ทำอะไรเจ้า เขาก็ไม่มีทางทำอะไรเจ้า”
รถม้าคันหนึ่งขับมาจอดตรงหน้าบ้าน
เด็กผู้ชายที่ดูน่ารักน่าชังเหมือนรูปปั้นหยกแกะสลักคนหนึ่งถูกส่งเข้ามา
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินรู้ว่านี่น่าจะเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง จึงกล่าวถามว่า “มีเรื่องอะไรอีก?”
เด็กผู้ชายคนนั้นอายุแค่สามสี่ขวบ แววตาบริสุทธิ์ใสซื่อ ดูซื่อบื้อเป็นยิ่งนัก
“นี่คือกระดาษเปล่า”
อินซานลูบหัวเด็กผู้ชายคนนั้น ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “รอข้าสอนเขาสักสองสามปี หลังจากนี้อีกสี่ปีก็สามารถเขียนบทความดีๆ ออกมาได้แล้ว”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินรับวิธีการพูดของเขาไม่ได้ หันศีรษะเดินเข้าไปในห้องครัว
เขาเดินมาถึงหน้าเตา มองดูกีบเท้าหมูที่กองเป็นเหมือนภูเขาอยู่ในน้ำแกงที่กำลังเดือดพล่าน จู่ๆ เขาก็นิ่งเงียบไป
ไม่ว่าจะเป็นแท่งไม้หรือว่ากีบเท้าหมู เมื่อถูกต้มเป็นเวลานาน สุดท้ายก็ต้องเปื่อยยุ่ย
ร่องรอยเน่าเปื่อยบนร่างกายนักพรตเริ่มปรากฏให้เห็นเยอะขึ้นทุกวัน อาจจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
ตัวท่านที่ไม่ได้กระบี่พรหมจรรย์มาคิดจะทำอย่างไร?
……
……
จิ๋งจิ่วออกจากยอดเขาเสินม่อ ไปยังคุกกระบี่
เดินเข้าไปในอุโมงค์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและพลังสกปรกชั่วร้าย มาถึงโถงที่แห้งสะอาด เขามองไปทางอุโมงค์ที่อยู่ลึกเข้าไปเส้นนั้น
ปลายทางของอุโมงค์คือห้องขังห้องนั้น เสวี่ยจีถูกขังอยู่ที่นั่น
ภายในอุโมงค์เต็มไปด้วยเจตน์กระบี่ที่เขาวางเอาไว้ แข็งแกร่งยอดเยี่ยม ไม่มีผู้ใดสามารถคลายได้
เสวี่ยจีรับรู้ได้ถึงการมาของเขา เหลียวหน้ามองไปทางประตูห้องขัง
จิ๋งจิ่วและเสวี่ยจีสบตากันอย่างเงียบๆ โดยมีเจตน์กระบี่เป็นชั้นๆ และประตูบานนั้นขวางกั้นเอาไว้ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
สายลมไหลเข้ามาจากสองทาง ลมที่มาจากบ่อน้ำบนยอดเขาซั่งเต๋อค่อนข้างหนาวเย็น ลมที่มาจากยอดเขาซ่อนเร้นค่อนข้างอบอุ่น ลมทั้งสองม้วนเอาฝุ่นฟุ้งขึ้นมาเล็กน้อย ลอยอยู่ระหว่างสายตา าของทั้งสองคน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จิ๋งจิ่วหมุนตัวเดินจากไป
ภายในห้องขัง เสวี่ยจีดึงสายตากลับมา เตรียมจะมองดูภูเขาหิมะที่โดดเดี่ยวลูกนั้นต่อ
นั่นคือดินแดนที่สวยงามของนาง
จิ๋งจิ่วพลันหยุดฝีเท้า กล่าวถามว่า “เก้าอี้ตัวนั้น…หากเจ้ารู้สึกว่ามันแข็งไป ข้าเปลี่ยนตัวใหม่ให้เจ้าเอาไหม?”
เสวี่ยจีส่งเสียงอิ๋งอิ๋งออกมา เสียงอิ๋งแรกหมายความว่านางไม่รู้สึกว่ามันแข็ง เสียงอิ๋งที่สองหมายความว่าไม่เอา
……
……
ปลายสุดของคุกกระบี่มีประตูอยู่บานหนึ่ง ด้านนอกประตูมีหมอกที่อบอวลไปด้วยรังสีฆ่าฟันที่รุนแรง อีกด้านหนึ่งของหมอกคือยอดเขาจำนวนนับไม่ถ้วน
ที่นี่คือยอดเขาซ่อนเร้นของชิงซานที่เล่าลือกัน
ที่นี่นอกจากผู้อาวุโสที่เฝ้ารอความตายเหล่านั้น ก็ยังมียอดฝีมือของยอดเขาต่างๆ บางคนที่อยากจะบรรลุสภาวะเลยมาขังตัวเองอยู่ที่นี่
แน่นอนว่ายังมีเส้นทางอื่นที่สามารถออกไปจากยอดเขาซ่อนเร้นอยู่อีก หลิ่วสือซุ่ยเคยใช้ครั้งหนึ่ง
แต่นอกจากจิ๋งจิ่ว หลิ่วฉือ หยวนฉีจิงและซือโก่วแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ถึงเส้นทางเหล่านี้อีก กระทั่งหลิวอาต้าก็ไม่รู้
บนโลกนอกจากยอดเขาเทียนกวงแล้วก็ไม่มีที่ไหนที่สามารถมองเห็นยอดเขาซ่อนเร้นได้อีก มิได้เป็นเพราะก้อนเมฆที่ปกคลุมยอดเขาเหล่านั้น หากแต่เป็นเพราะข่ายกระบี่ชิงซาน
ในตอนที่เดินผ่านภูเขาลูกหนึ่ง จิ๋งจิ่วเหลือบมองไป
ฟางจิ่งเทียนเก็บตัวอยู่ที่นี่
ผ่านไปไม่นาน จิ๋งจิ่วก็มาถึงหน้าภูเขาลูกขึ้น เขาเหยียบเมฆลอยขึ้นไป หาถ้ำแห่งนั้นจนพบ มองดูอัญมณีสีเขียวที่อยู่บนหน้าผา ก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไป
ถงเหยียนเงยหน้าขึ้นมา ดูคล้ายแปลกใจ
หากคิดจะเอาคนมาซ่อนไว้ที่ชิงซาน ไม่ให้สำนักจงโจวรู้ข่าวแม้แต่นิดเดียว สถานที่ที่ดีที่สุดย่อมต้องเป็นยอดเขาซ่อนเร้น
จิ๋งจิ่วกล่าวถามว่า “เจ้ามีอะไรมาให้ข้า?”
ถงเหยียนวางเม็ดหมากล้อมที่อยู่ในมือลง กล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจความหมายของเจ้า”
จะมาเข้ากับชิงซานย่อมต้องมีสิ่งตอบแทน น่าจะเหมือนกับหนังสือรับรองสถานะความเป็นสมาชิกทำนองนั้น แต่คันฉ่องฟ้ากระจ่างยังไม่พอหรือ?
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าต้องการกระบี่พรหมจรรย์”