มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 82 แหวกทะเล
จิ๋งจิ่วเข้าใจถึงความรู้สึกหดหู่ของหยวนฉีจิง ก็เหมือนกับที่เข้าใจทุกคนอย่างนั้น
หากเป็นเมื่อก่อน เขาไม่มีทางสนใจอย่างแน่นอน แต่ครั้งนี้เห็นแก่ที่หยวนฉีจิงจัดการกับฟางจิ่งเทียนอย่างเด็ดขาด เขาจึงตัดสินใจที่จะปลอบอีกฝ่ายเสียหน่อย
“เจ้าเองก็แข็งแกร่งขึ้นแล้ว” เขากล่าวกับหยวนฉีจิง
นี่เป็นคำชื่นชมที่สูงส่งอย่างมาก ครั้งนี้หยวนฉีจิงถูกหนานชวีลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาไม่ได้รู้สึกท้อแท้แม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เขากลับแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
สำหรับยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์แล้ว ต่อให้เป็นการก้าวไปข้างหน้าแค่เพียงหนึ่งก้าว มันก็ถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก
“ในตอนที่ป่วยบ่อยใกล้จะตาย คนเรามักจะปล่อยวางเรื่องบางเรื่องได้ง่าย แล้วก็ย่อมต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมด้วยเช่นกัน”
หยวนฉีจิงกล่าวว่า “หากว่ากันตามคนธรรมดาล่ะก็ นี่น่าจะเรียกว่าสติพลันชัดเจนขึ้นมาก่อนตายสินะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “คำพูดที่ไม่เป็นมงคลพูดให้น้อยหน่อย”
หยวนฉีจิงอยากจะถามว่าในเมื่อยังมีเวลาอีกปีกว่า เหตุใดเขาถึงออกมาจากการเก็บตัวก่อนกำหนด แต่พอได้ยินคำขอของเขาก็หุบปากลงไป
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “งานชุมนุมใจพิสุทธิ์ใครจะไป?”
จากที่เซ่อเซ่อบอกมาในตอนนั้น งานชุมนุมใจกระจ่างของสำนักเสวียนหลิงน่าจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
อายุขัยของเหล่าไท่จวินไม่สำคัญ กระดิ่งระดับสูงในงานชุมนุมใจกระจ่างเหล่านั้นก็ไม่สำคัญเช่นกัน สิ่งที่สำคัญจริงๆ ก็คือในอนาคตสำนักเสวียนหลิงจะเชื่อฟังใคร
เจ้าสำนักเสวียนหลิงคนปัจจุบันคือมารดาของเซ่อเซ่อ ลูกสะใภ้ของเหล่าไท่จวิน ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายดำเนินมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
เหล่าไท่จวินมีอิทธิพลอย่างมาก เจ้าสำนักเสวียนหลิงคนปัจจุบันต้องคอยพึ่งพาสำนักชิงซาน ถึงจะสามารถยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้
เจตนารมณ์ของงานชุมนุมใจกระจ่างครั้งนี้ชัดเจนเป็นอย่างมาก เหล่าไท่จวินรู้ว่าเวลาของตัวเองเหลือไม่มาก จึงอยากจะจัดการปัญหานี้แบบถอนรากถอนโคน
หยวนฉีจิงกล่าวว่า “เหอปู้มู่ของยอดเขาซื่อเยวี่ย”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม แสดงออกว่าสงสัย
หยวนฉีจิงมองเขา กล่าวว่า “ก็ตอนที่ท่านเข้าร่วมงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ ผู้อาวุโสเหอคนนั้น”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด เสี่ยวเหอคนนั้นสภาวะแค่ขั้นแหวกทะเลระดับต้น จึงกล่าวว่า “ต่ำไปหน่อย”
เหอปู้มู่เป็นเพียงผู้อาวุโสธรรมดาของยอดเขาซื่อเยวี่ย การให้เขาเป็นตัวแทนชิงซานไปเข้าร่วมงานชุมนุมใจกระจ่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาวะหรือสถานะก็ล้วนแต่ต่ำไปหน่อย
หยวนฉีจิงกล่าวว่า “เก็บตัวกันหมด”
เมื่อก่อนคนที่มักจะเป็นตัวแทนชิงซานออกงานบ่อยๆ ก็คือหนานว่าง ไม่ว่าจะเป็นงานชุมนุมเหมยฮุ่ยหรือว่างานชุมนุมแสวงมรรคา เพราะว่านางชื่นชอบเรื่องสนุก ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้ขยัน บำเพ็ญเพียรอะไร
ตอนนี้กระทั่งนางก็ยังเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ชิงซานไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสมแล้วจริงๆ
ทั่วทั้งโลกบำเพ็ญพรตต่างกำลังรอคอยฝนฤดูใบไม้ผลิสายนั้น สำนักชิงซานจะต้องไม่สนใจเรื่องราวภายนอกสำนักอย่างแน่นอน สำหรับหลายๆ คนแล้วนี่คือเป็นโอกาสที่ดีจริงๆ
แต่ในตอนที่เหล่าไท่จวินตัดสินใจจัดงานชุมนุมใจกระจ่างขึ้นมา เรื่องราวในทะเลตะวันตกยังไม่เกิดขึ้น นี่หมายความว่าอย่างไร?
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “นางทำข้อตกลงกับทางเขาอวิ๋นเมิ่งเอาไว้”
สำนักจงโจวยังจะปิดสำนักไปอีกปีกว่า เพียงแต่เหล่าไท่จวินใกล้จะตายแล้ว นางรอต่อไปไม่ไหว
หยวนฉีจิงกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ไม่อย่างนั้นท่านไป?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ได้”
หยวนฉีจิงตกตะลึง
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “ข้าไปเอง ไม่ต้องบอกคนอื่น”
กล่าวคำพูดประโยคนี้จบ เขาก็เดินออกไปนอกถ้ำ
หยวนฉีจิงได้สติขึ้นมา เขากล่าวถามว่า “ท่านจะไปไหน?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไปดูยอดเขาอื่นหน่อย”
หยวนฉีจิงไม่ได้พูดอะไรอีก หากแต่มองดูร่างเขาหายไปในเมฆหมอก พลางคิดอย่างชื่นชมว่าสุดท้ายก็เปลี่ยนไปไม่น้อยเลย
ความจริงเขาคาดหวังในตัวอาจารย์อาผู้นี้มากกว่าใครทั้งหมด ในอดีตเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้อยู่
โลกแห่งการบำเพ็ญพรตต่างพูดกันว่าเขาไม่ชอบอาจารย์อาคนนี้ นั่นเป็นเพราะว่าอาจารย์อาเกียจคร้านเกิดไป เรื่องอะไรก็ล้วนแต่ไม่สนใจ ช่วยสำนักจัดการธุระเล็กน้อย มันจะกระทบต่อกา ารบำเพ็ญเพียรได้อย่างไรกัน?
ก็เหมือนอย่างตอนนี้ที่่ท่านก็ยังเกียจคร้านอยู่ แต่ในที่สุดก็ยอมทำเรื่องบางเรื่อง มันจะทำให้ท่านเสียเวลาในการบำเพ็ญเพียรสักเท่าไรกัน?
เมื่อคิดถึงเรื่องความเร็วในการบำเพ็ญเพียร สุดท้ายเขาก็อดส่งเสียงเหอะออกมาไม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่าสวรรค์ช่างไม่มีเหตุผลเลย
……
……
จิ๋งจิ่วไปยอดเขาอวิ๋นสิง
ยอดเขากระบี่ยังคงเหมือนเมื่อก่อน ยังคงรกร้างเช่นนั้น นอกจากอินทรีเหล็กแล้วก็มองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย
เขาสังเกตเห็นว่าบนยอดเขามีกระบี่บินเพิ่มขึ้นมาสิบกว่าเล่ม แล้วก็มีบางส่วนที่กลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย นั่นน่าจะเป็นกระบี่ของลูกศิษย์ที่ตายอยู่ในศึกที่ทะเลตะวันตก
จากนั้นเขาไปยอดเขาซื่อเยวี่ย ไปดูห้องยาและสวนสมุนไพร
เขาไม่ถนัดเรื่องเหล่านี้เท่าไรนัก เมื่อเห็นว่าสมุนไพรเหล่านั้นไม่ขาดน้ำ เจริญเติบโตเหมือนผักกาดขาว เตาหลอมยาเองก็ยังมีไฟลุกไหม้อยู่ เขาจึงคิดว่าทุกล้วนเรียบร้อย
เขาไม่ได้ไปยอดเขาซีไหล หนังสือเหล่านั้นเขาเคยอ่านมาหมดแล้ว แล้วมันก็ไม่มีทางบินหนีไปไหนด้วย บันทึกของคนเหล่านั้นก็ไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย
เขาเองก็ไม่ได้ไปยอดเขาเหลี่ยงว่าง ของดีของที่นั่นถูกเขาขนมาไว้ที่ยอดเขาเสินม่อตั้งนานแล้ว ที่นั่นเหลือเพียงแค่เลือดที่ร้อนรุ่มและกลิ่นเหงื่อของศิษย์หนุ่มสาวเหล่านั้น เขา าจะไปทำไม?
ถูกต้อง ตอนนี้เขากำลังสำรวจชิงซาน เหมือนกับราชสีห์ที่กำลังลาดตระเวนอาณาเขตของตัวเอง
เมื่อหลายปีก่อนเขาก็เคยทำเรื่องราวที่คล้ายๆ กันนี้ครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบดูว่าชิงซานก็คือชิงซานของตัวเอง
เพียงแต่ครั้งนั้นเขาไม่ได้ดูอย่างละเอียดและตั้งใจขนาดนี้ ไม่เคยสนใจรายละเอียดเหล่านี้
ตอนที่ศิษย์พี่และหลิ่วฉือเป็นเจ้าสำนัก พวกเขาย่อมต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม เขาเพียงแค่บำเพ็ญเพียร เรื่องอื่นล้วนแต่ไม่ต้องสนใจ
ชีวิตนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจริงๆ แล้วก็ค่อนข้างลำบาก
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเช่นนี้ ก่อนจะลอยลงไปยังริมทะเลสาบที่อยู่บนยอดเขาปี้หู
เมื่อมีป้ายไม้ไผ่นั้นอยู่ในมือ ข่ายพลังปิดกั้นบนยอดเขาปี้หูย่อมต้องใช้กับเขาไม่ได้ผล แล้วก็ไม่มีใครมองเห็นเขาได้
สายลมเย็นสบาย เขาเดินไปบนผิวทะเลสาบ ชุดสีขาวพลิ้วไหวแผ่วเบา หนึ่งก้าวไปได้ไกลหลายร้อยจ้าง ดูราวกับเซียน
ฝั่งที่อยู่ด้านตรงข้ามมีหาดทรายสีเงินอยู่แถบหนึ่ง ด้านหน้าก็คือตำหนักที่แผ่พลังที่เย็นยะเยือกออกมาบางๆ
จิ๋งจิ่วเดินไปหน้าตำหนัก
บนหาดทรายไม่มีรอยเท้า แล้วก็ไม่มีคราบน้ำ
แมวป่าหลายร้อยตัวบ้างก็เกาะอยู่บนต้นไม้ บ้างก็นั่งฟุบอยู่ในกอหญ้า มองดูเขาอย่างหวาดระแวงและไม่สบายใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้แล้วว่าเขาเป็นใครหรือว่าได้กลิ่นแมวที่อยู่บนตัวเขา แมวป่าใจกล้าสองสามตัวจึงวิ่งเข้ามา พยายามเข้ามาใกล้เขาอย่างระมัดระวัง
ดูจากสถานการณ์แล้ว แมวป่าสองสามตัวนี้คิดอยากจะเข้ามาคลอเคลียที่เท้าของเขาเพื่อแสดงการเชื่อฟังและรักใคร่ ขณะเดียวกันก็จะได้สัมผัสกับพลังเซียนเล็กน้อยด้วย
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “อย่า”
แมวป่าสองสามตัวนั้นไม่กล้าวิ่งเข้ามา ฟุบหมอบลงไปกับพื้น บ้างก็นอนตะแคง บางก็หงายท้อง แสร้งทำเป็นเชื่องด้วยท่าทางต่างๆ
จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในตำหนัก ไม่แม้กระทั่งเหลือบมองดูขวดที่วางอยู่บนชั้นเหล่านั้น หากแต่เดินตรงเข้าไปยังส่วนลึกของข่ายพลังศิลา
ข่ายพลังศิลาเกิดการตอบสนอง กลไกลเริ่มขยับขึ้นมา แท่นหินแท่นหนึ่งยกตัวขึ้นมาจากพื้น ด้านบนมีจานกระเบื้องวางอยู่หลายใบ ภายในจานมีแท่งไม้ที่ดำไหม้วางอยู่
นี่ก็คือของล้ำค่าของชิงซาน — ไม้วิญญาณอัศนี
จิ๋งจิ่วมองดูไม้วิญญาณอัศนีที่สมบูรณ์แล้วห้าท่อนนี้ นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
ต่อให้กระบี่พรหมจรรย์ใช้ไม่ได้ ก็ใช้อย่างอื่นมาสละร่างก็ได้ ไยต้องดึงดันถึงขนาดนี้ด้วย?
เขาไม่ได้กำลังครุ่นคิดถึงปัญหาแทนศิษย์พี่ หากแต่คิดถึงบทสนทนาที่ตนเองคุยกับหลิ่วฉือท่อนนั้น
จิ๋งจิ่วหยิบเอาไม้วิญญาณอัศนีท่อนใหม่ขึ้นมา
เรือสำเภาของเกาะเทพเผิงไหลเอาไม้วิญญาณอัศนีแท่งนี้กลับมาเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน ยังเหลือเวลาอีกสามร้อยกว่าปีกว่าจะสมบูรณ์ ยังอยู่ในช่วงที่ต้องใช้พลังสายฟ้าจำนวนมากในการ รหล่อเลี้ยง
เขาจะทำอะไร?
……
……
ยอดเขาปี้หูนั้นอยู่ตรงกับเนตรข่ายพลังแห่งหนึ่งของข่ายพลังชิงซาน
เนตรข่ายพลังพลันเปิดออกเป็นช่องช่องหนึ่ง
ลมฤดูร้อนโกรกเข้าไป ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ มีหยาดฝนตกลงมา จากนั้นคล้ายได้ยินเสียงฟ้าร้อง
โลกด้านนอกในเวลานี้กำลังมีพายุฝนตกลงมา
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ในตำหนัก หลับตา ในมือกำไม้วิญญาณอัศนีเอาไว้ จากนั้นเริ่มเรียกสายฟ้า
เสียงฟ้าคำรามจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมาในท้องฟ้า
เปรี้ยง!
สายฟ้าสายหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาจากในก้อนเมฆที่ดำมืดและน่ากลัวเหล่านั้น ก่อนจะผ่าลงมายังตำหนักที่อยู่บนยอดเขาปี้หูอย่างแม่นยำ
หลังจากนั้นก็มีสายฟ้าผ่าลงมามากขึ้นเรื่อยๆ กระหน่ำฟาดใส่ตำหนักไม่หยุด ตกลงบนร่างกายของจิ๋งจิ่ว!
ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดขั้นตอนหนึ่งของวิถีกระบี่ของชิงซาน ก็คือการใช้พลังธรรมชาติอันบริสุทธิ์ที่อยู่ในสายฟ้าชะล้างกระบี่
เขาเองก็กำลังชะล้างกระบี่
……
……
ในพายุฝนฟ้าคะนองแฝงเอาไว้ด้วยพลังมหาศาล สายฟ้าฉีกกระชากอากาศ ทำให้พลังวิญญาณที่อยู่ในฟ้าดินปั่นป่วนขึ้นมา
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดที่จะพบเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นบนยอดเขาปี้หู มีเพียงหยวนฉีจิงที่กำลังมองดูทางนี้อยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อ
ก็เหมือนกับตอนที่จิ๋งจิ่วมายอดเขาปี้หูเพื่อหาไป๋กุ่ยครั้งแรก หยวนฉีจิงและหลิ่วฉือเองก็มองดูเขาเช่นนี้
ถ้าหากไป๋กุ่ยจะฆ่าเขาจริงๆ พวกเขาย่อมต้องลงมือ
พายุฝนยังคงดำเนินต่อไป สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนส่องสว่างหมู่ยอดเขา
ยอดเขาปี้หูเกิดลมกระโชกคลุ้มคลั่ง น้ำในทะเลสาบถูกพัดจนยกตัวเป็นคลื่นสูงลูกแล้วลูกเล่า กระแทกซัดสาดเข้าใส่หาดทรายสีเงิน
สายฟ้าบางส่วนฟาดลงไปในทะเลสาบจนน้ำในทะเลสาบกลายเป็นหลุม หลังจากนั้นหลุมเหล่านั้นก็ถูกน้ำในทะเลสาบกลืนกินใหม่อีกครั้ง
ทะเลสาบปี้หูในเวลานี้ดูแล้วเหมือนกับมหาสมุทรที่คลุ้มคลั่ง ทุกที่เต็มไปด้วยหลุมที่เกิดจากสายฟ้าที่ผ่าลงมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดสายฟ้าก็หยุดลง ฝนเองก็ค่อยๆ หยุดลง
จิ๋งจิ่วเดินออกมา ชุดสีขาวฉีกขาดเป็นริ้วๆ ห้อยอยู่บนร่างกาย ติ่งหูที่ขาดออกไปก็เป็นรอยไหม้ดำเล็กน้อย ทั่วทั้งร่างกายมีสายฟ้าสีน้ำเงินแลบแปลบปลาบ ส่งเสียงเปรี๊ยะๆ
สภาพของเขาในเวลานี้ดูกระเซอะกระเซิง แต่กลับน่ากลัวเป็นอย่างมาก ภายในร่างกายคล้ายแอบซ่อนพลังที่น่าหวาดกลัวอย่างมากเอาไว้อยู่
เหล่าแมวป่าไม่กล้าเข้าใกล้ตำหนัก พากันหลบอยู่ใต้ใบไม้ ทั่วทั้งร่างกายถูกฝนตกใส่จนเปียกชื้น ขนห้อยตกลงมา ดูกระเซอะกระเซิงเช่นเดียวกับเขา
แต่ในสายตาที่พวกมันมองดูเขากลับไม่มีความเห็นใจ มีเพียงความเคารพยำเกรง
จิ๋งจิ่วเดินลงไปในทะเลสาบ ลงไปอาบน้ำจริงๆ หลังจากที่ไม่ได้อาบมาหลายปี
เสื้อผ้าที่ขาดเป็นริ้วๆ ถูกน้ำทะเลสาบพัดพาออกไป พลังพายุฝนที่น่ากลัวที่ยังหลงเหลืออยู่เหล่านั้นเองก็ค่อยๆ สลายหายไป
น้ำทะเลสาบที่คล้ายทะเลค่อยๆ แหวกออก เขาเดินออกมาจากด้านใน หยิบชุดขาวที่เตรียมเอาไว้มาสวมใส่
เจ้าล่าเยวี่ยและจัวหรูซุ่ยกำลังเก็บตัว พยายามบรรลุขั้นคเนจรระดับสูง
เขาเองก็บรรลุแล้ว
แหวกทะเล