มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 83 ใครเป็นเจ้าสำนักดีนะ?
ในตอนที่จิ๋งจิ่วกลับมายังยอดเขาเสินม่อ แมวขาวก็ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
ยอดเขาปี้หูกระทึกครึกโครมขนาดนั้น มันไม่สามารถนอนหลับต่อได้
เฝ้าไม้วิญญาณอัสนีคือหน้าที่ของมัน ตอนนี้หลิ่วฉือเองก็ไม่สามารถทำหน้าที่แทนมันได้เช่นกัน
เมื่อมั่นใจว่าจิ๋งจิ่วไม่ได้เอาไม้วิญญาณอัสนีออกมา มันก็วางใจ
แมวตื่นขึ้นมาแล้ว คนอื่นก็ทยอยตื่นขึ้นมาเช่นกัน ยอดเขาทั้งเก้าล้วนแต่เป็นเช่นนี้
จิ๋งจิ่วคิดเช่นนี้ พร้อมทั้งยื่นนิ้วออกไปเขียนจดหมายทิ้งไว้บนหน้าผาให้เจ้าล่าเยวี่ย ก่อนจะนั่งกระบี่บินออกไป
กระบี่ร่อนลงที่ด้านนอกเมืองอวิ๋นจี๋
เหลาสุราในเมืองอวิ๋นจี่ปิดร้านก่อนเวลาอีกครั้ง เพื่อน้ำแกงสีขาวหม้อหนึ่งภายในห้องส่วนตัวหม้อนั้น
รถม้าของตระกูลกู้จอดอยู่ตรงหน้าเหลาสุรา ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่มันก็ถูกเตรียมเอาไว้เผื่อคนคนนั้น
ล้อรถบดไปบนถนนที่ปูด้วยก้อนอิฐ ส่งเสียงเบาๆ ออกมา
จิ๋งจิ่วนั่งพิงไปบนเบาะ กอดกระบี่พรหมจรรย์เอาไว้ มองดูทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ ด้านนอกหน้าต่าง ใบหน้าดูเหม่อลอย ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
แมวขาวมุดออกมาจากในแขนเสื้อของเขา เงยหน้าสูดดม ก่อนจะมั่นใจว่าบนร่างกายของเขานั้นมีกลิ่นแมวตัวอื่นอยู่ จึงซุกไซร้ไปบนร่างกายเขา
เพียงแค่ซุกไซร้มันก็สัมผัสได้ถึงสภาวะของจิ๋งจิ่วที่มีความก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก จึงรีบซุกไซร้อย่างตั้งใจ
มันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เหตุใดในตอนนั้นถึงถูกจิ๋งจิ่วที่อยู่ในสภาวะมิประจักษ์หลอกเอาได้… มันน่าจะฉวยโอกาสตอนที่เขาอ่อนแอขย้ำเขาเสีย ไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสได้แม้กระทั่ง งดื่มน้ำในทะเลสาบแม้แต่อึกเดียว
จิ๋งจิ่วรู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ จึงยื่นมือไปลูบศีรษะของมันเพื่อแสดงการปลอบใจ
แมวขาวไม่ได้หลบ หากแต่หรี่ตาอย่างรู้สึกสบาย ทันใดนั้นมันมองดูกระบี่พรหมจรรย์ที่อยู่ในอ้อมอกของเขา รู้สึกตกใจเล็กน้อย
นี่เจ้าเตรียมจะเอากระบี่ของหนานชวีมาหลอมขึ้นใหม่ให้กลายเป็นของตัวเองหรือ? เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่ทำที่ยอดเขาอวิ๋นสิง ออกมาข้างนอกทำไม?
เจ้ากอดมันเอาไว้แบบนี้ ไม่กลัวว่าคมจักรวาลจะอิจฉาหรือ?
มันพลันคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง สายตาเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะรีบส่งเสียงเมี้ยวอย่างร้อนใจไปทางจิ๋งจิ่ว
กระดาษยับๆ สองสามแผ่นในวัดกั่วเฉิงนั่นข้าได้เห็นแล้ว เจ้าคิดจะให้นักพรตไท่ผิงเปลี่ยนร่างกลายเป็นกระบี่ ถึงได้ทำให้เกิดเรื่องในทะเลตะวันตกนั่นขึ้นมา…ตอนนี้เจ้าเอากระบี่พ พรหมจรรย์ติดตัวมาด้วยมันหมายความว่าอย่างไร?หรือเจ้าคิดจะใช้มันล่อนักพรตออกมา?
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
แมวขาวร้อนใจขึ้นมาทันที ส่งเสียงร้องดุร้ายขึ้นมาสองสามครั้ง
อย่างมากข้าก็สู้เจ้านกนั่นได้ แต่ถ้ามีเสวียนอินจึมาด้วย ข้าไม่แน่ว่าจะรับมือได้นะ!
จิ๋งจิ่วไม่สนใจมัน เขายังคงมองดูทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ ด้านนอกหน้าต่าง
จู่ๆ ด้านนอกหน้าต่างพลันมีเสียงแมวดังขึ้นมา
น่าจะเป็นแมวป่าที่ได้ยินเสียงคำรามของอาต้า จึงส่งเสียงสอดรับขึ้นมา
นั่นน่าจะเป็นแมวตัวเมีย
จิ๋งจิ่วคิดในใจ
อาต้าเขินอายจนกลายเป็นโกรธ ตะปบเข้าไปที่หน้าเขาทีหนึ่ง เกิดเป็นประกายไฟแลบขึ้นมา
……
……
สำนักเสวียนหลิงตั้งอยู่ริมทะเลสาบหลีหมิง ทะเลสาบหลีหมิงคือทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ถูกเทือกเขาตงหลิ่งห้อมล้อมเอาไว้
ภายในเทือกเขาตงหลิ่งมีภูเขาขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน หลังตกกลางคืนแล้วแทบจะดูไม่แตกต่างกัน หากไม่มีแสงดาว แม้แต่ผู้บำเพ็ญพรตเองก็หลงทางได้ง่าย
คืนนี้ก้อนเมฆบดบังแสงดาว กองไฟในภูเขาลูกหนึ่งจึงยิ่งดูสะดุดตา
ที่นั่นคือวัดร้างแห่งหนึ่ง แสงไฟจากกองไฟทะลุหน้าต่างและประตูผุๆ ออกมา
ภายในท้องฟ้ามีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นมาเป็นระยะ เหล่าผู้บำเพ็ญพรตทยอยบินลงมา จากนั้นเดินเข้าไปในวัดแล้วทำการคารวะทักทายกัน สิ่งแรกที่พูดออกมาย่อมต้องเป็นการแนะนำตัวเองว่า เป็นใครมาจากไหน
“ฉู่เต้าเหรินจากสำนักซานชิง”
“แซ่กาน ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักจากเขาหลงหู่”
“เหอฉือจากสำนักเสวียนเทียน”
“อู๋ปู้จือจากสำนักจื่อเฮ่า”
……
……
ผู้คนที่ปรากฏตัวขึ้นในวัดร้างคืนนี้ล้วนแต่เป็นตัวแทนของสำนักเล็กๆ และผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมใจกระจ่าง
พวกเขาจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเช่นนี้เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตในปัจจุบัน
กองไฟในวัดร้างคือสัญญาณเรียกรวมตัว
ในมุมหนึ่งของวัดมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ คนผู้นั้นสวมหมวกลี่เม่า แขนเสื้อขยับเบาๆ ไม่รู้ว่าด้านในมีอะไร
มีคนพูดว่า “ข้านึกว่างานชุมนุมใจกระจ่างในปีนี้จะต้องเลื่อนออกไปแล้วเสียอีก”
ทุกคนต่างรู้ว่างานชุมนุมใจกระจ่างของสำนักเสวียนหลิงครั้งนี้ ในนามคือการเชิญสหายในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมาชมกระดิ่งล้ำค่า ขณะเดียวกันก็มาอวยพรงานวันเกิดของเหล่าไท่จวิน แต่ค ความจริงแล้วมีเจตนาอื่น
ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนต่างกำลังรอคอยฝนฤดูใบไม้ผลินั้นอยู่ ดังนั้นก่อนหน้าที่จะถึงเวลานั้นจึงไม่มีใครกล้าทำอะไรส่งเดช กระทั่งสำนักจงโจวก็ยังปิดสำนัก แล้วเหตุใดเหล่าไท่จวิ นกลับดึงดันที่จะจัดงานขึ้นมา?
“เห็นได้ชัดว่าเหล่าไท่จวินอยากจะฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครกล้าทำอะไร จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จเรียบร้อย”
อู๋ปู้จือจากสำนักจื่อเฮ่าผู้นั้นกล่าวว่า “อวิ๋นเมิ่งปิดเขา ได้ยินว่าเหล่ายอดฝีมือของสำนักชิงซานเองก็กำลังเก็บตัว ใครจะไปสนใจเรื่องของสำนักเสวียนอินกันล่ะ?”
คนก่อนหน้านี้กล่าวถามว่า “สำนักชิงซานมีท่าทีอย่างไรบ้าง?”
อู๋ปู้จือกล่าวว่า “สำนักชิงซานดูแแล้วคงจะต้องส่งคนมาแน่ ทว่าอันที่จริงนี่เป็นเรื่องในสำนักเสวียนหลิง ต่อให้เหล่าไท่จวิน...จะเลอะเลือนไปบ้าง พวกเขาก็คงไม่สะดวกที่จะกล่าวอะ ะไร”
“ที่ผ่านมาสำนักชิงซานสนับสนุนเจ้าสำนักเฉินมาโดยตลอด หรือพวกเขาจะดูนางเกิดเรื่องอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไร?”
“ผู้นำฝ่ายธรรมะ จะไปนั่งจัดการเรื่องราวภายในสำนักอื่นได้อย่างไร?”
“เหลวไหล หากกระทั่งเรื่องราวในสำนักอื่นยังจัดการไม่ได้ ยังจะเป็นผู้นำแห่งฝ่ายธรรมได้อย่างไร?”
“พี่เต้ากล่าวมีเหตุผล แต่สถานการณ์ของสำนักชิงซานในตอนนี้มีความพิเศษ เกรงว่าพวกเขาคงจะดูอยู่เฉยๆ”
ในเวลานี้เอง ด้านนอกวัดมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา เหล่าผู้บำเพ็ญพรตรู้สึกประหลาดใจ ในใจคิดว่าป่าเขาที่รกร้างเช่นนี้ หรือว่ายังจะมีคนธรรมดาอยู่อีก?
คนที่เดินเข้ามาในวัดคือสมณะหนุ่มและสมณะแก่สองรูปที่จิ๋งจิ่วเคยเจอหน้ามาแล้วหลายครั้ง
สมณะแก่ดูแก่ชรา รอยเหี่ยวย่นหลุบลึก ดูเหมือนการอยู่ในที่ราบหิมะในช่วงหลายปีมานี้จะลำบากเป็นอย่างมาก
สมณะหนุ่มเองก็ไม่ได้ดูหนุ่มเหมือนอย่างแต่ก่อนอีก สีหน้าสุขุมเยือกเย็นขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องฝึกปิดวาจาแล้ว
ทุกคนมองดูกล่องยาที่อยู่ด้านหลังพวกเขา คาดเดาได้ว่าพวกเขาคือสมณะแพทย์ของวัดกั่วเฉิง ถึงรีบลุกขึ้นคารวะ พร้อมกับยกที่นั่งข้างกองไฟให้พวกเขา
ทั้งสองคนปฏิเสธอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินไปนั่งพักผ่อนอยู่ที่มุมมุมหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ภายในวัดพลังเงียบสงัดขึ้นมา กองไฟถูกลมพัดส่งเสียงดังฟู่วๆ
ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักแซ่กานจากเขาหลงหู่ผู้นั้นพลันลุกขึ้นยืน ยิ้มเย้ยหยันกับตัวเองก่อนกล่าวว่า “ดูเหมือนงานชุมนุมใจกระจ่างครั้งนี้ ข้าไม่เข้าร่วมจะดีกว่า”
กล่าวจบประโยคนี้ เขาก็เดินจากไปจริงๆ
ภายในวัดร้างยังคงเงียบสงัด
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตรู้ว่าเหตุใดคนแซ่กานผู้นี้ถึงจากไป ตัวเองก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเช่นกัน
ในอดีตอันเนิ่นนานที่ผ่านมา ขอเพียงโลกบำเพ็ญพรตเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น วัดกั่วเฉิงก็จะส่งสมณะมาช่วยรักษาคน
สถานการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง ค่อยๆ เกิดเป็นรูปแบบที่แน่นอนอย่างหนึ่งภายในใจของผู้บำเพ็ญพรต ขอเพียงได้เห็นสมณะของวัดกั่วเฉิงในสถานการณ์ที่ไม่จำเป็นต้องมีวัดกั่วเ เฉิง นั่นก็หมายความว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องเกิดเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน เรียกได้ว่าภายในใจของผู้บำเพ็ญพรตบางคน สมณะของวัดกั่วเฉิงได้ค่อยๆ กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่ค่อยเป็นมงคลแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมา เหล่าไท่จวินแห่งสำนักเสวียนอินไม่เคยชื่นชอบพระสงฆ์มาก่อน งานชุมนุมใจกระจ่างก็ไม่เคยเชิญวัดกั่วเฉิง และสิ่งที่สมณะแห่งวัดกั่วเฉิงใช้ฟังเพื่อชำระล้างจิตใจก็คือเส สียงระฆังและเสียงสวดมนต์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องฟังเสียงกระดิ่ง เช่นนั้นเหตุใดสมณะสองรูปนี้ถึงมาเข้าร่วมงานชุมนุมใจกระจ่าง? นั้นย่อมต้องมีคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียว นั่นเป็นเพราะวัดก กั่วเฉิงคิดว่างานชุมนุมใจกระจ่างครั้งนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน.…
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตต่างให้ความเคารพสมณะแห่งวัดกั่วเฉิงเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีใครอยากจะถูกพวกเขารักษา แล้วก็ยิ่งไม่อยากถูกพวกเขาสวดส่งศพให้…. ต่อให้กระดิ่งในงานชุมนุมใจกระจ่าง จะดีแค่ไหน ราคาจะถูกแค่ไหน มันก็ไม่คุ้มค่า ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักแซกานผู้นั้นถึงได้ยิ้มแห้งๆ เดินจากไป
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ทุกคนจึงรู้สึกจนปัญญา ตัดสินใจว่าตอนที่อยู่ในงานชุมนุมใจกระจ่างจะต้องทำตัวเงียบๆ หน่อย หากเกิดความวุ่นวายขึ้นมา จะต้องหลบไปให้ไกล
ทุกคนย่อมไม่มีอารมณ์ที่จะคุยเรื่องของสำนักเสวียนหลิงอีก จึงได้พูดถึงเรื่องที่โลกแห่งการบำเพ็ญพรตต่างให้ความสนใจมากที่สุดในตอนนี้เรื่องนั้น
……
……
“อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้หากเรื่องนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ใครจะมาเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป?”
“มันก็ต้องเป็นท่านกฎแห่งกระบี่อยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ผู้บำเพ็ญพรตส่วนใหญ่พากันพยักหน้า รู้สึกว่าเป็นควรจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เมื่อถึงตอนนั้นสำนักชิงซานจะเหลือยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์เพียงแค่คนเดียว ความอาวุโสของเขาสูงที่สุด อำนาจมากที่สุด ย่อมต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นเจ้าสำนัก
อู๋ปู้จือกลับไม่เห็นด้วยกับความเห็นนี้ เขากล่าวว่า “ตำแหน่งกฎแห่งกระบี่ของสำนักชิงซานมีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากปรมาจารย์หยวนรับตำแหน่งเจ้าสำนัก แล้วใครจะมาเป็นกฎแห่งกระบี่? ? ที่สำคัญที่สุดก็คือยอดเขาเทียนกวงและยอดเขาซั่งเต๋อขัดแย้งกันมาหลายปี เหล่าลูกศิษย์ของนักพรตหลิ่วจะต้องไม่ยอมให้ปรมาจารย์หยวนมาเป็นเจ้าสำนักอย่างแน่นอน ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ย ยงว่างเหล่านั้นใจร้อนมุทะลุ หากเกิดความวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ไม่เป็นเรื่องใหญ่ แต่มันก็คงดูไม่ดีเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นปรมาจารย์หยวนอายุมากแล้ว เกรงว่าคงจะหาวิธีบอกปัดเร รื่องนี้ออกไป ไม่แน่ว่าจะสนใจที่จะเป็นเจ้าสำนัก”
มีคนคิดว่าคำพูดนี้มีเหตุผล จึงกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “แต่นอกจากท่านกฎแห่งกระบี่แล้ว ยังจะมีใครที่ทำให้ทุกคนยอมรับได้อีก?”
อู๋ปู้จือกล่าวว่า “พวกท่านไม่ได้เห็นศึกในทะเลตะวันตกด้วยตัวเอง นักพรตกว่างหยวนแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยสังหารผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลของสำนักกระบี่ซีไห่คนหนึ่งบนทะเล อาศัยกระบี่ เล่มเดียวขวางทางเจ้าเรือนอี้เหมาปู้ชิวเซียวเอาไว้ ว่ากันว่าเขาอยู่ในขั้นแหวกทะเลระดับสูงสุดแล้ว มีหวังจะทะลวงสวรรค์ ข้าว่าน่าจะเป็นนักพรตท่านนี้นี่แหละ”
มีคนกล่าวว่า “หากว่ากันตามสภาวะ เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลฟางจิ่งเทียนเองก็อยู่ในขั้นแหวกทะเลระดับสูงสุด มีหวังจะบรรลุสภาวะ ว่ากันว่าตอนนี้กำลังเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ยิ่งไปกว่านั้นเ เขาไม่ได้เข้าร่วมในศึกถล่มสำนักกระบี่ซีไห่ คอยรับผิดชอบดูแลสำนัก จากจุดนี้จะเห็นได้ว่านักพรตหลิ่วฉือให้ความไว้ใจและให้ความสำคัญกับเขาอย่างมาก ไม่แน่ในหนังสือสั่งเสียอาจ จจะมีชื่อของคนผู้นี้อยู่ก็เป็นได้”
ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านี้ย่อมไม่รู้ว่าฟางจิ่งเทียนถูกหยวนฉีจิงขังอยู่ในยอดเขาเร้นลับ ถ้าไม่ทะลวงสวรรค์ก็ไม่อาจออกมาได้
มีคนกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “กระบี่มาจากชิงซาน ยอดเขาอวิ๋นสิงคือยอดเขากระบี่ หรือเจ้าแห่งยอดเขาฝูว่างจะไม่มีหวัง?”
ใครจะเป็นเจ้าสำนักชิงซานคนต่อไป นี่คือเรื่องที่ทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตต่างให้ความสนใจมากที่สุด เมื่อเทียบกันแล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนแต่กลายเป็นเรื่องเล็ก
ทุกคนถกเถียงกันอย่างจริงจัง ภายในคำพูดเต็มไปด้วยความรู้สึกสนใจและความเป็นห่วง
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตนั้นรู้สึกสนใจและเป็นห่วงเรื่องนี้จริงๆ เพราะไม่มีใครอยากให้สำนักชิงซานเกิดเรื่อง
หากชิงซานวุ่นวาย ใต้หล้าจะทำอย่างไร?
แสงไฟส่องสว่างหมวกลี่เม่าใบนั้น
คนผู้นั้นฟังเหล่าผู้บำเพ็ญพรตถกเถียงกันอย่างเงียบๆ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาพูดอะไร
“เฮ้อ…ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าสำนัก ก็คงไม่มีทางที่จะสะบั้นกระบี่สาดส่องไปทั่วทั้งใต้หล้า จนสรรพสิ่งไม่กล้าออกมาได้เหมือนอย่างนักพรตหลิ่วฉืออีกแล้ว”
การพูดคุยของทุกคนหยุดลงเพราะคำพูดทอดถอนใจประโยคนี้ ภายในวัดร้างอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ยากจะบรรยายได้
ถูกต้อง ฝนฤดูใบไม้ผลินั้นกำลังจะมาถึงแล้ว
สำนักจงโจวปิดสำนักสามปี อย่างนั้นก็เท่ากับว่ายังเหลืออีกหนึ่งปี?
ผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในวัดเหล่านั้นมาจากสำนักเล็กๆ หรือไม่ก็เป็นผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนัก ไม่สามารถเทียบกับยอดคนแห่งใต้หล้าของสำนักชิงซานได้ แล้วก็ไม่อาจเอื้อมถึงอีกฝ่ายได้ แต่ เมื่อคิดถึงว่ายอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ผู้นั้นจะต้องมาจากไปแบบนี้ พวกเขาก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้
แต่เนื่องเพราะความผิดหวังเช่นนี้ จึงทำให้ในตอนที่ฟ้ายังไม่ทันสาง เหล่าผู้บำเพ็ญพรตก็ทยอยเดินจากไป
คนที่สวมหมวกลี่เม่าผู้นั้นลุกขึ้นยืน เดินไปด้านหน้าสมณะสองรูปนั้นพลางกล่าวถามว่า “พวกท่านคิดว่าให้ใครเป็นเจ้าสำนักชิงซานดี?”