มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 84 ถามชัดเจน
สมณะแก่มองดูเขาพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นส่ายศีรษะ ไม่รู้ว่าหมายถึงไม่ทราบคำตอบ หรือว่าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงถามเช่นนี้
สมณะหนุ่มดูเหมือนจะสุขุมขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังพอมีอารมณ์อยู่บ้าง เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ประสกกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ก่อนหน้านี้ในตอนที่ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นพูดคุยกัน พวกเขาเพียงแค่คุยกันถึงว่าใครมีโอกาสที่จะเป็นเจ้าสำนักมากกว่ากัน แต่ไม่ได้พูดความคิดของตนเองออกมา
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้
สมณะหนุ่มรู้สึกว่าคำถามนี้ของอีกฝ่ายมีเจตนาร้ายที่ชัดเจน
“ก็แค่ถามดู”
จิ๋งจิ่วถอดหมวกออก นั่งลงตรงหน้าสมณะทั้งสอง
สมณะหนุ่มเมื่อเห็นเขาก็รู้สึกตกใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอย่างดีใจว่า “อาจารย์เซียนจิ๋งจิ่ว ที่แท้เป็นท่านนี่เอง! ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” พวกเราได้เจอกันอีกแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่ปิดวาจาแล้วหรอ?”
สมณะหนุ่มเกาศีรษะอย่างรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
สมณะแก่เองก็ยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “ในตอนที่ท่านไปยังวัดในปีนั้น อาตมายังอยู่ทางเหนือ หลังกลับมาได้ยินลูกศิษย์บอกว่า….”
ขณะที่พูด เขาพลันไอขึ้นมา รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ายิ่งดูลึกขึ้นกว่าเดิม ท่าทางดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
สมณะหนุ่มรีบอธิบายว่าอาจารย์ของตนเองได้รับบาดเจ็บภายในตั้งแต่ตอนอยู่ที่ที่ราบหิมะ ยากจะรักษาให้หายได้
จิ๋งจิ่วมองดู พบว่าเส้นลมปราณของสมณะแก่ถูกความหนาวเย็นโจมตีจนลีบเล็ก ไม่มีวิธีที่จะรักษาได้จริงๆ ได้แต่ต้องรักษาไปตามอาการอีกสักระยะ
ในขณะที่สมณะหนุ่มกำลังเล่าถึงเรื่องทิวทัศน์ในเมืองไป๋เฉิง ความน่าเกลียดของสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ย ความลี้ลับของเทพดาบ.… ทันใดนั้นเขาพลันยกมือขึ้นมาปิดปาก
จิ๋งจิ่วคิดในใจ วันนี้ก็ไม่เห็นว่าสมณะแก่จะให้เจ้าปิดปากนี่นา?
สมณะหนุ่มใช้มือปิดปาก ส่งเสียงอู้อี้ ดึงดันว่าไม่ยอมพูด
สมณะแก่ยิ้มๆ พลางไอออกมาเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “หลังจากเกิดเรื่องในทะเลตะวันตก ในวัดก็ไม่ให้พวกเราติดต่อกับศิษย์ชิงซานอีก”
จิ๋งจิ่วรู้ว่านี่เป็นเพราะเรื่องที่หลิ่วฉือปล่อยตัวนักพรตไท่ผิงออกมา ด้วยนิสัยของฉานจึแล้ว เขาย่อมไม่มีทางรามือเพียงเท่านี้แน่
เขากล่าวกับสมณะหนุ่มว่า “ข้าไม่ใช่ลูกศิษย์ชิงซานธรรมดา ข้าเป็นลูกศิษย์ของยอดเขาเสินม่อ”
สมณะหนุ่มคิดแน่ใจว่ามันก็ใช่ เดิมความสัมพันธ์ของในวัดกับสำนักชิงซานก็มิได้มีอะไรพิเศษ เพียงแต่มีความสนิทสนมกับยอดเขาเสินม่อ จึงรีบวางมือลงแล้วกล่าวว่า “อาจารย์เซียน เมื่อ ครู่ท่านถามคำถามนั้นมันหมายความว่าอย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตัวอยู่ในสำนัก มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง ฟังความคิดของสำนักอื่นบ้างก็เป็นสิ่งที่ดี”
สมณะหนุ่มไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดศิษย์หนุ่มผู้นี้ถึงต้องสนใจเรื่องคนที่จะมาเป็นเจ้าสำนัก จึงส่ายศีรษะแล้วกล่าวตรงๆ ว่า “ยอดคนเหล่านั้นข้าไม่เคยพบ ไม่รู้จักแม้แต่นิดเดียว ไหน เลยจะไปรู้ว่าใครที่เหมาะจะเป็นเจ้าสำนักชิงซานมากกว่ากัน”
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ นอกจากตัวเองแล้ว มีใครสามารถพูดได้บ้างว่ารู้จักใครอย่างแท้จริง?
สมณะหนุ่มถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “ท่านสนับสนุนใคร? นักพรตกว่างหยวนหรือว่าเจ้าแห่งยอดเขาฟางจิ่งเทียน?
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ล้วนไม่รู้จัก ย่อมไม่สนับสนุน”
สมณะหนุ่มฟังคำพูดของเขาไม่เข้าใจ จึงเกาศีรษะอย่างเขินอายเล็กน้อย
ไม่รู้เพราะเหตุใด จิ๋งจิ่วถึงรู้สึกชื่นชมสมณะผู้นี้ เขายิ้มเล็กน้อยแล้วไถ่ถามถึงสถานการณ์ในช่วงนี้ของอีกฝ่าย
สำหรับเขาแล้ว การทักทายเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก
สมณะหนุ่มตื่นตัวขึ้นมาทันที บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางไปบนโลกและการรักษาคนของตัวเองกับอาจารย์ในช่วงหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศหรือเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่แปลกประห หลาดก็ล้วนแต่บอกเล่าออกมาจนหมด เรียกได้ว่าไม่มีปิดบังเลยแม้แต่น้อย
นี่มันใช่สถานการณ์ในช่วงนี้ที่ไหนกัน นี่มันชีวประวัติต่างหาก
จิ๋งจิ่วฟังเรื่องราวการผดุงความยุติธรรม เรื่องการช่วยชีวิตคนโดยไม่มีความรู้สึกหงุดหงิด แล้วก็มิได้กล่าวชื่นชม มิได้หยอกล้อ แล้วก็ไม่มีการต่อบทสนทนา เขาเพียงแต่ส่งเสียงอืมเล็กน้อ อย
แต่มองออกเลยว่าเขาฟังอย่างตั้งใจ
สมณะแก่มองดูภาพนี้พลางยิ้มเล็กน้อย
ท่าทีที่จิ๋งจิ่วแสดงออกมาคือสภาวะที่สมณะวัดกั่วเฉิงชื่นชอบที่สุดและเฝ้าแสวงหามากที่สุด
ในที่สุดแสงแดดยามเช้าก็สาดส่องลงมาบนยอดเขา กองไฟมอดดับลงกลายเป็นเถ้าถ่าน พวกเขาต้องรีบเดินทางต่อ สมณะหนุ่มจึงกล่าวถามว่า “อาจารย์เซียนจิ๋งจิ่ว ท่านเองก็จะไปสำนักเสวียนหลิง งด้วยใช่หรือเปล่า?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “อืม แต่ไม่อยากเปิดเผยตัวตน”
สมณะหนุ่มมองไปหน้าเขาพลางกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “นี่มันยากนะ…ต่อให้มีหมวกปิดบังใบหน้า แต่ถ้าไม่แสดงตัวตน สำนักเสวียนหลิงก็ไม่มีทางให้เข้าไปหรือเปล่า?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ถ้าหากด้านหน้ามีตลาด ข้าอยากซื้อหมวกลี่เม่าสองใบ”
สมณะหนุ่มไม่เข้าใจ สมณะแก่กลับเข้าใจ เขานิ่งเงียบไปครู่ก่อนกล่าวว่า “ก็ดี”
……
……
ในเทือกเขาตงหลิ่งมีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง ทางด้านตะวันตกมีหุบเขาอยู่แห่งหนึ่ง หันหน้ารับแสงอาทิตย์ยามเช้าในทุกวัน ได้ชื่อว่าหลีหมิง[1]
ทะเลสาบหลีหมิงไม่ได้มีความพิเศษเหมือนอย่างทะเลปี้หู แล้วก็มิได้มีความกว้างใหญ่ไพศาลเหมือนอย่างต้าเจ๋อ แต่มีภาพทิวทัศน์ริมทะเลสาบที่งดงามกว่า
ลมภูเขาพัดผ่านกิ่งหลิว แตะผิวน้ำแผ่วเบา เกิดระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วน
บนกิ่งหลิวจำนวนมากมีกระดิ่งมัดเอาไว้อยู่ ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งๆ แต่เมื่อดังขึ้นพร้อมๆ กันแล้วกลับมิได้ทำให้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เพียงแต่ทำให้จิตใจรู้สึกสงบ
สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของสำนักเสวียนหลิงก็คือกระดิ่งใจพิสุทธิ์
กระดิ่งใจพิสุทธิ์สามารถช่วยผู้บำเพ็ญพรตขับไล่ความชั่วทำให้จิตใจสงบ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่นั่งสมาธิหรือถอดจิต ก็ล้วนแต่เป็นของวิเศษที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก กระดิ่งใจพิสุทธิ์ที่ ระดับชั้นไม่เท่ากันมีความสามารถที่แตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นสำนักบำเพ็ญพรตสำนักต่างๆ จึงให้ความสำคัญกับกระดิ่งใจพิสุทธิ์อย่างมาก อีกทั้งเป็นเพราะสำนักชิงซาน ทั่วทั้งโลกแห่งกา ารบำเพ็ญพรตจึงเงียบเชียบมาเป็นเวลาสองปี งานชุมนุมใจกระจ่างถือเป็นงานใหญ่งานแรก มีสำนักมากมายที่มาเข้าร่วมงาน ยกเว้นสำนักจงโจวที่ปิดสำนัก สำนักอู๋เอินเหมินและสำนักกระบี่ซีไห่ ที่ถูกกำจัดไป สำนักส่วนใหญ่ล้วนแต่มากันครบ
งานชุมนุมใจกระจ่างครั้งนี้นอกจากจะมีการแจกกระดิ่งใจพิสุทธิ์ระดับชั้นต่างๆ เป็นของรางวัลเหมือนอย่างที่ผ่านมาแล้ว ภายในงานยังจะมีการอวยพรวันเกิดให้แก่เหล่าไท่จวินด้วย
แต่ที่น่าสนใจก็คือ นอกจากตัวเหล่าไท่จวินแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่านางอยู่มาแล้วกี่ปี
โลกบำเพ็ญพรตรู้เพียงแต่ว่าตอนที่นางปรากฏตัวขึ้นมาบนโลกแห่งการบำเพ็ญพรตครั้งแรก งานชุมนุมเหมยฮุ่ยยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นการชมกระดิ่งใจพิสุทธิ์หรือว่างานวันเกิดเหล่าไท่จวินก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ริมทะเลสาบหลีหมิงกลับไม่มีบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองใดๆ บางคนถึงขนาดรับรู้ได้ถ ถึงแรงกดดันบางอย่าง
เหล่าผู้บำเพ็ญแต่ละสำนักเข้าใจถึงสาเหตุ ต่างกำชับศิษย์ในสำนักของตัวเองว่าอย่าเดินไปเดินมาตามใจชอบก่อนที่งานชุมนุมจะเริ่มขึ้น ต่อให้เป็นที่ริมทะเลสาบก็อย่าเพิ่งไปเดินเล่นจะ ะดีที่สุด
—-เมื่อเหล่าไท่จวินแก่ตัวลงเรื่อยๆ นางก็ยิ่งรู้สึกไม่วางใจต่ออนาคตของสำนักเสวียนหลิง กังวลว่าเจ้าสำนักคนปัจจุบันหรือก็คือเฉินซื่อที่เป็นลูกสะใภ้ของนางจะแต่งงานใหม่ห หลังจากที่ตนเองตายแล้ว แล้วสำนักเสวียนหลิงจะตกเป็นของคนตระกูลอื่น เมื่อหลายปีก่อนนางเคยเสนอให้เฉินซื่อแต่งกับหลานคนหนึ่งของตระกูลสามีตนเอง ก่อนจะถูกอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างไม ม่ลังเล หลังจากวันนั้นความขัดแย้งที่ก่อตัวอย่างเงียบๆ ภายในสำนักเสวียนหลิงก็กลายเป็นความขัดแย้งที่ทุกคนต่างเห็นได้อย่างชัดเจน เหล่าไท่จวินพยายามทุกวิธีทางเพื่อทำให้การสืบท ทอดของสายเลือดตระกูลเต๋อยังคงดำเนินต่อไป หากมิเป็นเพราะมีสำนักชิงซานคอยสนับสนุน เกรงว่าเฉินซื่อคงจะถูกกำจัดไปนานแล้ว
……
……
สมณะที่สวมหมวกลี่เม่าสามคนมาถึงริมทะเลสาบหลีหมิง
ลูกศิษย์สำนักเสวียนหลิงที่รับผิดชอบเรื่องการต้อนรับแขกย่อมต้องเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวาง พอเห็นก็รู้ว่าอีกฝ่ายมาจากวัดกั่วเฉิง ในใจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็ทำได้เพียง งเชิญอีกฝ่ายเข้ามา วัดกั่วเฉิงได้รับความเคารพเลื่อมใสจากเหล่าผู้บำเพ็ญพรตในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต หากให้คนรู้ว่าสำนักเสวียนหลิงปฏิเสธไม่ให้ไต้ซือจากวัดกั่วเฉิงเข้าร่วมงาน เ เกรงว่าคงจะถูกโลกแห่งการบำเพ็ญพรตพากันตำหนิติเตียนเป็นแน่
สาเหตุที่ศิษย์สำนักเสวียนอินผู้นี้รู้สึกไม่สบายใจก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ผู้บำเพ็ญพรตในวัดร้างผู้นั้นจากไปก่อนล่วงหน้า — เหล่าไท่จวินไม่มีทางเชิญสมณะจากวัดกั่วเฉิงมาเข้า าร่วมงานชุมนุมใจกระจ่างอย่างแน่นอน อีกฝ่ายมาเข้าร่วมงานด้วยตัวเองเช่นนี้ หรือจะมั่นใจว่างานชุมนุมใจกระจ่างจะเกิดเรื่องขึ้น?
ไม่ว่าใครต่างก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวมันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ พูดอีกอย่างคือรวดเร็วเหมือนโต๊ะถูกพลิกคว่ำ
ในงานเลี้ยงต้อนรับในเย็นวันนั้น เต๋อเหล่าไท่จวินที่ผมขาวเป็นดอกเลาเข้ามายืนในตำแหน่งประธานโดยมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพยุงเอาไว้
ภายในงานไม่มีเงาของเจ้าสำนักเฉินและคุณหนูของสำนักเสวียนหลิงเต๋อเซ่อเซ่อ
ชายวัยกลางคนผู้นั้นสภาวะลึกล้ำ ท่าทีดูสุุขุมเยือกเย็น แต่ในสายตาของผู้บำเพ็ญพรตสำนักต่างๆ กลับค่อนข้างแปลกหน้า
เหล่าไท่จวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าขอแนะนำให้สหายธรรมทุกท่านได้รู้จักเสียหน่อย นี่คือหลานชายของตระกูลสามีข้า มีนามว่ายวนเฉวียน
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังชายวัยกลางคนที่มีนามว่าเต๋อยวนเฉวียนผู้นี้
มีคนคาดเดาได้แล้วว่าคนผู้นี้ก็คือคู่รักบำเพ็ญพรตที่เหล่าไท่จวินเลือกให้เจ้าสำนักเฉินในตอนนั้น
หลังจากงุนงงไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเหล่าผู้บำเพ็ญพรตก็เข้าใจเจตนาของเหล่าไท่จวิน จึงมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา!
ต่อให้เหล่าไท่จวินจะบีบบังคับเจ้าสำนักเฉินอย่างไร โลกแห่งการบำเพ็ญพรตก็พากันคิดมาโดยตลอดว่านางอยากจะสังหารแม่เพื่อยกสำนักต่อให้หลาน
แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ในวันนี้ หรือว่านางคิดจะยกสำนักนี้ให้กับเต๋อยวนเฉวียนไปเลย?
อย่างนั้นเจ้าสำนักเฉินและเต๋อเซ่อเซ่อล่ะ? ถูกขังเอาไว้หรือ หรือว่า…ตายไปแล้ว?
ไม่มีใครพูดอะไร ภายในงานตกอยู่ในความเงียบสงัด
ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่โหดร้ายเพียงใด แต่มันก็เป็นเรื่องภายในสำนักเสวียนหลิง
เห็นได้ชัดว่าเหล่าไท่จวินได้ควบคุมสำนักเสวียนหลิงเอาไว้หมดแล้ว คนอื่นจัดการไม่ได้ แล้วก็ไม่กล้าจัดการ
ในเวลานี้เอง ภายในงานชุมนุมเหมือนมีความรู้ใจกันบางอย่างเกิดขึ้น สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนละจากเต๋อยวนเฉวียนแล้วมองไปยังที่หนึ่งภายในโถง
ตรงนั้นคือตำแหน่งที่ดีที่สุดภายในโถง
คนจากสำนักชิงซานนั่งอยู่ตรงนั้น
คนที่เป็นผู้นำคือเหอปู้มู่ที่เป็นผู้อาวุโสของสำนักซื่อเยวี่ย คนที่เดินทางมาพร้อมกับเขาคือหลินอิงเหลียงและศิษย์หนุ่มคนอื่นๆ
ปกติเหอปู้มู่จะปลูกสมุนไพรหลอมยาอยู่ในยอดเขา บางครั้งก็จะทำหน้าที่จัดงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรในโลกบำเพ็ญพรต
เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทาง ทุกคนต่างก็รู้สึกได้ว่าผู้อาวุโสผู้นี้เป็นคนจริงใจและเงียบขรึม
สำนักชิงซานจะมีความเห็นอย่างไร?”
“เจ้าสำนักเฉินล่ะ?”
บนใบหน้าเหอปู้มู่ไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่คำถามกลับตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก
เหล่าไท่จวินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เมื่อหลายวันก่อนเฉินซื่อป่วยหนัก ไม่สะดวกพบแขก”
เหอปู้มู่กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปดูเสียหน่อย”
เหล่าไท่จวินกล่าวเสียงด้านชา “ชายหญิงต่างกัน เกรงว่าจะไม่สะดวก”
นี่คือการไม่ยอมอ่อนข้อ
เหอปู้มู่กล่าวว่า “อย่างนั้นคุณหนูล่ะ?”
เหล่าไท่จวินกล่าวว่า “เซ่อเซ่อต้องดูแลแม่ของนาง ไม่มีเวลาออกมาพบแขก”
เหอปู้มู่ลุกขึ้นยืน มองเหล่าไท่จวินพลางกล่าวว่า “ท่านควรจะรู้เอาไว้นะว่าหลายปีมานี้ ยอดเขาเสินม่อมีแขกเพียงแค่สามคน ถงเหยียน ไป๋เจ่าและคุณหนู”
เหล่าไท่จวินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ผู้อาวุโสมีอะไรก็พูดมาตรงๆ”
เหอปู้มู่กล่าวว่า “นางห้ามเป็นอะไร”
เหล่าไท่จวินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เด็กน้อยชอบเล่นสนุก จะล้มหัวกระแทกไปบ้างมันก็เป็นเรื่องปกติ หรือว่าเจ้าล่าเยวี่ยจะสังหารข้าเพราะหรือแบบนี้?”
เหอปู้มู่นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะมองไปทางชายวัยกลางคนที่ชื่อเต๋อยวนเฉวียนผู้นั้นแล้วกล่าวว่า “เจ้า…อยากตายหรือไม่อยากตาย?”
……………………………………………………………..
[1]หลีหมิง หมายถึง ช่วงเวลาที่ฟ้าใกล้สางหรือเพิ่งจะสาง