มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 87 เจ้าสำนักเฉิงและลูกสาวของนาง
จิ๋งจิ่วลืมตา
กระบี่คมจักรวาลเพิ่งจะกลับมา
หลิวอาต้าปิดปาก สายตาที่มองดูจิ๋งจิ่วเต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชมและตกตะลึง
คิดไม่ถึงว่าจะเร็วกว่ากระบี่ของตัวเอง…นี่มันเพลงกระบี่อะไรกัน?
วิชาที่จิ๋งจิ่วใช้ย่อมต้องเป็นเซียนกระบี่แห่งยมโลก
หลิวอาต้าระบุข่ายพลังบนเส้นทางเหล่านั้นและตำแหน่งของเต๋อยวนเฉวียน เขาคำนวณเส้นทาง สั่งสมพลังกระบี่อยู่หลายสิบอึดใจ จากนั้นสังหาร
นี่คือวิธีโจมตีแบบสายฟ้าแลบที่ผู้ฝึกกระบี่ระดับสูงชอบใช้ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากผู้ฝึกกระบี่เหล่านั้นมากที่สุดก็คือกระบี่ที่เขาใช้คือตัวเขาเอง
กระบี่เซียนแห่งยมโลกของเขาในตอนนี้ย่อมต้องยังไม่อาจเทียบกับตอนที่หลิ่วฉือใช้เขาเป็นกระบี่ได้ แต่เจตน์กระบี่ลอยล่อง คล้ายเซียนคล้ายผี เรียกได้ว่าร้ายกาจเป็นอย่างมากเช่น นกัน
สภาวะของเต๋อยวนเฉวียนลึกล้ำ แม้นจะต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลของชิงซานก็มิได้มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าวิถีกระบี่ของจิ๋งจิ่วจะแปลกประหลาดถึงเพียง งนี้ จึงได้ถูกสังหารไปทั้งแบบนี้
หลิวอาต้าย่อมต้องเคยเห็นกระบี่เซียนแห่งยมโลกของจิ๋งจิ่ว เพียงแต่มันไม่เคยเห็นกระบี่เซียนแห่งยมโลกที่เป็นแบบนี้ จึงจ้องมองจิ๋งจิ่วไม่วางตา
ทำไมเจ้าถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้ล่ะ?
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “แหวกทะเล”
นี่หมายถึงเรื่องที่เขาบรรลุสภาวะบนยอดเขาปี้หูได้สำเร็จเมื่อหลายวันก่อน
หลิวอาต้าเหลือบมองดูเขา ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าคิดว่าข้าเป็นไอโง่อย่างนั้นหรือ? บนโลกมีแหวกทะเลที่แข็งแกร่งขนาดนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?
หากบอกว่าขั้นแหวกทะเลสามารถใช้กระบี่เซียนแห่งยมโลกสังหารจนอย่างเต๋อยวนเฉวียนได้ในพริบตา อย่างนั้นในอนาคตหากเจ้าบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์ นั่นมิเท่ากับว่าเจ้าอยากฆ่าใครบนแผ่นด ดินเฉาเทียนก็ฆ่าได้อย่างนั้นรึ?
เมื่อหลายปีก่อนจิ๋งจิ่วเคยบอกกับเจ้าล่าเยวี่ยว่า ความจริงแล้วตัวเองคือคนที่เหมาะที่จะเป็นนักฆ่าที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน
นี่คือข้อสรุปที่ได้จากการที่เขาไล่สังหารสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยเหล่านั้นในตอนที่เข้าร่วมงานประลองวิถีพรตบนที่ราบหิมะ
สัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยเหล่านั้นมีการรับรู้ที่เฉียบคมมาแต่กำเนิด แต่กลับไม่สามารถรับรู้ตัวเขาที่อยู่ภายในความมืดได้ แล้วหากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญพรตของมนุษย์ พวกเขาจะหลบการลอบสัง งหารของเขาได้อย่างไร
แต่การสังหารเต๋อยวนเฉวียนในวันนี้ เขาไม่ได้แสดงเป็นนักฆ่าที่แอบซ่อนตัวอยู่ในความมืด หากแต่เป็นมือสังหารที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่าง
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเขามั่นใจว่าจะสังหารอีกฝ่ายได้
ตอนที่อยู่ในคุกสะกดมาร เขาได้สร้างวิถีกระบี่แบบใหม่ขึ้นมา นับแต่นั้นเป็นต้นมา การแบ่งแยกสภาวะวิถีกระบี่แบบเก่าก็ไม่เหมาะที่จะใช้กับเขาอีก อย่างน้อยมันก็ไม่สมบูรณ์มากพ พอ
เป็นเพราะกระบี่เซียนแห่งยมโลก ตัวเขาที่อยู่ในสภาวะขั้นแหวกทะเลถึงได้มีพลังสังหารและความเร็วอย่างที่ยากจะจินตนาการได้
ตัวเขาในเวลานี้เพิ่งจะถือว่ามีความสามารถในการปกป้องตัวเองอย่างแท้จริงขึ้นมาบ้าง แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เขาคิดเอง
ที่เขากล้าพาแค่หลิวอาต้าออกมาจากชิงซาน ใช้กระบี่พรหมจรรย์ล่อให้ศิษย์พี่ปรากฏตัว ก็ล้วนแต่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อมั่นใจตัวเองเช่นนี้
เหตุผลและสาเหตุเหล่านี้ จิ๋งจิ่วไม่ได้อธิบายให้หลิวอาต้าฟัง เพราะว่าเขาขี้เกียจ
เขาใส่หมวกลี่เม่า ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกห้อง
หลิวอาต้าสังเกตเห็นว่าใบหน้าเขาค่อนข้างขาวซีด ฝีเท้าดูไม่ค่อยมั่นคง มันถึงได้รู้ว่ากระบี่เมื่อครู่นี้เผาผลาญพลังไปเป็นจำนวนมาก
เมื่อคิดถึงตรงนี้มันก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่ากระบี่ที่มีอานุภาพร้ายกาจขนาดนี้ หากสามารถใช้ออกมาได้เรื่อยๆ มันจะยอดเยี่ยมขนาดไหนกัน?
เมื่อมาถึงลานบ้าน สมณะทั้งสองรูปกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ ในหม้อใบใหญ่ไม่รู้ว่ากำลังต้มอะไรอยู่ ด้านข้างมีผักสดๆ วางเอาไว้ กลิ่นหอมไม่เลว
“อาหารเจที่สำนักเสวียนหลิงจัดมาให้ตอนกลางวันมีแต่อาตมากับอาจารย์ที่กิน ยังมีเหลืออยู่เยอะ รู้สึกเสียดายก็เลยเอากลับมา”
สมณะหนุ่มกล่าวเชิญจิ๋งจิ่วว่า “ผักข้าเพิ่งจะเด็ดมา ต้มแล้วอร่อยมาก ท่านจะลองชิมหน่อยไหม?”
หลิวอาต้ามองสมณะหนุ่มอย่างดูถูก ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าจิ๋งจิ่วเนี่ยกระทั่งหม้อไฟก็ยังไม่กินเลย แล้วจะไปกินผักต้มน้ำเปล่าของเจ้าได้อย่างไร?
จากนั้นมันก็เกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าพวกพระนี่ใช้ชีวิตลำบากจริงๆ เด็กน้อยที่ชื่อเซ่อเซ่อนั้นก็เหมือนกัน ทำไมถึงต้องแต่งกับพระให้ได้ด้วย?
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า ไม่ล่ะ ข้าจะไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบหน่อย”
อาต้ารู้สึกประหลาดใจ ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าเพิ่งจะไปเดินเล่นมามิใช่หรือ?
เมื่อเดินออกมาจากลานหน้าบ้าน มันก็พบว่าจิ๋งจิ่วฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว จึงอดสบถด่าขึ้นมาในใจไม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่ามันจะเร็วเกินไปหรือเปล่า
จิ๋งจิ่วไม่ได้ไปยังริมทะเลสาบ หากแต่ไปยังด้านหลังของที่พักที่สำนักเสวียนหลิงจัดให้แขกที่มาร่วมงาน ตรงไปยังบ่อน้ำบ่อหนึ่ง
อาต้ากระโดดขึ้นไปบนปากบ่อแล้วมองลงไปด้านใน พบว่านี่มิใช่บ่อน้ำแห้ง ด้านล่างบ่อมีน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเกิดความรู้สึกลังเลขึ้นมา
มันใช้ชีวิตอยู่ที่ริมทะเลสาบปี้หูมาเป็นเวลาหลายพันปี แต่มันก็ยังไม่ชอบน้ำอยู่ดี
จิ๋งจิ่วยื่นมือไปจับมันขึ้นมา ก่อนจะยัดเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นกระโดดลงไป
เสียงตูมดังขึ้น
เสียงน้ำค่อยๆ สงบลง
……
……
ตรงกลางทะเลสาบหลีหมิงมีเกาะตั้งกระจัดกระจายอยู่หลายเกาะ
ในนั้นมีเกาะเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลและไม่สะดุดตาอย่างมากอยู่เกาะหนึ่ง
บนเกาะมีเสียงเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นมา คล้ายกับมีอะไรบางอย่างที่แตกออก
จิ๋งจิ่วกระโดดออกมา เศษดินที่อยู่บนร่างกายร่วงตกลงมาจนหมดเหมือนกับน้ำค้างที่กลิ้งตกลงมาจากใบบัว
อาต้ากลิ้งตกลงมาจากในแขนเสื้อ ถูกดินเหล่านั้นตกใส่เต็มใบหน้าและศีรษะ ท่าทางดูกระเซอะกระเซิง
มันไม่ได้ต่อว่า แล้วก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ เพราะมันรู้ว่าจิ๋งจิ่วไม่ได้ตั้งใจ
จิ๋งจิ่วสวมหมวกลี่เม่า สำรวจดูข่ายพลังที่อยู่บนเกาะเล็กน้อย ก่อนจะพบว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากข่ายพลังที่อาต้าได้เห็นก่อนหน้านี้ จึงมั่นใจว่านี่เป็นข่ายพลังที่เปลี่ย ยนแปลงไปตามพลังวิญญาณในฟ้าดิน พลางอดรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ เขากล่าวถามว่า “ข่ายพลังนี้ค่อนข้างแปลก เจ้าหาพวกนางเจอได้อย่างไร?”
อาต้าคิดในใจว่าเจ้านี้ช่างโง่จริงๆ มันรีบสลัดเศษดินออกจากศีรษะ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมา ท่าทางดูกระหยิ่มยิ้มย่อง
บนคอของมันมีกระดิ่งผูกเอาไว้อันหนึ่ง นั่นคือกระดิ่งใจพิสุทธิ์ที่เซ่อเซ่อให้จิ๋งจิ่วเอาไว้เมื่อในอดีต มันเคยช่วยเขาเอาไว้ไม่น้อยในตอนที่อยู่ในคุกสะกดมาร
เมื่อมันเงยหน้าขึ้น กระดิ่งอันนั้นก็ลอยขึ้นมาโดยไม่มีลม ชี้เฉียงๆ ไปทางด้านหน้า คล้ายกำลังบอกทิศทางอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อมีกระดิ่งใจพิสุทธิ์นำทาง ใช้เวลาไม่นาน แล้วก็เปลืองแรงไม่มาก จิ๋งจิ่วก็มาถึงด้านหน้าผนังหินแถบนั้น
ผนังหินที่ว่านั้นเป็นแค่เพียงวิชาพรางตาเท่านั้น ห้องขังที่แท้จริงอยู่ด้านหลัง
จิ๋งจิ่วเอามือวางไปบนผนังหิน จากนั้นเริ่มใช้เพลงกระบี่แบกสวรรค์คลายข่ายพลัง
บนผนังหินมีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้นมา จากนั้นค่อยๆ ขยายตัวออกไป เผยให้เห็นความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
จิ๋งจิ่วรับรู้ได้ถึงข่ายพลังที่แท้จริงที่อยู่ด้านนั้น มั่นใจว่าตนเองไม่สามารถทำลายข่ายพลังได้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องทำให้เหล่าไท่จวินคนนั้ นรู้ตัวอย่างแน่นอน
เขามั่นใจอีกครั้งว่าเพลงกระบี่แบกสวรรค์ของตัวเองยังเรียนได้ไม่ดีพอ ดูเหมือนว่าต่อให้ไม่ชอบอย่างไร เขาก็ต้องคิดหาทางที่จะทำให้เพลงกระบี่แบกสวรรค์ของตนเองแข็งแกร่งขึ้นหน่ อยเสียแล้ว
จากนั้นเขานึกขึ้นมาได้ว่าในตอนนั้นเสวี่ยจีเพียงแค่มองดูเล็กน้อยก็สามารถเรียนรู้เพลงกระบี่แบกสวรรค์ได้
เขาเข้าใจถึงความรู้สึกในตอนที่หยวนฉีจิงและผู้บำเพ็ญพรตทุกคนมองดูตัวเองแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้มันไม่ค่อยสบายเท่าไรจริงๆ ด้วย
สิ่งที่เขาสามารถปลอบใจตนเองได้ก็คือจริงอยู่ที่การบำเพ็ญพรตมันขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ แต่มันก็ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ มันเป็นเหมือนเกมที่ค่อนข้างมีความยุติธรรม
ต่อให้พรสวรรค์จะสูงส่งแค่ไหน มันก็จำเป็นต้องมีการสั่งสมและการตระหนักรู้ สิ่งมีชีวิตเหมือนอย่างเสวี่ยจีนั้นมีอายุขัยที่แทบจะเท่ากับฟ้าดิน เวลาที่จำเป็นต้องใช้ในการสั่งสมก็ย่อม ต้องยาวนานอย่างมาก
ในขณะที่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ ผนังหินก็ค่อยๆ สลายหายไปจนกลายเป็นโพรงขนาดใหญ่ เผยให้เห็นห้องขังที่อยู่ด้านใน
ภายในห้องขังไม่มีเตียง มีเพียงดอกอ้อแห้งๆ ที่เอามาวางกองกันไว้เท่านั้น
หญิงสาวที่หน้าตางดงามผู้หนึ่งนอนอยู่บนดอกอ้อ บนกระโปรงเต็มไปด้วยเลือดสดๆ ขาทั้งสองข้างถูกตัดขาด ใบหน้าขาวซีด แต่บนใบหน้าที่งดงามกลับยังคงดูอ่อนโยน มองไม่เห็นถึงสีหน้าที่ แค้นเคืองใดๆ
เซ่อเซ่อคุกเข่าอยู่ข้างกายหญิงสาวผู้นั้น ใช้ผ้าเช็ดหน้าจุ่มน้ำที่อยู่บนผนังหินเช็ดมุมปากที่แห้งผากของหญิงสาวเบาๆ
กระดิ่งใจพิสุทธิ์ที่อยู่บนคอของอาต้าพลันส่งเสียงดังขึ้นเบาๆ
เซ่อเซ่อได้ยินเสียงกระดิ่ง จึงหมุนตัวมองออกไป ก่อนจะเห็นจิ๋งจิ่วที่สวมหมวกลี่เม่าและแมวขาวตัวหนึ่ง จึงอดรู้สึกตกตะลึงงุนงงขึ้นมาไม่ได้
หญิงสาวผู้นั้นมองดูสีหน้าของเซ่อเซ่อพลางยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวถามชายหนุ่มที่สวมหมวกลี่เม่าที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องขังผู้นั้นว่า “ท่านก็คือพี่จาน?”
“ไม่ใช่! ไม่ใช่! นี่คือเพื่อนของข้า”
เซ่อเซ่อกระโดดขึ้นมา รีบโบกมือปฏิเสธ ก่อนจะเดินไปตรงหน้าห้องขังแล้วส่งสายตาบอกจิ๋งจิ่วว่าอย่าได้พูดออกมา แล้วก็อย่าถอดหมวกออก
จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจความหมายของนาง จึงกล่าวกับหญิงสาวผู้นั้นว่า “ข้าคือจิ๋งจิ่ว”
เซ่อเซ่อเอามือกุมขยับ พลางส่งเสียงร้องกลุ้มใจออกมา
สีหน้าของหญิงสาวผู้นั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นสายตาพลันเป็นประกายขึ้นมา นางกล่าวว่า “วันนี้ฟ้าครึ้ม เหตุใดคุณชายจิ๋งจิ่วถึงต้องใส่หมวกด้วย?”
นางนอนอยู่บนกองดอกอ้อ ขาทั้งสองข้างถูกตัดขาด บนกระโปรงชุ่มไปด้วยเลือด มองดูน่าหดหู่เป็นอย่างมาก แต่เสียงของนางกลับยังฟังดูอ่อนโยน ให้ความรู้สึกสบาย คล้ายกับสาวงามที่นอน อยู่บนเตียงพลางพูดคุยกับแขกที่เดินทางมาไกลด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยน ทำให้คนรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
จิ๋งจิ่วรู้ว่าสาวงามที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสผู้นี้ก็คือเจ้าสำนักเฉินแห่งสำนักเสวียนหลิง
เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดในอดีตเซ่อเซ่อถึงบอกว่าห้ามให้แม่ของนางมองเห็นตนเองเด็ดขาด เขาจึงไม่ได้ถอดหมวกออก แล้วก็ไม่ได้รับคำของนาง
เซ่อเซ่อเห็นว่าเขารู้เรื่องแล้ว จึงรู้สึกโล่งใจ ขณะเดียวกันก็เอามือลง จากนั้นมองเขาพลางกล่าวถามว่า “เจ้ามาที่นี่ทำไม? ช่วยข้าหรือ?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
เซ่อเซ่อรู้สึกซึ้งใจ จากนั้นชี้ไปยังกระดิ่งลมสิบกว่าแถวที่แขวนอยู่ด้านนอกห้องขังพลางกล่าวว่า “ข่ายพลังนี้ทำลายไม่ได้”
กระดิ่งลมเหล่านั้นห้อยตกลงมาจากบนหน้าผา เกิดเป็นม่านพลังแถบหนึ่ง รูปแบบข่ายพลังเปลี่ยนแปลงไปตามการไหลเวียนของพลังวิญญาณในฟ้าดิน ยากที่จะทำลายได้จริงๆ
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืมขึ้นมาอีกครั้ง
เซ่อเซ่อกล่าวว่า “รีบไปเถอะ หากให้เหล่าไท่จวินรู้เข้า ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายแบบไหนขึ้นมา”
ครั้งนี้จิ๋งจิ่วไม่ได้ส่งเสียงอืม เขากล่าวว่า “ข้าเคยรับปากเจ้าเอาไว้ว่าจะช่วยเจ้าฆ่าคน”
เซ่อเซ่อมองดูเขาอย่างเงียบๆ จู่ๆ พลันยิ้มขึ้นมา ใบหน้าดูงดงาม เพียงแต่มีความทุกข์ใจแฝงเอาไว้ด้วยเล็กน้อย
เรื่องเหลวไหลในตอนที่ยังเป็นเด็ก ที่แท้อีกฝ่ายก็จดจำไว้ตลอด เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว
“เมื่อก่อนได้ยินพี่ล่าเยวี่ยมองว่าเจ้าถนัดฆ่าคนเป็นพิเศษ ข้าเลยคิดอยากจะให้เจ้าช่วยแอบฆ่าคนสักสามสี่คน”
นางมองจิ๋งจิ่ว ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายแตกหักกันแล้ว ไม่สามารถแอบลงมือได้อีก ช่างมันเถอะ”
นางยังไม่รู้ว่าย่าของตัวเองคิดจะสังหารแม่ของตัวเองในคืนนี้
เรื่องนี้อาต้าบอกจิ๋งจิ่วไปแล้ว จิ๋งจิ่วไม่คิดที่จะบอกนาง
“ต่อไปข้าอาจจะต้องอยู่ที่ชิงซาน ยากที่จะออกมาช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ได้อีก เอารายชื่อให้ข้า”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเคยรับปากเจ้าไว้ว่าจะช่วยฆ่าเพิ่มให้อีกห้าคน อย่าลืมล่ะ”
เซ่อเซ่อนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะเริ่มพูดชื่อขึ้นมา
ชื่อเหล่านั้นนางล้วนแต่จำได้อย่างแม่นยำ
คนเหล่านี้คือคนที่ยุแยงให้แม่และย่าของนางทะเลาะกัน แล้วก็เป็นคนเหล่านี้ที่ยืนกรานจะยืนอยู่ข้างย่าของนาง ช่วยย่าของนางควบคุมอำนาจภายในสำนักเสวียนหลิง
ขอเพียงคนเหล่านี้ตายไป ผู้อาวุโสและลูกศิษย์ส่วนใหญ่ในสำนักเสวียนหลิงก็จะมายืนอยู่ฝั่งแม่ของนาง
“เต๋อยวนเฉวียน….”
สุดท้ายเซ่อเซ่อกล่าวออกมาว่า “นี่คือคนที่ข้าอยากฆ่ามากที่สุด แล้วก็เป็นคนที่ฆ่าได้ยากที่สุด หากเจ้าคิดว่ายากลำบาก ก็ไม่ต้องลงมือ….ไม่สิ ลบชื่อนี้ทิ้งไป”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เขาตายแล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เซ่อเซ่อตกตะลึงไปทันที
ย่าเตรียมจะให้สารเลวเต๋อยวนเฉวียนผู้นี้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไป….ทำไมถึงตายแล้วล่ะ?
ผู้บำเพ็ญพรตยากที่จะป่วยตาย แล้วก็ไม่มีทางถูกม้าที่ตกใจกลัวเหยียบตาย อย่างนั้นก็มีเพียงคำตอบเดียว
จิ๋งจิ่วรู้ว่าเต๋อยวนเฉวียนจะต้องเป็นคนที่อยู่บนรายชื่อนางอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงชิงฆ่าก่อน
“ดีมาก”
เซ่อเซ่อเกิดความโหดเหี้ยมเหมือนตอนที่สังหารเจียงรุ่ยในที่ราบหิมะขึ้นมาอีกครั้ง นางมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างชื่นชมว่า “หากมิเป็นเพราะมีพี่จานอยู่ ข้าจะต้องแต่งกับเจ้าแน่นอ อน”
“ข้าต้องขอบคุณเขา”
จิ๋งจิ่วหมุนตัวเดินออกไปนอกเกาะ
เจ้าสำนักเฉินใช้เสียงที่อ่อนโยนกล่าวว่า “คุณชายช้าก่อน”
จิ๋งจิ่วไม่ได้เหลียวหน้ากลับมา ในใจครุ่นคิดว่าเซ่อเซ่อดูคล้ายแม่ของนาง เพียงแต่เส้นทางที่เดินกลับต่างกันมาก