มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 89 ท่านเป็นใครกันแน่? พวกเราล่ะ?
เหล่าไท่จวินและเหล่ายอดฝีมือของสำนักเสวียนหลิงล้วนแต่ไปยังเรือนหลังเล็กหลังนั้น ด้วยคิดที่จะจับจิ๋งจิ่ว
แต่ในเวลานี้จิ๋งจิ่วกลับอยู่ที่หอเด็ดดาวที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบกว่าลี้
ในที่สุดอาต้าก็ได้แสดงพรสวรรค์ของเผ่าพันธุ์แมวออกมา มันห้อยหัวลงมาจากใต้ชายหลังคา อ้าปากกัดกระดิ่งที่ดูไม่ธรรมดาอันนั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้มันส่งเสียงใดๆ
ภาพนี้ดูค่อนข้างตลก แต่ความจริงแล้วกลับอันตรายเป็นอย่างมาก นอกจากผู้พิทักษ์ขั้นทะลวงสวรรค์เหมือนอย่างมันแล้ว ยังจะมีแมวตัวไหนที่สามารถคาบระฆังชีวิตของเหล่าไท่จวินเอาไว้ เหมือนอย่างคาบหนูได้?
ภายในหอเด็ดดาวมีลมพัดขึ้นมาเบาๆ จิ๋งจิ่วเคลื่อนไหวไปมาภายในหออย่างรวดเร็วราวกับควันสายหนึ่ง เขากำลังค้นหาศูนย์กลางของข่ายพลังด้วยความเร็วที่ยากจะจินตนาการได้
เจ้าสำนักเฉินไม่รู้ว่าศูนย์กลางของข่ายพลังอยู่ที่ไหน นี่คือความลับที่มีเพียงเหล่าไท่จวินเท่านั้นที่ล่วงรู้ และนางก็อาศัยความลับนี้ในการควบคุมสำนักเสวียนหลิงเอาไว้ แม้น ลูกชายของนางจะตายไปหลายสิบปีแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จิ๋งจิ่วหยุดลง เขามองไปทางกระถางดอกไม้ใบหนึ่งที่อยู่ตรงด้านหน้าหน้าต่าง
กระถางใบนั้นทำขึ้นมาจากกระเบื้อง ด้านในมีดอกซานเย่ถานที่หายากอยู่กอหนึ่ง
อาต้าหอยตัวลงมาจากชายหลังคา งับกระดิ่งอันนั้นอยู่เป็นเวลานานแล้ว น้ำลายหยดลงมาไม่หยุด ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว มันมองดูจิ๋งจิ่วที่กำลังเหม่อลอยมองดูต้นซานเย่ถานกระถางนั้น อด ดคิดอย่างโกรธแค้นขึ้นมาไม่ได้ว่าเจ้ายังมัวยืนโง่อยู่ตรงนั้นทำอะไร!
มันไม่รู้ว่าจิ๋งจิ่วเพียงแค่พลันรู้สึกขึ้นมาว่าดอกไม้กระถางนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด
จากนั้นเขาคิดถึงเครื่องลายครามล้ำค่าภายในเรือนของลู่กั๋วกงที่ถูกกำหนดเอาไว้ว่าจะต้องถูกทำลายเหล่านั้น
เขายื่นมือไปดึงดอกซานเย่ถานที่ล้ำค่ากอนั้นออกมาจากในกระถาง ก่อนจะโยนลงพื้น
เมื่อเห็นภาพนี้ หลิวอาต้าอ้าปากกว้างด้วยความตกใจจนเกือบจะทำให้กระดิ่งอันนั้นหลุดออกมาจากปาก มันจึงรีบกลืนกระดิ่งกลับเข้าไปใหม่
เมื่อคิดถึงน้ำลายของตัวเองที่เปียกชุ่มอยู่บนกระดิ่ง ในสายตาของมันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกรังเกียจ
จิ๋งจิ่วยกกระถางดอกไม้ขึ้นมา เทดินที่อยู่ในกระถางออกมา จากนั้นหยิบมันขึ้นมามองดูภายใต้แสงอาทิตย์ ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
อาต้ายิ่งตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าหรือกระถางอันนี้จะเป็นศูนย์กลางของข่ายพลัง?
ต่อให้กระถางดอกไม้จะคล้ายกระดิ่งที่ขยายขนาดออก แต่มันเป็นศูนย์กลางข่ายพลังจริงๆ หรือนี่!
……
……
ทะเลสาบหลีหมิงเกิดคลื่นโดยไม่มีลม ป่าสนบนภูเขาก็พลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่น
ข่ายพลังประจำสำนักคลายออก
ข่ายพลังกระดิ่งลมบนเกาะเล็กๆ แห่งนั้นเองก็คลายออกด้วยเช่นกัน
ศูนย์กลางข่ายพลังถูกคนพบเข้า แล้วยังถูกชิงเอาไปด้วย
สำนักเสวียนหลิงย่อมไม่มีทางรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลก
ผู้บำเพ็ญพรตของสำนักต่างๆ ไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจอารมณ์ของสำนักเสวียนหลิง ต่างคนต่างพากันบินหนีออกไปจากทะเลสาบหลิหมิง
ภายในเรือนและตำหนักต่างๆ ที่อยู่ริมทะเลสาบล้วนแต่มีเงาร่างของผู้บำเพ็ญพรตกำลังวิ่งหนีและโบยบินหนีไป สำนักเสวียนหลิงโกลาหลวุ่นวาย ดูแล้วเหมือนกำลังจะเกิดการต่อสู้ภายในสำนัก ก
จิ๋งจิ่วมองดูหอเด็ดดาวหลังนั้น กล่าวถามว่า “นางไม่ได้ฆ่าเจ้าจริงๆ ด้วย ดูเหมือนนางจะยังไม่เลอะเลือนไปเสียทั้งหมดทีเดียว”
เหอจานกล่าวว่า “ทำไมเจ้าถึงมั่นใจว่านางจะไม่ฆ่าข้า?”
แต่ไหนแต่ไรมาเหล่าไท่จวินไม่ชอบวัดกั่วเฉิง แล้วก็ยิ่งไม่ชอบเหอจาน ตอนกลางวันถึงแม้จะมีเหอปู้มู่และผู้บำเพ็ญพรตจากสำนักต่างๆ อยู่ แต่ถ้าหากเหล่าไท่จวินจะสังหารเขาจริงๆ นาง ก็จะต้องพยายามสังหารให้ได้อย่างแน่นอน
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “คำนวณ”
เหอจานอยู่ที่สำนักเสวียนหลิงก็เป็นสิ่งที่เขาคำนวณออกมาเช่นกัน
เมื่อวันก่อนผู้อาวุโสสองคนของสำนักเสวียนหลิงถูกสังหารแทบจะในเวลาเดียวกัน หนึ่งในนั้นเขาเป็นคนลงมือ แล้วอีกคนนึงล่ะเป็นใคร?
การเคลื่อนไหวของนักฆ่าคนนั้นเองก็แปลกประหลาดอย่างมากเช่นเดียวกัน วูบไหวคล้ายดวงวิญญาณ ไปมาไร้ร่องรอย จิ๋งจิ่ว ย่อมต้องคิดถึงเหอจาน
ในราชวังแคว้นจ้าว เหอจานเรียนรู้วิชาลับที่แปลกประหลาดมาจากขันทีชราแซ่เหอ
ระดับชั้นของการบำเพ็ญเพียรภายในโลกแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่างได้ถูกจำกัดเอาไว้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าวิชาที่อยู่ในนั้นจะเป็นวิชาระดับต่ำ ในทางกลับกัน หากเอาวิชาเหล่า านั้นมาใช้ในแผ่นดินเฉาเทียน มันจะสามารถแสดงอานุภาพที่แท้จริงออกมาได้
หลังกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง สภาวะของเหอจานก็ยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
จิ๋งจิ่วลองคำนวณดู ผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์ที่มีอนาคตมากที่สุดนั้นมีอยู่ประมาณห้าคน นอกจากเหอจานกับซูจึเย่แล้ว ยังมีสามคนครึ่งอยู่ที่ชิงซาน อีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่เรือนอี้เห หมา ขอเพียงพวกเขายังมีชีวิตอยู่ หลังจากนี้อีกสองร้อยปีก็ยังเป็นใต้หล้าของชิงซานอยู่
เหอจานพลันกล่าวขึ้นมาว่า “ความจริงข้าไม่เข้าใจ เหตุใดจู่ๆ เหล่าไท่จวินถึงทำแบบนี้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “สำนักจงโจวจะต้องให้สัญญาอะไรกับนางอย่างแน่นอน”
เหอจานกล่าวว่า “แต่เหล่าไท่จวินก็น่าจะรอให้ทางอวิ๋นเมิ่งเปิดเขาก่อนมิใช่หรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ปัญหาก็คือนางอยู่ไม่พ้นปีนี้”
นี่คือข่าวที่เจวี่ยนเหลียนเหรินสอบถามว่าเป็นเวลานานจนมั่นใจ
เมื่อได้ทราบเรื่องนี้ ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดเหล่าไท่จวินถึงได้รีบร้อนถึงเพียงนี้ กระทั่งสำนักชิงซานนางก็หาได้สนใจไม่
ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตกำลังมาถึง บนโลกยังมีอะไรทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวได้อีก?
ทะเลสาบหลีหมิงที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่ได้เงียบสงบ กำลังทั้งสองฝ่ายของสำนักเสวียนหลิงเผชิญหน้ากัน บางครั้งก็จะมีการปะทะเล็กๆ เกิดขึ้น จากนั้นสงบลงอย่างรวดเร็ว จะเห็นไ ได้ว่ากำลังของทางฝ่ายที่จงรักภักดีกับเจ้าสำนักเฉินกำลังควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้อย่างช้าๆ
“พวกเจ้าไปก่อนเถอะ ชิงซานอย่าออกหน้าจะเป็นการดีที่สุด”
เหอจานกล่าวว่า “เรื่องหลังจากนี้เดี๋ยวพวกข้าเป็นคนจัดการเอง”
คำพูดประโยคนี้เท่ากับเป็นการมองว่าตัวเขาคือส่วนหนึ่งของสำนักเสวียนหลิง
จิ๋งจิ่วคิดในใจ ถึงแม้สิ่งที่เซ่อเซ่อจะได้รับสืบทอดจากแม่ของนางมาจะมีเพียงหนึ่งในร้อย แต่มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถต้านทานได้จริงๆ ด้วย
ถึงแม้เหอจานจะไม่ใช่คนธรรมดา เป็นผู้สืบทอดของวัดกั่วเฉิงที่ลงมาธุดงค์ยังโลกมนุษย์ แต่ดูแล้วเหมือนเขากำลังจะจมอยู่ในโลกมนุษย์จริงๆ
เขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังส่วนลึกของเทือกเขาตงหลิ่ง
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
เหอจานที่อยู่ด้านหลังเขาพลันถามขึ้นมา
จิ๋งจิ่วหยุดฝีเท้า
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในทะเลตะวันตก ทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตต่างกำลังคาดเดาถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินมาเป็นเวลาสองปีแล้ว
หลายคนต่างรู้ว่าในตอนที่สงครามทะเลตะวันตกเริ่มต้นขึ้น จิ๋งจิ่วไม่ได้อยู่ที่นั่น
จนกระทั่งในตอนที่ลำแสงกระบี่สายนั้นส่องสว่างฟ้าดิน เขาพลันปรากฏตัวอยู่ในเรือกระบี่
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือในตอนที่จัวหรูซุ่ยตั้งข่ายพลังกระบี่ของแต่ละยอดเขาเพื่อรับมือหนานชวี…กระบี่ไร้อัตตาก็ปรากฏตัวขึ้นมาเช่นเดียวกัน!
หากมิเป็นเพราะในวันนั้นปรมาจารย์เกาะหมอกตายไป เทพกระบี่ซีไห่ถูกขับไล่ นักพรตไท่ผิงปรากฏกาย เรื่องราวใหญ่โตมากมายทยอยเกิดขึ้น การปรากฏตัวของกระบี่ไร้อัตตาจะต้องสร้างความโก กลาหลวุ่นวายเป็นอย่างมากแน่นอน
ถึงแม้ในตอนนั้นจะไม่มีคนพูดถึงเรื่องนี้ แต่หลังจากนั้นก็ได้เกิดการคาดเดาไปต่างๆ นาๆ
กระบี่ไร้อัตตาเป็นกระบี่หลักประจำยอดเขาเหลี่ยงว่าง ติดตามนักพรตจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียนตั้งนานแล้ว เหตุในจู่ๆ ถึงปรากฏกายขึ้นมาบนโลกได้?
หลายคนต่างรู้แล้วว่ากระบี่ไร้อัตตาอยู่ในมือของหลิ่วสือซุ่ย
ความสัมพันธ์ของหลิ่วสือซุ่ยและจิ๋งจิ่ว คนทั่วทั้งโลกต่างทราบดี
ดังนั้นความสงสัยทั้งหมดทั้งมวลจึงไปตกอยู่ที่ตัวจิ๋งจิ่ว
ในเวลาสองปีมานี้ โลกแห่งการบำเพ็ญพรตทำการคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนความเป็นมาของจิ๋งจิ่วไปต่างๆ นาๆ
ศิษย์สำนักชิงซานเองก็พากันคาดเดาในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
เหอจานมองดูแผ่นหลังของจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “ข้าได้กลับไปยังสำนักแม่ชีครั้งหนึ่ง ได้ยินว่าเจ้าเป็นคนส่งท่านป้ากลับไป?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
เหอจานกล่าวว่า “อย่างนั้นเจ้าเป็นใครกันแน่?”
ในอดีตตอนที่อยู่สำนักฌานเป่าทง พวกเขาสี่คนแล้วก็ไป๋เจ่าเคยคาดเดาถึงตัวตนของกั้วตง
ยิ่งเขาใกล้ชิดกับสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมากขึ้น เขาก็ยิ่งมั่นใจในการวิเคราะห์อันนี้
กั้วตงได้รับบาดเจ็บสาหัส คิดไม่ถึงว่าจิ๋งจิ่วจะเป็นคนส่งนางกลับไป อย่างนั้นพวกเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่?
เหอจานลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวถามว่า “เจ้าเป็นลูกลับๆ ของนักพรตจิ่งหยางจริงๆ หรือ?”
นี่เป็นการคาดเดาที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
จิ๋งจิ่วหมุนตัวกลับมา มองดูเขาพลางส่งเสียงอืมหนึ่งครั้ง
สองครั้ง
เขามิได้โกรธหรือคิดถามเหอจานว่าอยากตายหรือเปล่า หากแต่รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนคิดเช่นนี้ด้วย
เหอจานยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าดูอย่างไรมันก็เป็นการคาดคะเนที่เป็นไปได้มากที่สุด”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ใช่”
เหอจานถามอย่างไม่เข้าใจ “อย่างนั้นกระบี่ไร้อัตตานี่มันยังไงกัน?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าทำได้เพียงชี้แนะเจ้าหนึ่งประโยค หลิ่วสือซุ่ยกับหลิ่วฉือล้วนแต่แซ่หลิ่ว”
เหอจานส่งเสียง ‘อา’ อย่างตกใจเล็กน้อย คล้ายเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
จิ๋งจิ่วหมุนตัวเดินจากไป
เหอจานไม่ได้คุยกับเขาเรื่องแผนการถล่มสำนักกระบี่ซีไห่ที่ถงเหยียนกับซูจึเย่วางขึ้นมา
จิ๋งจิ่วเองก็ไม่ได้พูดเรื่องที่เขาพูดคุยตกลงกับปู้ชิวเซียวในเมืองเจาเกอ
เดิมเรื่องราวบนโลกมันก็ไร้ความหมายอยู่แล้ว การดิ้นรนสืบหาความจริงไปก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป
เทือกเขาตงหลิ่งทอดยาวออกไปไม่สิ้นสุด เป็นเหมือนบอนไซที่อยู่บนโลก งดงามเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อมาถึงใต้ต้นสนที่อยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง จิ๋งจิ่วก็หมุนตัวมองไปทางที่ตัวเองเดินจากมา
ทะเลสาบหลีหมิงกลายเป็นกระจกบานเล็กๆ โคมไฟของหอเด็ดดาวกลายเป็นจุดแสงของหิ่งห้อย
อาต้ามุดออกมาจากในแขนเสื้อของเขา ไต่ตามแขนของเขาจึงไปนั่งยองๆ อยู่บนศีรษะของเขาอย่างช่ำชอง
สายตาของมันมองไปยังริมทะเลสามหลีหมิง กระแสจิตขยับเล็กน้อย “ออกมาแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องหรือ?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
อาต้าไม่ค่อยเข้าใจ
“ต่อให้ศูนย์กลางของข่ายพลังจะถูกพวกเราขโมยเอาไปให้เฉินซื่อคนสวย แต่เหล่าไท่จวินผู้นั้นจะต้องมีอาวุธวิเศษเก็บเอาไว้อีกแน่ หากสู้กันขึ้นมา เกรงว่าจะมีคนตายอีกไม่น้อย”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “จิ่งซูจะยอมแพ้”
อาต้าลืมตาโตขึ้นมา
“จิ่งซู? นี่คือชื่อของเหล่าไท่จวินคนนั้นหรือ? ทำไมเจ้าถึงมั่นใจเช่นนี้?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่านางอยากได้อะไร”
อาต้ามองดูเขา ในใจคิดว่าเจ้ารู้จักนางด้วยหรือนี่? ไปเจอกันตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมข้าไม่เห็นรู้เลย? หนานว่างรู้หรือเปล่า?
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตอนนางยังเป็นเด็ก”
……
……
ความวุ่นวายริมทะเลสาบหลีหมิงค่อยๆ สงบลง
ผู้บำเพ็ญพรตของสำนักต่างๆ ฉวยโอกาสนี้หนีออกไป
การเผชิญหน้าของขั้วอำนาจทั้งสองฝ่ายภายในสำนักเสวียนหลิงเองก็หยุดลงแล้วเช่นกัน
เหอเด็ดดาวยังคงสว่างไสว เป็นเหมือนโคมไฟขนาดใหญ่อยู่ภายในความมืดตรงหน้าทะเลสาบหลีหมิง ดูเจิดจ้าเป็นอย่างมาก
ภายในหอเด็ดดาวไม่มีคนอื่น มีเพียงผู้หญิงสามคน
เซ่อเซ่อคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเตียง ไม่ได้พูดอะไร
ขอบตาของนางแดงเล็กนอย น่าจะเพิ่งร้องไห้มา แต่ในเวลานี้นางได้สงบลงแล้ว ดูค่อนข้างเฉยชา
เฉินซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น มีผ้าผืนหนึ่งคลุมเอาไว้บนตัก มองไม่เห็นขาทั้งสองข้างที่ถูกตัดขาด
แม้นจะเจอกับเรื่องที่น่าเศร้าเช่นนี้ แต่สีหน้าของนางยังคงอ่อนโยน ภายในดวงตามองเห็นถึงความแค้นเคืองใดๆ
นางมองเหล่าไท่จวินที่อยู่บนเตียง กล่าวถามเสียงเบาๆ ว่า “ท่านแม่ หลายวันมานี้ท่านสบายดีไหมคะ?”
“มันก็ต้องไม่ค่อยสบายอยู่แล้ว ข้าอายุปูนนี้ ทำอะไรมักจะชอบเผื่อทางหนีทีไล่เอาไว้ แต่ตอนนี้ดูแล้วกลับเป็นเรื่องที่ผิด”
เหล่าไท่จวินมองเซ่อเซ่อพลางกล่าวว่า “เจ้าเองก็เช่นกัน ผู้หญิงต้องแต่งออกไปข้างนอก”
เซ่อเซ่อรู้สึกไม่ค่อยยอมรับเท่าไร นางกล่าวว่า “ท่านก็เหมือนไม่ใช่เหรอ? ตอนท่านเกิดมาก็ไม่ได้แซ่เต๋อเสียหน่อย”
เหล่าไท่จวินกล่าวว่า “ถูกต้อง นับตั้งแต่ที่ข้าแต่งออกมาจากจิ้งจง ข้าก็ไม่เคยคิดแทนตระกูลของแม่ข้าแม้แต่วันเดียว ข้าเป็นเช่นนี้ เจ้าเองก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน แล้วจะไม่ให้ ข้าเป็นห่วงได้อย่างไร?”
เจ้าสำนักเฉินกล่าวถามเสียงเบาๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านแม่ยังมีอะไรที่ไม่วางใจในตัวลูกสะใภ้อย่างข้าอีก?”
เหล่าไท่จวินมองดูนาง พลางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “แม้นเจ้าจะมีอะไรไม่ดีหลายอย่าง แต่เจ้าก็ดีกับลูกข้า ดังนั้นข้าถึงยอมเจ้ามาโดยตลอด แต่ตอนนี้เขาตายไปแล้ว ด้วยนิสัยของ เจ้า เจ้าจะต้องแต่งงานอีกครั้งอย่างแน่นอนใช่ไหมล่ะ?”
เจ้าสำนักเฉินยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “การบำเพ็ญเพียรของข้ามีความก้าวหน้า ไม่แน่อาจจะยังอยู่ไปได้อีกหลายร้อยปี ถ้าไม่มีคนอยู่ด้วย แล้วข้าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร? จะแต่งหรือไม่แต ต่งออกไป ยังไงข้าก็ต้องหาคนมาอยู่ด้วย”
เหล่าไท่จวินจ้องมองดวงตานางพลางกล่าว “อย่างนั้นหลังจากนี้อีกหลายร้อยปี สำนักเสวียนหลิงยังจะเป็นของสกุลเต๋ออย่างนั้นหรือ? แล้วจะให้ข้าปล่อยเจ้าเอาไว้ได้อย่างไร?”
เจ้าสำนักเฉินกล่าวปลอบใจว่า “ก็ยังมีเซ่อเซ่ออยู่ไม่ใช่หรือคะ? ทำไมท่านต้องมากังวลกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ด้วย”
เหล่าไท่จวินมองดูนางอย่างเย็นชา ก่อนจะหันไปพูดกับเซ่อเซ่อว่า “แล้วอีกอย่าง ข้ายอมให้เจ้าแต่งลูกเขยเข้ามา แต่เจ้ากลับจะไปแต่งกับพระให้ได้ พระจะมาอยู่แบบคนธรรมดาได้หรือ? จะเข้ามาอยู่กับเราได้หรือ?”
เซ่อเซ่อเบะปาก ไม่ได้พูดอะไร
เจ้าสำนักเฉินกล่าวว่า “ตอนนี้ดึกแล้ว ท่านแม่พักผ่อนก่อนเถอะค่ะ”
คำว่าพักผ่อนที่ว่าย่อมไม่ใช่การนอนหลับไปคืนหนึ่ง หากแต่หมายความว่าในวันเวลาหลังจากนี้ เหล่าไท่จวินจะต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในหอแห่งนี้ ความหมายของเจ้าสำนักเฉินชัดเจน ถึงแม้ท่า านคิดจะฆ่าข้าสองแม่ลูก แต่พวกข้าสองแม่ลูกกลับไม่มีทางฆ่าท่าน ท่านค่อยๆ รอความตายอยู่ที่นี่ไปแล้วกัน เพราะอย่างไรเสียท่านก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว
แต่ที่น่าแปลกก็คือจนถึงสุดท้ายเหล่าไท่จวินก็ไม่ได้ทำอะไร
นางแก่ชรามากแล้ว แต่ยังคงเป็นคนที่มีสภาวะสูงส่งที่สุดในสำนักเสวียนหลิง
หากนางเลือกที่จะลงมือจริงๆ สุดท้ายสถานการณ์จะกลายเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครสามารถบอกได้เช่นกัน
เซ่อเซ่อเข็นรถเข็นออกไปด้านนอกหอ
จู่ๆ เหล่าไท่จวินพลันกล่าวขึ้นมาว่า “สำนักจงโจวเปิดสำนัก เจ้าเตรียมจะรับมืออย่างไร?”
เจ้าสำนักเฉินกล่าววว่า “ก่อนถึงวันนั้นหากท่านยังไม่ตาย ข้าย่อมต้องขอให้ท่านตาย เรื่องนี้ท่านไม่ต้องคิดแล้ว”
เหล่าไท่จวินกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าคิดว่าสำนักจงโจวจะรามือแต่เพียงเท่านี้หรือ?”
มุมปากของเจ้าสำนักเฉินยกขึ้นมาเล็กน้อย นางกล่าวว่า “มีคุณชายจิ๋งจิ่วคอยช่วย ข้าไม่กลัวอะไร”
เหล่าไท่จวินไม่สามารถรักษาท่าทางที่สงบเยือกเย็นได้อีกต่อไป นางยันกายลุกขึ้นมาจากเตียง ก่อนจะสบถด่าขึ้นมา
“นังจิ้งจอกอย่างเจ้ามันควรจะถูกฟันเป็นชิ้นๆ! ตอนนั้นข้าน่าจะฉีกเจ้าทั้งเป็นซะ!”