มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 9 ลับกระบี่ (2)
ในช่วงเวลาสิบกว่าวันหลังจากนั้น จิ๋งจิ่วเดินทางขึ้นเหนือ หาวิธีรักษาตัวเองไม่หยุด
ในวัดกั่วเฉิง การโจมตีสละชีพของสมณะตู้ไห่ดูคล้ายธรรมดา แต่ในเมื่อเขาเป็นมีดสังหารของนักพรตไท่ผิง เช่นนั้นย่อมต้องไม่ธรรมดา
ในการเดินทางขึ้นไปทางเหนือ จิ๋งจิ่วแทบจะไม่หยุดพัก เขาเพียงแต่กินลมภูเขาไปสองสามคำกับดื่มน้ำค้างไปเล็กน้อย
เขาไม่มีทางรู้สึกเหนื่อย เพียงแต่อยากจะทำเรื่องอะไรให้มันดูเข้ากับทิวทัศน์เท่านั้น เพื่อให้ตัวเองดูคล้ายเซียนมากขึ้น เพราะเคยได้ยินมาว่าเซียนมักจะโชคค่อนข้างดี
เขาตามหาถ้ำของผู้อาวุโสรุ่นก่อนที่ตัวเองจำได้และที่ศิษย์พี่เคยทำสัญลักษณ์เอาไว้ออกมา อีกทั้งเดินทางไปยังเหมืองที่มีชื่อเสียงสองสามแห่ง แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา
เวลาเคลื่อนผ่านไป เขารู้สึกว่ามือขวาของตัวเองดูน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้จะรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไปเอง แต่เขาก็ยังไม่อาจยอมรับมันได้
ในคืนวันหนึ่ง เขายืนอยู่ริมผา มองดูหมู่ดาวที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ว่าถ้าหากเจ้าของสิ่งนั้นที่อยู่ในเมืองเจาเกอไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองได้จะทำอย่างไร?
……
……
ในตอนที่มาถึงเมืองเจาเกอ ช่วงที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อนยังไม่ผ่านไป แสงอาทิตย์อันร้อนแรงส่องพื้นถนนจนเป็นประกายระยิบระยับ มองไม่เห็นเงามืดใดๆ ในอากาศ
คนที่เดินไปเดินมาบ้างก็ถือร่ม บ้างก็สวมหมวกลี่เม่าเพื่อบดบังแสงแดด จิ๋งจิ่วสวมหมวกลี่เม่าที่ซื้อมาใหม่จากจังหวัดอวี้จวิ้น เดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ดูไม่สะดุดตา
เขาเดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ มาถึงหน้าประตูเรือนตระกูลจิ๋ง ก่อนจะเหลียวหน้ามองไปทางวัดไท่ฉางด้วยความเคยชิน วัดไท่ฉางที่สร้างขึ้นมาใหม่เมื่อหลายปีก่อนหน้าตาเหมือนกับวัดไท่ฉางในอดีต แต่ไม่รู้เป็นเพราะไม่มีความชุ่มชื้นจากน้ำฝนหรือเปล่า มุมหลังคาสีดำเหล่านั้นจึงมิได้มีความรู้สึกน่าครั่นคร้ามเหมือนอย่างแต่ก่อนอีก หากแต่เหมือนสิ่งที่ไม่มีชีวิต
บนประตูเรือนตระกูลจิ๋งมีแม่กุญแจคล้องเอาไว้อยู่ ดูเหมือนทุกคนจะออกไปจากบ้านกันหมด ไม่รู้ว่าไปเยี่ยมเพื่อนหรือไปเยี่ยมญาติ จิ๋งจิ่วมองดูแม่กุญแจนั้น ครุ่นคิดอย่างจริงจัง แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าวันนี้ใช่วันพักผ่อนของขุนนางในราชสำนักหรือเปล่า แล้วก็นึกไม่ออกว่ากุญแจซ่อนอยู่ที่ไหน ดังนั้นเขาจึงดันอิฐก่อนนั้นเข้าไป
เขาเพียงแต่อยากจะช่วยตระกูลจิ๋งประหยัดแม่กุญแจเอาไว้ แต่กลับไม่คิดว่าเรือนกั๋วกงจะต้องเสียเครื่องปั้นดินเผาอันล้ำค่าไปเพราะเหตุนี้
เมื่อเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ตรวจดูจนมั่นใจแล้วว่าข้าวของเครื่องใช้รวมไปถึงหมากที่อยู่บนกระดานยังคงตั้งเอาไว้เหมือนในอดีต ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จิ๋งจิ่วพยักหน้า จากนั้นมองไปทางลู่หมิงบุตรชายของลู่กั๋วกงที่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งอย่างเคารพนอบน้อม พลางกล่าวว่า “ให้พ่อของเจ้าเข้ามาหน่อย”
ลู่หมิงโล่งใจ เดินผ่านอุโมงค์ใต้ดินกลับมายังเรือนกั๋วกง มองดูเครื่องถ้วยจวินที่แตกละเอียด ก่อนจะถอนใจออกมา จากนั้นรีบเตรียมเข้าวัง
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ลู่กั๋วกงที่กำลังปรึกษาหารืองานราชการกับฮ่องเต้ก็รีบกลับมา ก่อนจะมาถึงเรือนตระกูลจิ๋งผ่านทางอุโมงค์ใต้ดินด้วยสภาพกระหืดกระหอบ
ตอนอยู่ที่วัดกั่วเฉิง เขาบอกกับจิ๋งจิ่วว่าตอนนี้ฝ่าาททรงมีแรงกดดันอย่างมาก อยากให้จิ๋งจิ่วมาที่เมืองเจาเกอหน่อย คิดไม่ถึงว่าไม่ถึงหนึ่งปี จิ๋งจิ่วก็เดินทางมาแล้ว นี่ทำให้เขารู้สึกว่าจิ๋งจิ่วให้ความสำคัญกับคำแนะนำของตัวเอง รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าท่านจะมาเร็วขนาดนี้”
จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงดีใจขนาดนี้ กล่าวว่า “ข้าจะไปวัดไท่ฉางหน่อย สำนักจงโจวยังจับตาดูที่นั่นอยู่หรือเปล่า?”
ลู่กั๋วกงงุนงง ถึงได้รู้ว่าที่แท้การที่เขามาเมืองเจาเกอนั้นมิได้เกี่ยวข้องอะไรกับคำแนะนำของตัวเองเลย จึงยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “ชางหลงตายไปแล้ว คุกสะกดมารตอนนี้เหลือเพียงแค่ร่างเปล่าๆ สำนักจงโจวพอได้เห็นก็มีแต่จะรู้สึกอับอายและโกรธแค้น ไหนเลยยังจะสนใจเรื่องในวัดไท่ฉางอีกขอรับ”
ในช่วงบ่าย จิ๋งจิ่วแต่งตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตามลู่กั๋วกงเข้าไปในวัดไท่ฉาง จากนั้นหายไปในสวน
ในส่วนลึกของวัดไท่ฉางมีอุโมงค์ใต้ดินที่สร้างขึ้นมาใหม่ ตรงไปยังส่วนลึกของคุกสะกดมาร รอบๆ ปากทางเข้ามีต้นไผ่ปลูกเอาไว้มากมาย แล้วก็ยังมีดอกไม้อีกจำนวนมาก
ในมุมหนึ่งที่ห่างไกลผู้คนยังมีดอกไม้สีม่วงอยู่อีกกอหนึ่งด้วย
จิ๋งจิ่วมายืนอยู่ตรงหน้าดอกไม้สีม่วงกอนั้นพลางกล่าวว่า “กระดิ่งที่แขวนเอาไว้บนคอของเจ้าอยู่พักหนึ่งก็เก็บกลับมาจากตรงนี้นี่แหละ”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่าครั้งนี้หลิวอาต้าไม่ได้ตามตนเองมาด้วย ในเวลานี้ยังอยู่บนยอดเขาเสินม่อ
เขาส่ายศีรษะ ยื่นมือไปขุดดินที่อยู่ใต้ดอกไม้สีม่วง การเคลื่อนไหวดูระมัดระวัง มิได้ทำให้รากของดอกไม้สีม่วงเสียหาย
ดินที่อยู่ด้านล่างดอกไม้สีม่วงฝังสิ่งของสีขาวเอาไว้อยู่ สัมผัสอบอุ่นชุ่มชื่น แต่กลับมีความชั่วร้ายจางๆ ย่อมมิใช่หยกอย่างแน่นอน แล้วก็มิใช่ของวิเศษ
หากแต่เป็นกระดูกท่อนหนึ่ง
จิ๋งจิ่วหยิบเอากระดูกท่อนนั้นจึงมาดูอย่างตั้งใจ ก่อนกล่าวว่า “เอาจริงๆ นะ ท่านเป่าออกมาเป็นเพลงได้อย่างไร?”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาถึงนึกขึ้นมาได้ว่าจักรพรรดิแห่งหมิงได้ตายไปหลายปีแล้ว เรื่องที่ตนเองรับปากเอาไว้ยังไม่ได้จัดการให้เลย
……
……
ในอดีตตอนที่เขาแอบเข้าไปในคุกสะกดมาร เขาเคยอยู่ในบึงสีเขียวแห่งนั้น — หรือก็คือกระเพาะของชางหลง — มองเห็นกระดูกท่อนหนึ่งของปีศาจยักษ์
พิษที่อยู่ในบึงสีเขียวน่ากลัวเป็นอย่างมาก ความสามารถในการกัดกร่อนรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่กายเนื้อของผู้บำเพ็ญพรตเลย กระทั่งอาวุธวิเศษและกระบี่เซียนก็ยากจะอยู่ในนั้นได้
ปีศาจยักษ์ตนนี้จะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมากแน่นอน อาจจะเทียบเท่ากับพ่อบุญธรรมของฉานจึก็เป็นได้ ถึงขนาดทำให้กระดูกไม่ละลายได้
ก่อนจักรพรรดิแห่งหมิงจะตาย เขาเคยใช้กระดูกปีศาจท่อนนี้เป่าเป็นเพลงกล่อมเด็กแห่งแม่น้ำหมิง
คนที่ได้ยินบทเพลงนี้ในเมืองเจาเกอตอนนั้น นอกจากยอดคนของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว ก็ยังมีจิ๋งจิ่วอีกคน
……
……
เมื่อกลับมายังเรือนตระกูลจิ๋ง
จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในห้องหนังสือ วางข่ายพลังเพื่อไม่ให้ใครมารบกวน
เขาม้วนแขนเสื้อขึ้น เอาแขนขวาที่บิดเบี้ยววางไว้บนกระดูกปีศาจ จากนั้นเริ่มถูไปถูมา
ตอนแรกสุดการเคลื่อนไหวของเขาค่อนข้างช้า คล้ายกำลังหามุมและน้ำหนักที่ดีที่สุด จากนั้นการเคลื่อนไหวก็เร็วขึ้น เร็วจนตาเปล่าแทบจะมองไม่เห็น
เขาควบคุมมุมและน้ำหนักได้แล้ว ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขามั่นใจว่าวิธีของตัวเองนั้นถูกต้อง
กระดูกปีศาจท่อนนั้นมีความพิเศษเป็นอย่างมาก แม้นจะเสียดสีด้วยความเร็วสูงขนาดนี้ แต่กลับไม่มีเสียงอะไรดังออกมามากนัก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จิ๋งจิ่วก็หยุดการเคลื่อนไหว เขายกแขนขวาขึ้นมาดู เผยให้เห็นสีหน้าพึงพอใจ
ในสายตาคนทั่วไปมองว่าแขนขวาของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่เขาย่อมต้องรู้ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเล็กน้อย
ถูกต้อง เขากำลังลับกระบี่อยู่
บนยอดเขาปี้หูเมื่อหลายปีก่อน เขาเคยบอกว่าจะใช้กระดูกของหลิวอาต้ามาลับกระบี่ แต่นั่นเขาเพียงแค่ขู่มัน แต่ครั้งนี้เขากลับทำจริงๆ
กระบี่ไม่คมก็ต้องลับมันใหม่
หลักเหตุผลนี้เขาเข้าใจ เพียงแต่ไม่สามารถหาหินลับมีดที่เหมาะสมได้
ต่อให้เป็นหินลับมีดที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลก เมื่อเจอกับมือขวาของเขาก็มีแต่ต้องแตกออก ต่อให้เป็นของวิเศษและกระบี่บินของชิงซานก็ทนไม่ไหว
จนกระทั่งบนยอดเขากระบี่ในวันนี้ เขาพูดกับเจ้าล่าเยวี่ยถึงขลุ่ยกระดูกของศิษย์พี่ จึงคิดถึงบทเพลงที่จักรพรรดิแห่งหมิงเป่าก่อนตาย จากนั้นถึงได้คิดถึงกระดูกปีศาจท่อนนี้
แต่แน่นอน หากฮ่องเต้เซียวยินดีให้เขายืมกระดองเต๋า นั่นก็อาจจะเป็นหินลับมีดที่ดีที่สุด
ภายในห้องหนังสือพลันมีเสียงพูดคุยดังขึ้นมา
นั่นคือเสียงของชายหญิงคู่หนึ่ง คล้ายกำลังทะเลาะกันอยู่ แล้วก็คล้ายกำลังร้องไห้ จากนั้นค่อยๆ เงียบไป
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจ ยังคงตั้งใจลับกระบี่
แขนขวาของเขาถูไปบนกระดูกปีศาจอย่างรวดเร็ว
ผงกระดูกค่อยๆ เพิ่มขึ้น พร้อมกับกลิ่นเหม็นไหม้จางๆ
สีหน้าเขายังไม่เปลี่ยนแปลง ยื่นมือซ้ายไปคว้าจับหยดน้ำในอากาศมาสาดลงบนกระดูกปีศาจและมือขวา
เสียงซู่วๆ ดังขึ้น เสียงลับกระบี่ค่อยๆ เบาลง ผงกระดูกถูกสาดจนเปียก มิได้ฟุ้งกระจายขึ้นมาอีก ค่อยๆ ตกลงไปกองอยู่บนโต๊ะ
ด้านนอกหน้าต่างพลันมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา
จิ๋งจิ่วรู้ว่ามีคน แต่มิได้สนใจอะไร
สาวน้อยผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ดวงตาแดงเรื่อเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้มา
นางมองดูภาพที่อยู่ในห้องหนังสือ บนใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึง กล่าวถามว่า “นี่ท่านกำลังขัดหนังบนมืออย่างนั้นหรือ? แหวะ…น่าขยะแขยงจัง”