มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 91 ดอกไม้จะร่วงตก แม่จะแต่งงาน (2)
เขาอยู่ที่สำนักเสวียนหลิงมาเป็นเวลาหลายวัน แล้วก็ออกมาจากสำนักเสวียนหลิงเป็นเวลาหลายวัน ปู้เหล่าหลินน่าจะหาตัวเขาพบแล้ว ศิษย์พี่ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหนก็น่าจะมาแล้ว แต่ พวกเขากลับ…ไม่ได้มา
หากไม่มีกระบี่พรหมจรรย์ ท่านคิดจะแก้ไขปัญหาของตัวเองได้อย่างไร?
จิ๋งจิ่วเก็บกระบี่พรหมจรรย์ จากนั้นเก็บแมวและจักจั่น ปลายเท้าแตะคันนาเบาๆ พุ่งทะยานออกไปร้อยกว่าจ้าง
หลังจากนั้นสิบกว่าอึดใจ เขาก็เดินทางผ่านแม่น้ำที่ไหลเอื่อยอย่างเงียบๆ สองสามสายนั้น ผ่านหมู่บ้านที่ตั้งกระจัดกระจาย ผ่านต้นไม้ที่ไม่รู้จักชื่อและทุ่งข้าวที่ยังคงเป็นสีเขี ยว ก่อนจะมองเห็นเมืองใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปแห่งนั้น
ถัดจากด้านหลังเมืองออกไปสิบกว่าลี้มีภูเขาเล็กๆ อยู่ลูกหนึ่ง มีป่าที่รกทึบและต้นหญ้าที่ทำให้รู้สึกน่ารำคาญ
เห็นๆ อยู่ว่าเป็นช่วงกลางฤดูร้อน แต่ที่นี่กลับไม่รู้สึกร้อน หากแต่ค่อนข้างหนาวเย็น บนใบไม้มีหยดน้ำค้าง บนพื้นหญ้ามีหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
หยวนฉีจิงยืนสองมือไพล่หลัง มองดูจิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในเมืองเจาเกอ มั่นใจแล้วว่าอาจารย์ไม่มีทางปรากฏตัว จึงหมุนตัวจากไปอย่างเสียดาย
หิมะตกลงมา
……
……
ทางเหนือของแผ่นดินเฉาเทียนมีเมืองธรรมดาอยู่แห่งหนึ่ง เนื่องเพราะอยู่ห่างจากที่ราบหิมะไม่ไกล แม้นจะอยู่ในช่วงกลางฤดูร้อน แต่ที่นี่กลับยังมีอากาศคล้ายฤดูใบไม้ผลิอยู่
รถม้าคันหนึ่งเตรียมออกจากเมือง แต่ได้ถูกศิษย์ของนิกายเฟิงเตาขวางทางเอาไว้
ออกจากเมืองไปไม่ไกลก็จะเป็นเหลิ่งซาน ในช่วงสองปีมานี้นิกายเฟิงเตากวาดล้างพวกผู้บำเพ็ญวิถีมารร่วมกับราชสำนัก การตรวจค้นจึงมีความเข้มงวดยิ่งขึ้น
ศิษย์นิกายเฟิงเตาตรวจไม่พบความผิดปกติใดๆ เขาเลิกผ้าม่านขึ้น กลิ่นยาลอยจากด้านในออกมาปะทะใบหน้า
ภายในรถมีเตาเล็กๆ อยู่ใบหนึ่ง ภายในเตากำลังต้มยาสีดำอยู่ ดูแล้วน่าจะขมเป็นอย่างมาก
คุณชายผู้หนึ่งนอนอยู่บนฟูก ใบหน้างดงาม แต่สีหน้ากลับขาวซีด ดูค่อนข้างอ่อนแอ แต่รอยยิ้มกลับยังคงดูเป็นมิตร
ชายชราที่จมูกแดง ศีรษะล้านไปครึ่งหนึ่งคนหนึ่งกำลังคอยดูแลเขา ดูแล้วน่าจะเป็นคนใช้เก่าแก่ภายในตระกูล
ศิษย์สำนักเฟิงเตาเห็นคนป่วยที่คิดจะไปเมืองไป๋เฉิงเพื่อไหวพระแบบนี้มามากมาย ในใจคิดว่าน่าเสียดาย จึงปล่อยผ้าม่านลงพลางโบกมือเพื่อบอกให้รถม้าผ่านไปได้
เสียงไอดังขึ้น รถม้าเคลื่อนตัวผ่านประตูเมือง มุ่งหน้าไปยังทุ่งกว้าง
ที่นี่คือพื้นที่รกร้างที่อยู่ห่างไกลจากแถบพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองของภาคกลาง ราชวงศ์ตระกูลจิ่งเองก็ยังทำการปกครองบ้านเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถนนหลวงที่อยู่บนทุ่งรกร้างที อยู่ด้านนอกเมืองปูด้วยก้อนอิฐ แม้นจะผ่านมาร้อยกว่าปีแล้ว แต่ก็ยังมีความแข็งแรงอยู่ เห็นได้ชัดว่าในตอนที่สร้างได้มีผู้บำเพ็ญพรตมาคอยช่วยเหลือ
ล้อรถบดลงไปบนแผ่นอิฐที่มีความแข็งแรง ส่งเสียงดังครึกๆ ตู้โดยสารสั่นสะเทือนไม่หยุด ภายในตู้โดยสารเองก็มีเสียงไอดังออกมาไม่หยุดเช่นกัน
ปรมาจารย์สำนักสเวียนอินมองดูอินซานที่ใบหน้าขาวซีด ภายในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วง แล้วก็ยังมีอารมณ์ที่ซับซ้อนบางอย่างด้วย
ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้รับความเชื่อใจจากนักพรตมาบ้างแล้ว แต่สำหรับคนอย่างพวกเขาแล้ว เดิมคำว่าความเชื่อใจนี้มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไร ที่ยุ่งยากไปกว่านั้นก็คือนักพรตคล้าย ยจะไม่ไหวแล้ว หากเมื่อถึงวันที่ตายไปแล้วนักพรตยังไม่ยอมบอกวิธีหลบข่ายกระบี่ชิงซานแก่เขา อย่างนั้นเขาจะทำอย่างไร? เขาก็เลย…
เขากล่าวอย่างจริงใจว่า “นักพรตท่านต้องอายุยืนๆ นะ!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ อินซานจึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ แล้วก็อดไออย่างรุนแรงขึ้นมาไม่ได้ด้วยเช่นกัน
ขณะที่เขาไอ ร่างกายที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าของเขาก็ปูดนูนขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆ ยุบลงไปอย่างช้าๆ ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
นี่ไม่เหมือนกับร่างกายจริงๆ หากแต่เหมือนกับเสาไม้ที่ปักอยู่ในดินที่ขาดการซ่อมแซมมาเป็นเวลานานมากกว่า
อินซานเปิดหน้าต่างออก มองไปยังทุ่งกว้างที่อยู่ด้านนอก ไอเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ดื่มสุราดีกว่า”
อากาศสดชื่นบนทุ่งกว้างไหลเข้ามาภายในห้องโดยสาร พัดพากลิ่นยาที่อบอวลอยู่ในรถให้ออกไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีกลิ่นอยู่กลิ่นหนึ่งที่ยังคงอยู่ ไม่สลายหายไปไหน
นั่นคือกลิ่นที่เหมือนไม้เน่าเปื่อย
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินหยิบกาต้มยาลงมา แล้วเอากาสุราตั้งขึ้นไป จากนั้นเอาฝ่ามือแนบไปที่กา เพียงไม่กี่อึดใจก็ทำให้อุณภูมิของสุราอยู่ในระดับที่ดีที่สุด
งานที่ละเอียดลอออย่างการอุ่นสุราให้นักพรตเช่นนี้ เขาซึ่งเป็นปรมาจารย์สำนักเสวียนอินย่อมต้องสามารถควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำกว่าเตาไฟ
กลิ่นสุราที่อยู่ในกาลอยออกมา มีกลิ่นเหมือนโป๊ยกักที่เข้มข้น
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินขยี้จมูกที่เป็นสีแดงเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่ากลิ่นสุราไม่ได้หอมอะไรนัก แต่ทำไมกลิ่นมันดูคล้ายน้ำพะโล้ขาหมู
สุราเองก็แปลกประหลาดยิ่งนัก มันมีสีเขียวเข้ม แกว่งไปมากลางถ้วยเบาๆ กระเพื่อมขึ้นลงอย่างช้าๆ ตรงขอบถ้วย ดูคล้ายน้ำมัน
สองมือของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินประคองถ้วยสุราส่งไปตรงหน้าอินซาน
อินซานรับเอาถ้วยสุรามาจรดตรงริมฝีปาก ดื่มอย่างช้าๆ แต่ไม่ขาดจังหวะ ก่อนจะหรี่ตาพลางกล่าวว่า “สุราดี”
จะว่าไปแล้วมันก็แปลก หลังดื่มสุราถ้วยนี้ลงไปแล้ว อาการไอของเขาก็ดีขึ้นจริงๆ
เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของปรมาจารย์ อินซานจึงยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าก็ลองดื่มดูสิ ไม่เลวนะ”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินครุ่นคิด ก่อนจะเทสุราให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง เบี่ยงร่างกายแล้วดื่มลงไป จากนั้นเบะปากออกมาเล็กน้อย
ต่อให้สุราจะแรงแค่ไหนก็ไม่อาจทำอันตรายเขาได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังสัมผัสถึงความร้อนแรงของมันได้อยู่ โดยเฉพาะสุราที่ดูเหมือนน้ำมันนี้ระเหยกลายไออย่างรวดเร็ว คล้ายเปลวเพ พลิงที่กลายเป็นน้ำ ให้ความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่กระจายจากข้างในออกมาข้างนอก ไม่เลวเลยจริงๆ มิน่านักพรตถึงชื่นชอบมันขนาดนี้
“นี่เป็นสุราที่มีฤทธิ์แรงที่สุดในโลกมนุษย์ ปกติจะเอาไปผสมแล้วค่อยดื่ม ส่วนใหญ่ไม่มีใครกล้าดื่มมันไปทั้งแบบนี้ เพราะกลัวจะทำให้คอและกระเพาะบาดเจ็บ แต่พวกเรากลับสามารถดื่ มมันได้อย่างสบายๆ”
อินซานดื่มลงไปอีกถ้วย ก่อนกล่าวว่า “รับรู้ถึงความสวยงามของมัน แต่กลับไม่หวาดกลัวความอันตรายของมัน นี่ก็คือข้อดีของผู้บำเพ็ญพรต”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเองก็ดื่มลงไปอีกถ้วย ก่อนจะวางถ้วยสุราลง
ถึงแม้สุราประหลาดสีเขียวนี้จะมีรสชาติที่ไม่เลว แต่ผู้บำเพ็ญพรตที่สามารถบำเพ็ญเพียรจนมาอยู่ในสภาวะเหมือนอย่างเขาย่อมต้องมีความสามารถในการควบคุมตนเองที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก บอกว่าวางลงก็สามารถวางลงได้
คนอย่างนักพรตไท่ผิงนั้นมีอยู่น้อยมาก
“หากกระบี่พรหมจรรย์ถูกส่งเข้าไปในวังหลวงเมืองเจาเกอก็คงจะแย่งได้ยากขึ้น”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวถามว่า “อย่างนั้นเหตุใดพวกเราถึงไม่ลงมือ?”
หลังอินซานดื่มสุราลงไปแล้ว สีหน้าก็ไม่ได้ขาวซีดอีก บนแก้มมีรอยเลือดฝาดปรากฏขึ้นมา เขากล่าวว่า “หยวนฉีจิงทำอะไรตายตัว ไม่พลิกแพลง แต่การที่ทำอะไรตายตัวเช่นนี้มักจะผิดพลาด ดน้อยมาก นี่ก็คือสิ่งที่เขาและหลิ่วฉือแตกต่างกันมากที่สุด ข้าไม่อยากเสี่ยง”
รถม้าวิ่งออกไปจากถนนหลวงที่ปูด้วยก้อนอิฐ ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปทุ่งกว้างที่รกร้าง
หลังจากนั้นหลายวัน รถม้าก็แล่นเข้าไปในส่วนลึกของเขาเหลิ่งซานพร้อมกับเสียงขลุ่ยที่ฟังดูอ้างว้างโดดเดี่ยว
บนผิวของทุ่งกว้างมีรอยแตกที่ลึกมากอยู่รอยหนึ่ง หลังผ่านไปสองปี ลาวาที่ไหลทะลักออกมาก็จับตัวแข็งกลายเป็นรูปร่างแปลกประหลาดต่างๆ นาๆ ไปแล้ว
นี่ก็คือร่องรอยที่กระบี่ของหลิ่วฉือกระบี่นั้นเหลือทิ้งเอาไว้ ดูเหมือนหลังจากนี้อีกหลายร้อยปี มันน่าจะกลายเป็นทิวทัศน์ที่เลื่องชื่อที่สุดของแผ่นดินเฉาเทียน
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินคิดในใจว่าหากกระบี่นี้ฟันลงมาที่ตน ตนเองก็จะต้องตายอย่างแน่นอน
สายตาของเขาเคลื่อนตามรอยแตกออกไปไกลร้อยกว้าลี้ มองไปยังช่องแคบสุริยันที่กลายเป็นเศษซาก นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน
ทุกอย่างล้วนกลายเป็นเถ้าถ่าน บนโลกไม่มีสำนักเสวียนอินอีกต่อไป
อินซานมองดูภาพที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง เก็บขลุ่ยเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนกล่าวว่า “ขอเพียงยังอยู่ สำนักก็ยังอยู่”
คำพูดประโยคนี้ไม่รู้ว่ากำลังปลอบใจปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน ก็ว่ากำลังพูดกับตัวเอง
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินคิดถึงซูจึเย่ที่กำลังรวบรวมศิษย์ที่หนีหายกระจัดกระจายของสำนักเสวียนอิน แล้วก็คิดถึงสำนักจงโจวที่กำลังปิดสำนักอยู่พลางพยุงอินซานลงมาจากรถ ไม่ได้กล ล่าวกระไร
บนทุ่งกว้างมีลมพัดขึ้นมา
อินเฟิ่งไม่รู้ว่าบินมาจากที่ไหน ลงมาเกาะบนหลังคารถ
หางที่ถูกหนานชวีฟันขาดงอกออกมาใหม่แล้ว มองดูค่อนข้างสั้น น่าจะยังไม่ยาวเต็มที่ แต่อาการบาดเจ็บน่าจะดีขึ้นแล้ว
“พวกเจ้าต่างก็พูดได้ อย่างนั้นก็ค่อยๆ คุยกันแล้วกัน ถ้าคุยไม่รู้เรื่องก็ค่อยว่ากัน”
อินซานมองดูอินเฟิ่ง ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “แค่เกล็ดสองเกล็ด มันน่าจะตกลงนะ”