มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 92 กางปีก
“ตำแหน่งไม่ผิดใช่ไหม?” อินซานหมุนตัวมาถามปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินลูบผมที่เบาบาง พลางกล่าวอย่างทอนถอนใจและหวนคิดถึงความหลังว่า “เดิมทีก็เป็นเพื่อนบ้านกัน อีกทั้งข้ายังหลบอยู่ใต้ดินมาตั้งนาน ไม่มีทางจำผิดแน่”
เมื่อกล่าวจบประโยคนนี้ เขาก็ยื่นนิ้วมืออ้วนๆ สั้นๆ ออกไปจิ้มในอากาศ
จุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมา กลายเป็นแผนที่สามมิติที่มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ก่อนจะลอยเข้าไปในดวงตาของอินเฟิ่ง
ร่างกายของอินซานและจิ๋งจิ่วไม่เหมือนกัน ร่างกายเขามีความเป็นชีวิตที่มากกว่า ขณะเดียวกันก็เกิดเรื่องได้ง่ายกว่าด้วยเช่นกัน อย่างเช่นลุกไหม้ติดไฟ ดังนั้นเขาถึงไม่สามารถลงไปในล ลำธารลาวาที่อยู่ใต้ดินได้ ส่วนปรมาจารย์สำนักเสวียนอินหากอยู่ห่างจากอินซานเป็นเวลานานเกินไปก็จะถูกข่ายพลังกระบี่ของชิงซานพบตัวเช่นกัน ดังนั้นเขาเองก็ไม่สามารถลงไปได้ เร รื่องนี้จึงได้แต่ต้องมอบหมายให้อินเฟิ่งเป็นคนจัดการ
อินเฟิ่งกระพือปีกขึ้นมา บินลงไปในรอยแตกที่ถูกกระบี่ของหลิ่วฉือฟันเปิดออก ก่อนจะหายลับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
อินซานค่อยๆ เดินไปริมผา ชะโงกหน้ามองลงไปในส่วนลึกของรอยแตก ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกอยากจะลงไปค้นหาและความอยากรู้อย่างเห็นเหมือนเด็กๆ
เขายังคงเป็นเหมือนเด็กหนุ่ม เพียงแต่ร่างกายค่อยๆ ตายลงไปอย่างช้าๆ ผุพังลงอย่างช้าๆ
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมองดูแผ่นหลังของเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกกังวลใจ
ผ่านไปอีกสองปี ตัวนักพรตในตอนนี้กระทั่งบินก็ไม่สามารถทำได้แล้ว ได้แต่ต้องนั่งรถ แล้วอย่างนี้จะทนต่อไปได้อีกกี่ปี?
กระบี่พรหมจรรย์ถูกส่งเข้าไปในพระราชวังเมืองเจาเกอ นักพรตยากจะเปลี่ยนเป็นร่างกระบี่ได้อีก เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงต้องเสี่ยงมาที่เขาเหลิ่งซานด้วย?
เกล็ดของปลาไนเพลิงมันทำอะไรได้กันแน่?
กองทัพเสินเว่ยของราชสำนักและสำนักเฟิงเตายังคงทำการกวาดล้างที่นี่อยู่ตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมืองไป๋เฉิงที่อยู่ทางด้านนั้นของภูเขาเลย ถ้าหากถูกเฉาหยวนพบเข้าจะทำอย่างไร?
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินคิดถึงสิ่งของอีกสองสามสิ่งที่เตรียมเอาไว้ให้นักพรตในช่วงสองปีนี้ เขายิ่งคิดไม่เข้าใจว่านักพรตอยากจะทำอะไรกันแน่
ใต้ดินพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา รถม้ามีเสียงดังครึกๆ ก้อนหินเล็กๆ กระเด็นกระดอนขึ้นมา
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินรู้ว่าเริ่มต้นขึ้นแล้ว
……
……
ในส่วนลึกของใต้ดินมิได้มืดมิด ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยแสงสว่าง บ้างก็แดงเข้ม บ้างก็แดงอ่อน ค่อนข้างเจิดจ้า
ความเงียบสงบของลำธารลาวาถูกทำลาย ลำธารลาวาที่ร้อนระอุและน่ากลัวปั่นป่วนขึ้นมา สาดกระจายไปทั่ว กระเด็นไปถูกผนังหิน ส่งเสียงดังซู่วๆ
ปลาไนเพลิงตัวใหญ่ยักษ์แหวกว่ายอยู่ในลำธารลาวาด้วยความเร็วสูง สะบัดหาดเป็นระยะๆ ใช้ลาวาเป็นอาวุธยิงออกไป ดูโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
อินเฟิ่งบินไปมาอยู่บนลำธารวาลาด้วยความเร็วสูง ยื่นกรงเล็บที่แหลมคมโจมตีออกไปเป็นระยะๆ เหมือนกับสายฟ้าที่มีประกายสายฟ้าเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน
ในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์แห่งชิงซานที่มีพลังสภาวะเทียบเท่าไป๋กุ่ย กรงเล็บของมันเทียบได้กับกระบี่บินของสภาวะขั้นแหวกทะเล ไม่ว่าจะเป็นความคมหรือพลังทำลายก็ล้วนแต่น่ากลัวอย่ างมาก
ปลาไนเพลิงผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในลำธารลาวา พยายามหลบการโจมตีของมันอย่างสุดชีวิต บนตัวมีรอยสีขาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนจำนวนนับไม่ถ้วน
โชคดีที่เกล็ดของมันมีความสามารถในการป้องกันที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถึงได้ทำให้มันไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างแท้จริง
ในฐานะที่เป็นสัตว์เทพสำรองของสำนักจงโจว นอกจากเรื่องที่เคยถูกจิ๋งจิ่วข่มขู่มาครั้งหนึ่งแล้ว มันไหนเลยจะทนรับความไร้มารยาทและป่าเถื่อนเช่นนี้ได้ มันโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมา าก อยากจะลากอีกฝ่ายลงมาในลาวาเพื่อเผาให้ตาย จากนั้นกลืนกินอีกฝ่ายทีละคำๆ…แต่ความเร็วของเจ้านกประหลาดตัวนี้มันเร็วจริงๆ การโจมตีเองก็ร้ายกาจอย่างมาก มันสู้อีกฝ่ายไ ไม่ได้เลย
หนึ่งนกหนึ่งปลาไล่ล่ากันไปในลำธารลาวาอันร้อนระอุ บนผิวลำธารมีลาวาสาดกระเซ็นขึ้นมาคล้ายดอกไม้ไฟ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดปลาไนเพลิงก็ถูกไล่ต้อนจนมาถึงปลายสุดของลำธารลาวา อยู่ตรงหน้ากำแพงยักษ์ที่โปร่งใสที่ขวางกั้นอยู่ระหว่างโลกมนุษย์กับดินแดนหมิง
ปลาไนเพลิงลอยขึ้นมาจากในลำธารลาวา โผล่มาแค่ศีรษะ พลางมองดูอินเฟิ่งอย่างระมัดระวังและโกรธแค้น เตรียมพร้อมที่จะดำลงไปในลำธารทุกเมื่อ มันกล่าวพึมพำว่า “ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร รกันแน่? มาถึงก็มาไล่ตีกันแบบนี้ เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าหนีได้เร็วนะ หากถูกบีบจนไม่มีทางเลือกขึ้นมาจริงๆ ข้าจะใช้อิทธิฤทธิ์ทำให้ลาวาพุ่งกลับขึ้นไป เผาเจ้าจนกลายเป็นไก่ย่างซะ!”
อินเฟิ่งเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน มันยกกรงเล็บข้างขวาขึ้นมาเลีย ดูชั่วร้ายเป็นอย่างมาก จากนั้นกล่าวว่า “เจ้าจะลองดูก็ได้”
ปลาไนเพลิงด่าคำหยาบคายออกมา ก่อนกล่าวว่า “ข้าจะลองจริงๆ นะ!”
อินเฟิ่งวางอุ้งเท้าข้างขวาลง พลางกล่าวด้วยสายตาเย็นยะเยือกว่า “ต่อให้เจ้าสามารถทำให้ลาวาท่วมทั้งใต้ดินได้ ข้าก็สามารถขุดหลุมหลบไปก่อนได้อยู่รอ กระทั่งในตอนที่เจ้าทนไม่ไห หว ลาวาร่วงตกลงมา ข้าก็จะบินไปข่วนเจ้า ไม่สิ ถึงตอนนั้นข้าจะจิกลูกตาเจ้า!”
ปลาไนเพลิงตกใจ ในใจครุ่นคิดว่านั่นไม่เจ็บตายหรือ? แต่ถ้าหากว่ายโดยหลับตา ไปชนกับก้อนหินเข้ามันก็เจ็บเหมือนกัน มันจึงรีบพูดว่า “ข้าไม่ออกมาแล้ว!”
อินเฟิ่งกล่าวว่า “ถ้ามีปัญญาหลบไปพันปีเจ้าก็หลบไป ข้าก็จะอยู่กับเจ้าตรงนี่ไปพันปีนี่แหละ เลิกคิดเสียเถอะ เจ้าเป็นปลา ข้าเป็นนก เจ้าไม่มีวันสู้ข้าได้หรอก”
ปลาไนเพลิงเตรียมจะแย้งกับไปว่าไม่ใช่ปลาทุกตัวจะแพ้นก ทันใดนั้นมันพลันพบปัญหาหนึ่งเข้า จึงอุทานตกใจว่า “เฮ้ย! เจ้าพูดได้หรือนี่!”
“ทำไมล่ะ?” อินเฟิ่งรู้สึกประหลาดใจ ในใจครุ่นคิดว่าก็คุยกันมาตั้งหลายประโยคแล้วมิใช่หรือ?
“ข้าก็พูดได้!” ปลาไนเพลิงกล่าวอย่างตื่นเต้น “เจ้าดูสิ สัตว์เทพทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีอยู่ไม่มาก แต่สัตว์เทพที่พูดภาษาคนได้แล้วก็ยอมพูดยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ ไม่ง่าย ยเลยกว่าที่พวกเราจะได้มาพบกัน แล้วจะสู้กันไปทำไม มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก็ได้นี่นา!”
ในขณะที่พูด ริมฝีปากของมันก็ยืดหดเป็นเหมือนรูปวงกลม ดูใสซื่อน่ารัก
อินเฟิ่งคิดในใจ นักพรตพูดมีเหตุผลจริงๆ ด้วย แต่ว่ามันยังคงเคยชินกับวิธีการของตนเองด้วยการเล่นงานให้อีกฝ่ายยอมจำนนก่อนแล้วค่อยว่ากัน มันจึงกล่าวอย่างดูถูกว่า “ข้าจะสั่งสอน นเด็กรุ่นหลังอย่างเจ้าเสียหน่อย มีปัญหาอะไร?”
ปลาไนเพลิงกล่าวอย่างไม่ยอมรับว่า “เจ้าเป็นฉีหลินหรือ? เจ้าเป็นหยวนกุยหรือ? ในเมื่อไม่ใช่ อย่างนั้นเจ้าก็ไม่มีทางแก่กว่าข้าอย่างแน่นอน จะมาเป็นผู้อาวุโสอะไรกัน”
อินเฟิ่งงุนงงเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าถ้านับกันตามอายุมันก็เป็นจริงดั่งว่า จึงอดรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว
ปลาไนเพลิงรีบหดตัวลงไปในลำธารลาวาเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อว่า “พี่ชาย มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกัน ท่านจะเอาอะไรก็ว่ามา ขอเพียงไม่ทำให้ข้าตายก็พอ”
อินเฟิ่งกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่ใช่ผู้อาวุโสไม่ใช่หรือ? แล้วจะมาเรียกพี่ชายอะไรกัน?”
ปลาไนเพลิงกล่าวอธิบายอย่างจริงจังว่า “คนฉลาดเป็นผู้นำ คนมีความสามารถเป็นอาจารย์ หลักเหตุผลง่ายๆ แบบนี้ ตัวข้านั้นเข้าใจอยู่…แล้วท่านต้องการอะไรกันแน่เนี่ย? ข้าไม่มีของ งล้ำค่าอะไรจริงๆ”
อินเฟิ่งกล่าวว่า “ไม่ต้อง ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก เพียงแค่ต้องการเกล็ดของเจ้าเพียงสองเกล็ดเท่านััน”
ปลาไนเพลิงได้ยินคำขอนี้ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที มันกล่าวว่า “เกล็ดปลามันงอกอยู่บนตัว ไม่ได้ใส่อยู่ในถุงเสียหน่อย แล้วจะเอาให้ท่านได้อย่างไร! หรือว่าดึงออกมาจากตัวแล้วมั นไม่เจ็บ! ท่านพูดภาษาคนได้ ทำไมถึงไม่มีความเป็นคนเลย หรือว่าถ้าข้าดึงขนออกมาจากตัวท่านสองสามเส้นท่านก็จะให้?”
“ข้าเป็นนก เจ้าเป็นปลา จะมาพูดเรื่องความเป็นคนอะไร?” อินเฟิ่งยิ่งรู้สึกว่าเจ้านี่แปลกประหลาด จากนั้นกล่าวต่อว่า “ส่วนเรื่องขน จริงอยู่ที่ว่าถ้าดึงออกมามันก็คงจะเจ็บ แต่ถ้ าสามารถทำให้เรื่องใหญ่เรื่องนี้กลายเป็นจริงได้ ไม่ว่าอย่างไรมันก็คุ้มค่า”
ปลาไนเพลิงพบว่าตัวเองเหมือนจะหนีกรงเล็บอันแหลมคมของอีกฝ่ายไม่พ้นแล้ว จึงกล่าวอย่างน่าสงสารว่า “พี่ชาย ท่านเป็นนกอะไรกันแน่?”
คำพูดประโยคนี้ย่อมต้องแฝงเอาไว้ด้วยความปรารถนาที่จะแก้แค้นอย่างแรงกล้า ขอเพียงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มันก็จะสามารถให้สำนักจงโจวแก้แค้นแทนตัวเองได้
อินเฟิ่งกล่าวว่า “ข้าเป็นผู้พิทักษ์แห่งชิงซาน เจ้าเรียกข้าว่าเยาจี[1]ก็ได้”
ปลาไนเพลิงงุนงงไปทันที ในใจครุ่นคิดว่าแล้วนี่จะแก้แค้นได้อย่างไร? จึงอดรู้สึกทั้งกลุ้มใจและโมโหขึ้นมาไม่ได้ ในใจคิดว่าพวกเจ้าชิงซานทำไมเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดเลย?
……
……
สำนักเสวียนอินถูกทำลาย คนที่ได้รับผลกระทบยังมีสำนักวิถีมารเล็กๆ อีกสิบกว่าสำนัก ภายใต้ความวุ่นวาย ได้มีวิชาและอาวุธวิเศษจำนวนมากที่สูญหายอยู่ในทุ่งกว้างรกร้างแห่งนี้
ถึงแม้ราชสำนักและนิกายเฟิงเตาจะจับตาดูที่นี่เอาไว้อย่างเข้มงวด แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารและผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักเหล่านั้นไม่ให้เข้ามาที่นี่เพื่อค้นหาวิชาแ และของวิเศษเหล่านั้นได้
ในสถานที่แบบนี้ รถม้าเป็นสิ่งที่ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก เหมือนเป็นกองไฟที่ดึงดูดผู้บำเพ็ญพรตและผีเสื้อกลางคืนอย่างไรอย่างนั้น ดึงดูดสายตาจำนวนมากให้มองเข้ามา
ตอนนี้คนเหล่านั้นได้กลายเป็นซากศพที่อยู่บนพื้นแล้ว ตายไปอย่างเงียบๆ กระทั่งอาวุธวิเศษและอาวุธมารที่ปกป้องร่างกายก็ไม่ทันได้ใช้
พวกเขาไหนเลยจะคิดถึงว่าจะได้มาเจอกับจอมมารแห่งยุคอย่างปรมาจารย์สำนักเสวียนอินที่นี่
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินสะบัดแขนเสื้อ ซากศพเหล่านั้นลุกไหม้ขึ้นมาทันที จากนั้นถูกพลังที่ไร้รูปร่างสายหนึ่งโยนลงไปในรอยแตกบนพื้น
อินเฟิ่งกระพือปีกทั้งสองข้างบินขึ้นมา โยนเกล็ดที่มีขนาดใหญ่เหมือนกระจกสองเกล็ดลงตรงหน้ารถ มองดูปรมาจารย์สำนักเสวียนอินพลางกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าคิดจะกดข้าลงไปใหม่อย่าง งนั้นรึ?”
มันคือผู้พิทักษ์แห่งชิงซาน ย่อมไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อผู้หลบหนีกระบี่อย่างปรมาจารย์สำนักเสวียนอินแม้แต่น้อย
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินหัวเราะเล็กน้อย มิได้ต่อปากต่อคำกับมัน
อินเฟิ่งไม่ได้สนใจเขาอีก หากแต่หมุนตัวไปพูดกับอินซานว่า “ปลาไนตัวนี้ค่อนข้างร้ายกาจ โชคดีที่ยังไม่โตเต็มที่ ไม่อย่างนั้นข้าไม่แน่ว่าจะสู้มันได้”
สายตาของอินซานมองไปยังร่างกายของมันตรงส่วนที่ถูกไฟลวก พลางกล่าวว่า “ขอบใจนะ”
อินเฟิ่งกล่าวว่า “หวังว่านักพรตจะยังไม่ลืมสัญญาในตอนนั้น”
เมื่อมนุษย์ไปสู่ธรรมวิถี หมาไก่กลายเป็นเซียน
อินเฟิ่งพูดเรื่องนี้ขึ้นมา มิใช่เป็นเพราะความลำบากในวันนี้ หากแต่เป็นเพราะว่าค่าตอบแทนที่มันต้องจ่ายเพื่อเรื่องนี้มีมูลค่าที่สูงมาก
อินซานกล่าวว่า “ยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้น หากพวกเจ้ายังไปไม่ได้ ข้าก็จะไม่ไป”
อินเฟิ่งกล่าวว่า “ตอนนี้มีไขกระดูกของชางหลง กระดูกอ่อนของปลาวาฬบิน เกล็ดของปลาไนเพลิง ยังขาดอะไรอีก?”
ภายในราชสำนักจะต้องมีคนของปู้เหล่าหลินแอบซ่อนตัวอยู่อย่างแน่นอน การจะเอาของจากในคุกสะมารย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับอินซาน
ปลาวาฬบินเป็นสัตว์เทพของสำนักกระบี่ซีไห่ ศพของมันตอนนี้เป็นสมบัติของสำนักชิงซาน เช่นนั้นก็ย่อมต้องมีคนเอามาให้เขา
เกล็ดของปลาไนเพลิงก็ได้มาอย่างไม่ยากลำบากอะไรนัก เพียงแค่ต้องเปลืองน้ำลายนิดหน่อยเท่านั้น
อินซานกล่าวว่า “พวกเรายังต้องไปเด็ดบัวสายที่ระเบียงลมพันลี้”
ในที่สุดปรมาจารย์สำนักเสวียนอินก็เข้าใจแล้ว
ความสงสัยเมื่อสองปีก่อน ในที่สุดตอนนี้ก็ได้รับคำตอบ
ต่อให้เป็นเขาที่มีความรู้กว้างขวางก็ยังรู้สึกตะลึงจนใจสั่น เขากล่าวถามเสียงสั่นเครือว่า “นักพรต...คิดจะกางปีกอย่างนั้นหรือ?”
อินซานส่งเสียงอืม สีหน้าดูเรียบเฉย
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “กางปีก...มันมิใช่ว่าเป็นเพียงตำนานหรอกหรือ?”
สภาวะสูงสุดที่ศาสนาเต๋าเฝ้าแสวงหาก็คือการกางปีกโบยบินกลายเป็นเซียน
ในความเข้าใจของคนทั่วๆ ไปมองว่าการกางปีกโบยบินนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ความจริงแล้วมันกลับเป็นเส้นทางสองเส้นที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
โบยบินคือโบยบิน กางปีกคือกางปีก
นับแต่โบราณมา ถึงแม้ผู้ที่โบยบินบรรลุกลายเป็นเซียนนั้นจะมีไม่บ่อยนัก แต่มันก็มีคนที่ทำได้อยู่
แต่กลับไม่เคยมีใครเคยเห็นหรือว่าได้ยินเรื่องการกางปีกมาก่อน
การกางปีกเป็นเหมือนคำเล่าลืออย่างหนึ่ง หรือเรียกได้ว่าเป็นตำนาน
“เอาไว้ข้าทำสำเร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำเล่าลือหรือตำนาน สุดท้ายก็มันก็กลายเป็นเรื่องจริง”
อินซานกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ในอดีตข้าเคยได้หนังสือเก่ามาเล่มหนึ่ง ด้านในมีบันทึกที่เกี่ยวกับการกางปีกอยู่ รายละเอียดไม่ได้ชัดเจนนัก หลายปีมานี้ข้าพยายามจะเสริมเข้าไป ไม่แน น่ว่าจะสำเร็จ แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว มันก็ได้แต่ต้องเสี่ยงลองดู”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินสงบสติอารมณ์ลง คิดถึงว่าสิ่งสุดท้ายในวัตถุดิบที่นักพรตเตรียมเอาไว้เหล่านั้นคือบัวสาย เขาจึงเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมาทันที
บัวสายก็คือดอกบัว เป็นสัญลักษณ์ของการคืนชีพ หรือพูดอีกอย่างก็คือการเกิดใหม่ในนิกายฌาน
ดูเหมือนนักพรตเตรียมจะใช้ธรรมะมาเติมลงไปในส่วนที่ขาดหายไปในวิชากางปีก หรือพูดอีกอย่างก็คือใช้ธรรมะมาแก้ไขข้อบกพร่องในวิชานั้น
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะสามารถปราบได้สำเร็จหรือไม่ แต่การที่มีคนกล้าลองฝึกวิชากางปีก แล้วก็กล้าใช้ธรรมะมาสร้างวิถีใหม่ขึ้นมามันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุด แล้ว
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินหวาดกลัวไท่ผิงและจิ่งหยาง แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความนับถือ ความจริงเขาก็พอจะรู้สึกนับถืออยู่บ้าง จนกระทั่งในเวลานี้ เขาถึงได้รู้สึกนับถืออีกฝ่ายจริงๆ
เขาทำการคารวะอินซานอย่างตั้งใจ
อินซานรับการคารวะจากเขาอย่างสงบนิ่ง
ในเวลานี้ไม่มีการแบ่งแยกธรรมะหรืออธรรม แล้วก็ไม่มีการใช้ประโยชน์หรือว่าวางกลอุบาย มีเพียงแต่ความเคารพที่ผู้บำเพ็ญพรตมีต่อการบำเพ็ญพรตเท่านั้น
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกำลังคิดถึงภาพบางภาพที่ในตำนานเคยเอ่ยถึงเอาไว้ กล่าวว่า “นกจูเชวี่ยได้ตายไปแล้ว แล้วจะไปเอาขนนกมาจากไหน?”
จะกางปีกก็ย่อมต้องมีขนนก
นกจูเชวี่ยถือกำเนิดมาจากเพลิงสวรรค์ ในเลือดของมันมีพลังการฟื้นคืนชีพที่น่ามหัศจรรย์แอบซ่อนอยู่
อินเฟิ่งบินขึ้นไปบนหลังคารถ กล่าวว่า “ก็ย่อมต้องใช้ขนของข้า”
…………………….
[1]เยาจี หมายถึง ไก่ปีศาจ