มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 10 ฟังงานราชการอยู่เบื้องหลังเป็นบางครั้ง
อาจจะเป็นเพราะได้กระบี่แบกสวรรค์มาอยู่ในมือแล้ว จิ๋งจิ่วจึงค่อนข้างดีใจ จึงกล่าวหยอกล้อขึ้นมาอย่างที่ยากจะได้พบเห็นในเวลาปกติ
หากว่ากันตามมาตรฐานปกติแล้ว นี่ย่อมไม่ถือว่าตลกอะไร แต่มาตรฐานของเขาย่อมต้องต่ำกว่าปกติ
อาต้าคิดมาในใจว่าเจ้านี่เหมือนกับไทเฮาที่ฟังงานราชการอยู่หลังม่าน พูดคำพูดที่ตัวเองคิดว่าตลกแล้วคาดหวังว่าจะให้คนอื่นหัวเราะตาม
แต่กู้ชิงกลับหัวเราะขึ้นมาจริงๆ
อาต้ารู้สึกว่าช่างน่าขันยิ่งนัก ในใจครุ่นคิดว่าเจ้านี่ก็ยินดีให้ความร่วมมืออย่างนั้นหรือ?
ทันใดนั้นมันพลันเข้าใจ ที่แท้จิ๋งจิ่วคิดจะใช้กู้ชิงเหมือนมหาบัณฑิตจาง
เรื่องราวภายในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง จิ๋งจิ่วไม่เคยบอกคนอื่น แต่ผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นย่อมไม่มีทางเก็บความลับให้เขา
ทุกคนต่างรู้ว่าฮ่องเต้แคว้นฉู่คนนั้นเกียจคร้านเพียงใด แล้วก็มหาบัณฑิตจางผู้นั้นลำบากเพียงใด
กู้ชิงเองก็คิดถึงมหาบัณฑิตจางขึ้นมา รอยยิ้มที่อยู่บนหน้าพลันหายไปทันที ในใจรู้สึกหนักอึ้ง จากนั้นเดินออกไปจากถ้ำด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้งกว่าตอนเดินเข้ามา
หลังเดินออกมาจากในถ้ำ เขาก็เดินเข้าไปหยิบกาน้ำชาและชามาจากในตำหนักก่อน จากนั้นถึงจะเดินไปยังกระท่อมหลังเล็กที่อยู่ด้านล่างหน้าผาหลังนั้น
ผู้อาวุโสจากยอดเขาต่างๆ รอคอยที่จะถูกจิ๋งจิ่วเรียกเข้าไปพบเพื่อปรึกษาหารือธุระ พวกเขารอคอยจนรู้สึกร้อนใจ เมื่อเห็นกู้ชิงเดินมาจึงรีบลุกขึ้นสอบถาม
กู้ชิงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเชิญอาจารย์ลุงแต่ละท่านนั่งลง ด้านหนึ่งก็ต้มชาให้พวกเขา อีกด้านหนึ่งก็กล่าวว่า “เรื่องที่อาจารย์ลุงแต่ละท่านต้องการถาม อาจารย์ได้รับทราบแล้ว อาจา ารย์ต้องการเวลาครุ่นคิดสักเล็กน้อย เมื่อจัดการเสร็จแล้วจะแจ้งให้พวกท่านทราบขอรับ”
เหล่าผู้อาวุโสคิดในใจว่าแบบนี้ก็ดี ไม่สิ แบบนี้ดีที่สุดแล้ว
ถ้าจะให้พวกเขาคารวะเจ้าสำนักที่อายุน้อยขนาดนี้ มันออกจะน่ากระอักกระอ่วนไปหน่อย ถ้าต้องพบหน้าสู้ไม่พบดีกว่า
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ชานี้ยังมีอะไรน่าดื่มอีก พวกเขาวางป้ายหยกสำหรับรายงานเรื่องราวที่อยู่ในมือลง จากนั้นออกไปจากเขาเสินม่อ
หยวนฉวี่ถามอย่างไม่เข้าใจ “อาจารย์อาไม่อยากพบพวกเขาจริงๆ หรือ?”
กู้ชิงมองดูชาเจ็ดถ้วยที่อยู่บนโต๊ะ พลางถอนใจออกมายาวๆ คล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง
ในเมื่อไม่ดื่มชา ไยต้องให้ข้าต้มด้วย?
ในเมื่อไม่ถ่าย ไยต้องจองส้วมเอาไว้ด้วย?
“อาจารย์ให้ข้าจัดการเรื่องเหล่านี้เอง” เขากล่าว
หยวนฉวี่ค่อนข้างตกใจ แต่ยังคงรู้สึกไม่เข้าใจ จึงกล่าวว่า “อย่างนั้นเหตุใดท่านถึงให้พวกเขารอ แค่บอกว่าได้หรือไม่ได้ก็เรียบร้อยแล้วมิใช่หรือ?”
กู้ชิงกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่มีแต่เจ้าสำนักเท่านั้นถึงจะทำได้ แล้วจะให้ข้าเป็นคนทำได้อย่างไร อย่างน้อยก็ไม่อาจให้พวกเขาเห็นว่าข้าเป็นคนทำ”
ผิงหย่งเจียเหมือนเข้าใจขึ้นมา เขาพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ถูกต้อง นี่ก็เหมือนกับขันทีว่าราชการ ต้องทำแบบแอบๆ ”
กู้ชิงมองดูเขา กล่าวว่า “เจ้าว่าอาจารย์เป็นฮ่องเต้เลอะเลือนหรือว่าฮ่องเต้หุ่นเชิด?”
ผิงหย่งเจียกระอักกระอ่วนจนหน้าแดง กล่าวว่า “ศิษย์พี่ ท่านอย่าทำแบบนี้สิ….”
กู้ชิงไม่อยากสนใจเขาอีก จึงหยิบเอาป้ายหยกสำหรับรายงานเหล่านั้นขึ้นมา จากนั้นถ่ายปราณกระบี่เข้าไป
เจตน์กระบี่เบาบางไหลออกมา จากนั้นกลายเป็นแสงกระจ่างใสจางๆ จนสุดท้ายกลายเป็นตัวหนังสือ
ผู้อาวุโสที่มารายงานมีแค่เจ็ดคน แต่เรื่องที่ต้องรายงานกลับมีอยู่ยี่สิบกว่าเรื่อง
กู้ชิงยกชาดำขึ้นมาถ้วยหนึ่ง พลางยืนอยู่หน้าตัวหนังสือที่จับตัวขึ้นมาจากแสงที่ใสกระจ่างเหล่านั้น จ้องมองดูอย่างตั้งใจ
ผิงหย่งเจียรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่านี่คือความรู้สึกเวลาที่มีอำนาจอยู่ในมืออย่างนั้นหรือ?
หยวนฉวี่ไม่มีความรู้สึกอะไร จึงส่งสายตาบอกให้ผิงหย่งเจียออกไปข้างนอกกับตนเอง
ในตอนที่เท้าของพวกเขากำลังจะก้าวออกไปด้านนอกกระท่อม กู้ชิงพลันตะโกนเรียกพวกเขาเอาไว้ “มาช่วยข้าดูหน่อย”
ผิงหย่งเจียรู้สึกตื่นเต้น ตอบรับเสียงดัง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไป หยวนฉวี่ถอนใจออกมา
แต่หลังดูไปได้เพียงเล็กน้อย สีหน้าของผิงหย่งเจียพลันเปลี่ยนขึ้นมาทันที เขากล่าวถามว่า “ศิษย์พี่ อาจารย์ให้ท่านเป็นคนตัดสินใจจริงๆ หรือ?”
กู้ชิงส่งเสียงอืม กล่าวว่า “ดอกอวี้หลานเจ็ดดาวนี้เจ้าว่าแบ่งอย่างไรดี? นี่เป็นดอกไม้ที่ผู้อาวุโสเหอเป็นคนเลี้ยงขึ้นมาเอง ตามหลักแล้วน่าจะเก็บเอาไว้ทำยาที่ยอดเขาซื่อเย ยวี่ย แต่ถ้าหากดูดซึมดอกสดๆ เข้าไปในเส้นปราณ มันจะมีประโยชน์อย่างมากต่อการบรรลุขั้นคเนจร”
สามารถช่วยให้ผู้บำเพ็ญพรตบรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจร ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ดหรือว่าเป็นสมุนไพรปรุงยา หากเอาไปประมูลบนโลก จะต้องได้ราคาที่สูงมากอย่างแน่นอน และถ้าหากอยู่ในโลกแห่งการ รบำเพ็ญพรต มันอาจจะทำให้สำนักเล็กๆ สำนักหนึ่งต้องพังพินาศไปเลยก็เป็นได้!
ผิงหย่งเจียไหนเลยจะกล้าออกความคิด เขากล่าวเสียงสั่นว่า “เรื่องนี้มีความรับผิดชอบใหญ่หลวงนัก ข้ารับไม่ไหว….”
กู้ชิงมองดูเขา กล่าวว่า “อย่างนั้นเรื่องนี้เจ้ามีความเห็นอย่างไร?”
ผิงหย่งเจียเดินไปหน้าป้ายหยกป้ายนั้น พบว่านี่เป็นเรื่องการมอบรางวัลและการลงโทษที่ยอดเขาซีไหลส่งมา จึงยิ่งรู้สึกไม่กล้าเสนอความเห็น ดวงตากรอกไปกรอกมาเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “เอ่อ ท่านไป๋กุ่ยให้ข้าไปหาไข่มุกเม็ดนั้น ข้าลืมเรื่องนี้ไปเลยนะเนี่ย ศิษย์พี่ ข้าไปก่อนล่ะ”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็รีบวิ่งออกไปโดยไม่รอให้กู้ชิงได้พูดอะไร
กู้ชิงมองไปทางหยวนฉวี่
หยวนฉวี่กล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ “พวกข้าไหนเลยจะมีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องเหล่านี้ได้ ข้าว่าให้อาจารย์อาจิ๋งจิ่วมาดูดีกว่า”
กู้ชิงส่ายศีรษะ เขารู้ว่าอาจารย์ปล่อยอำนาจก็คือปล่อยจริงๆ ตัวเองไม่ต้องกังวลว่าจะถูกตำหนิ ขอเพียงจัดการเรื่องเหล่านี้ให้ดีก็พอ แต่แน่นอนว่าถ้าจัดการได้ไม่ดี ก็น่าจะถู กอาจารย์ด่าเช่นกัน
หยวนฉวี่มองเขาอย่างเห็นใจ กล่าวว่า “ท่านจัดการให้ดีแล้วกันนะ”
กู้ชิงกล่าวว่า “เจ้าต้องอยู่ช่วยข้าก่อน”
“พวกเราไม่ได้มีอาจารย์คนเดียวกัน ท่านอย่าคิดที่จะดึงข้าไปตายด้วยเลย”
หยวนฉวี่ยิ้มพลางกล่าว จากนั้นเดินออกไป
กู้ชิงถอนใจอีกครั้ง ดื่มชาดำภายในถ้วยจนหมด จากนั้นหยิบชาขึ้นมาจากบนโต๊ะอีกถ้วย แล้วเดินกลับไปตรงหน้าป้ายหยกเหล่านั้นใหม่อีกครั้ง
เรื่องราวของสำนักชิงซานนั้นมีไม่มาก เรื่องที่จำเป็นต้องให้เจ้าสำนักตัดสินใจก็น่าจะมีแค่ไม่กี่เรื่อง
เรื่องในยอดเขาทั้งเก้า ปูนบำเหน็จให้แก่ลูกศิษย์ เรื่องราวสำนักสาชา เรื่องในเผ่าพันธุ์มนุษย์ และการแบ่งทรัพยากรต่างๆ ที่สำคัญที่สุด
อืม เรื่องไม่เยอะเลยจริงๆ
กู้ชิงมองดูถ้วยชาหกถ้วยที่อยู่บนโต๊ะ ในใจคิดว่าหลังจากนี้ตัวเองคงต้องต้มชาให้ตัวเองบ่อยๆ แล้ว
ชาดำต้องเปลี่ยนเป็นชาเขียว
……
……
ข่าวที่จิ๋งจิ่วกลายเป็นเจ้าสำนักชิงซานแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของแผ่นดินเฉาเทียนอย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งกว่ากระบี่ไร้อัตตาเสียอีก
ทั่วทั้งโลกตกตะลึง นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
ไม่ว่าผู้คนจะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเหลวไหลเพียงใด แต่สุดท้ายนี่ก็เป็นเรื่องจริงที่ได้รับการยืนยันแล้ว ดังนั้นแต่ละสำนักจึงส่งตัวแทนมายังสำนักชิงซานเพื่อแสดงความยินดี ขณะเดียว วกันก็สอบถามว่างานฉลองจะจัดขึ้นเมื่อไร
นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่อย่างมาก กระทั่งสำนักจงโจวก็ยังให้สำนักคุนหลุนนำเอาของขวัญมามอบให้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักอื่นๆ เลย สำนักในดินแดนทางใต้อย่างต้าเจ๋อนั้นส่งของขวัญล้ำ ำค่ามาในทันที ของขวัญของสำนักเสวียนหลิงและสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยล้ำค่าเป็นพิเศษ มีเพียงวัดกั่วเฉิงที่ไม่สนใจ บางทีอาจเป็นเพราะอารมณ์ของฉานจึยังไม่สงบลง แล้วก็อาจจะเป็นเพราะเ เหตุผลอื่น
ของขวัญเหล่านั้นถูกยอดเขาซีไหลรับเอาไว้ จากนั้นจดเป็นรายชื่อของขวัญอย่างละเอียดส่งไปให้ยอดเขาเสินม่อ
กู้ชิงรู้ว่าจิ๋งจิ่วไม่สนใจเรื่องเหล่านี้แม้แต่นิดเดียว ตัวเองดูใบรายชื่อของขวัญ เลือกเอาของเล่นที่ท่านไป๋กุ่ยกับจักจั่นเหมันต์น่าจะชอบ แล้วก็เลือกของขวัญที่ล้ำค่าส่วนหนึ่ง งส่งไปยังยอดเขาเทียนกวงและยอดเขาซั่งเต๋อ ส่วนที่เหลือให้ยอดเขาซีไหลเก็บเข้าคลัง
สายตาเขามองไปยังจุดหนึ่งของรายชื่อของขวัญ นั่นคือของขวัญที่ส่งมาจากเรือนอี้เหมา ในนั้นมีรายชื่อของขวัญอยู่ชิ้นหนึ่งที่ค่อนข้างแปลกประหลาด
ยอดเขาซีไหลเองก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน จึงได้ทำเครื่องหมายเอาไว้ตรงรายชื่อของขวัญชิ้นนั้น และยังได้เอาของขวัญชิ้นนั้นส่งมาที่ด้านล่างยอดเขาเสินม่อด้วย
กู้ชิงไม่กล้าชักช้า ให้ลูกศิษย์ยอดเขาซีไหลรีบเอาของขวัญชิ้นนั้นส่งขึ้นมา จากนั้นตัวเองค่อยนำขึ้นไปบนยอดเขาด้วยตัวเอง
……
……
ทุกคนยืนอยู่ริมหน้าผา ห้อมล้อมของขวัญจากเรือนอี้เหมาชิ้นนั้น
จิ๋งจิ่วเดินไปหน้าเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวใหม่ตัวนั้น ใช้มือลูบลายเส้นไม้ไผ่ ราวกับรับรู้ได้ถึงความสุขของหลิ่วสือซุ่ยในตอนที่ทำเก้าอี้ตัวนี้
เขานอนลงบนเก้าอี้ตัวนั้น ดื่มด่ำอยู่ครู่หนึ่ง
เจ้าล่าเยวี่ยนั่งลงตรงปลายเก้าอี้ตรงตำแหน่งที่นางคุ้นเคยที่สุด ก่อนกล่าวถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “พอได้ สู้ที่ข้าทำตัวนั้นไม่ได้”
ผิงหย่งเจียเข้าสำนักมาช้ากว่าคนอื่น จึงไม่เคยได้เห็นศิษย์พี่ใหญ่ที่เล่าลือกันผู้นั้น ในใจรู้สึกสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก
เขาถามหยวนฉวี่ว่า “อีกประเดี๋ยวข้าลองนั่งดูหน่อยได้ไหม?”
หยวนฉวี่มองดูเขา ก่อนกล่าวว่า “เจ้าอยากตายหรือ?”
……
……
ฤดูใบไม้ผลิบนโลกงดงาม ชิงซานสี่ฤดูล้วนงดงาม ยอดเขาเสินม่อเองก็งดงาม
ท่ามกลางป่าเขาที่เขียวขจี บางครั้งก็มีเสียงร้องของม้าดังขึ้นมา เสียงร้องของวานรดังไม่ขาดสาย
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะความงดงามและความวุ่นวายในทุกๆ วันล้วนแต่คล้ายกัน
เรื่องราวที่สะสมมาเป็นเวลาสามปีของสำนักชิงซาน กู้ชิงใช้เวลาอยู่ไม่กี่วันก็จัดการจดเสร็จเรียบร้อย ไม่รู้ว่าแต่ละยอดเขามีคำวิจารณ์เป็นอย่างไร แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีคำตำหนิและป ปฏิกิริยาที่ไม่ดีตอบกลับมา
ในขณะที่เขาคิดว่าในที่สุดตัวเองก็มีเวลาให้เก็บตัวบำเพ็ญเพียรชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นก็มีคนมาขอเข้าพบเจ้าสำนักอีก
ครั้งนี้คนที่มาคือฉือเยี่ยนของยอดเขาซั่งเต๋อ
เมื่อเห็นป้ายหยกสีขาวกองนั้น สีหน้าของกู้ชิงก็ค่อนข้างขาวซีด เขากล่าวว่า “อาจารย์ลุง นี่มันไม่ผิดกฎสำนักหรือขอรับ?”
ฉือเยี่ยนเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านกฎแห่งกระบี่ถึงต้องมอบเรื่องเหล่านี้ให้ยอดเขาเสินม่อจัดการ เขาพูดปลอบว่า “นี่เป็นเรื่องที่เจ้าสำนักควรจะเป็นคนคิด”
ความหมายของเขาชัดเจน ไม่ว่าระหว่างหยวนฉีจิงและจิ๋งจิ่วจะมีปัญหาอะไรกัน อย่างไรเสียมันก็ไม่เกี่ยวกับเขาและกู้ชิง
กู้ชิงยิ้มเจื่อนไม่กล่าวกระไร ในใจครุ่นคิดว่าหากเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คงจะดี
หลังฉือเยี่ยนออกไป กู้ชิงก็ยกชาเขียวขึ้นมาถ้วยหนึ่ง จากนั้นเริ่มดูป้ายหยกที่ยอดเขาซั่งเต๋อส่งมาเหล่านั้น
ในตอนที่เขาดื่มชาเขียวถึงถ้วยที่สี่ ในที่สุดเขาก็พบปัญหาอย่างหนึ่ง จึงรู้ว่าครั้งนี้ตนเองจำเป็นต้องรบกวนอาจารย์แล้ว
สุดท้ายก็ต้องมีเรื่องบางเรื่องที่เขาแก้ไขไม่ได้ หรือพูดอีกอย่างก็คือไม่มีสิทธิ์ที่จะแก้ไข อย่างเช่นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย
เขาถือเอาป้ายหยกชิ้นนั้นขึ้นไปบนยอดเขา เดินเข้าไปในถ้ำ โคจรปราณกระบี่ ฉายเนื้อหาในป้ายหยกออกมา
จิ๋งจิ่วมองดู ก่อนจะกล่าวเสียงอืมอย่างสงสัย ในใจครุ่นคิดว่านี่มันเรื่องอะไร?
กู้ชิงกล่าวว่า “เจี่ยนหรูอวิ๋นคิดอยากจะฆ่าตัวตายในคุกกระบี่ แล้วก็ยังมี….ลูกศิษย์ที่เคยก้าวออกมาคัดค้านท่านเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมรับ พวกเขาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมใครได้ อารมณ์ จึงยิ่งรู้สึกแย่ มีโอกาสอย่างมากที่จะคิดสั้น”
ศิษย์หนุ่มเหล่านั้นคิดว่าการที่จิ๋งจิ่วเป็นเจ้าสำนักคือเรื่องที่ทำให้ชิงซานต้องอับอายขายหน้า
ในเมื่อพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมดนี้ พวกเขาก็เลยตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวว่าจะลงไปข้างล่างเพื่อพบปรมาจารย์รุ่นก่อนๆ ของชิงซาน เพื่อขอความเป็นธรรม
“หยวนฉีจิงเคยบอกเอาไว้ เจี่ยนหรูอวิ๋นต้องรับโทษอยู่ในคุกกระบี่ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จากนั้นค่อยว่ากัน ดังนั้นเขาไม่มีทางตาย”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “คนเหล่านั้นหากยังก่อเรื่องวุ่นวาย ก็ให้ขับออกจากชิงซาน ห้ามไม่ให้ใช้ชีวิตที่ฐานะศิษย์ชิงซานอีก ชื่อของศิษย์ที่ถูกชิงซานขับออกไปก็ห้ามใช้ มิเช่นนั้นก็ให้ ฆ่าซะ”
กู้ชิงคิดในใจว่าศิษย์เหล่านั้นต้องการตาย เช่นนั้นความตายยังจะทำให้พวกเขาหวาดกลัวได้หรือ? หากเกิดการนองเลือดแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปอธิบายต่อปรมาจารย์รุ่นก ก่อนๆ อย่างไร สิ่งสำคัญก็คือหากข่าวนี้แพร่กระจายออกมามันจะฟังดูไม่ดี
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “อย่าตายอยู่ในสำนักก็พอ”
นี่ก็หมายความว่าต่อให้ศิษย์หนุ่มเหล่านี้ต้องตายหลังจากถูกขับออกจากชิงซาน เขาก็ไม่แม้แต่ละเหลือบมองดู
เรื่องที่ชิงซานต้องอับอายขายหน้าเขาก็มิได้รู้สึกใส่ใจแม้แต่น้อย มันไม่ใช่ว่าเขาไปหยิบหมวกลี่เม่ามาโดยไม่จ่ายเงินเสียหน่อย
กู้ชิงรู้สึกจนปัญญา เขาเดินออกมาจากในถ้ำแล้วเดินลงเขาไปอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงร้องของวานรดังมาจากด้านล่างหน้าผา ผ่านไปไม่นานเขาก็วกกลับมาใหม่อีกครั้ง ก่อนจะกล่าว กับจิ๋งจิ่วว่า “ศิษย์พี่กั้วหนานซานจะขอเข้าพบท่านให้ได้ขอรับ ส่วนรายละเอียดเป็นเรื่องอะไรเขาไม่ได้บอกขอรับ”
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าเป็นเจ้าสำนักมันยุ่งยากจริงๆ ด้วย จึงส่งสัญญานบอกให้เขาพาอีกฝ่ายเข้ามา
กั้วหนานซานมาถึงในถ้ำ ก่อนจะคารวะอย่างตั้งใจ จากนั้นเริ่มกล่าวรายงาน
มีข่าวส่งมาจากทางอี้โจวว่าประมุขนิกายเสวียนอินที่เรียกตัวเองว่าหมิงหวังได้เผยร่องรอยออกมาอีกครั้ง เขากำลังแอบรวมพลลูกศิษย์เก่าๆ ของนิกายอยู่
ยอดเขาเหลี่ยงว่างเตรียมส่งลูกศิษย์ไปตรวจสอบดู หากมีโอกาสก็จะสังหารพวกลูกศิษย์ของสำนักเสวียนอินที่ยังหลงเหลืออยู่เสีย
หากเป็นเมื่อก่อน กั้วหนานซานคงจะพาศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างออกไปโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใดๆ แต่ในตอนที่จิ๋งจิ่วออกมาจากยอดเขาเทียนกวงได้เคยกล่าวเตือนเขาเอาไว้ จิ๋งจิ่วบอกอย ย่างชัดเจนว่าหากศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างจะทำอะไร จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากเขาก่อน — นี่คือคำสั่งของเจ้าสำนัก จำเป็นต้องปฏิบัติตาม
ก่อนที่กั้วหนานซานจะมายอดเขาเสินม่อ เขาเคยคิดเอาไว้ว่าเจ้าสำนักอาจจะไม่อนุญาตให้ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างออกไป แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือเจ้าสำนักกลับคิดว่าข่าวเหล่านี้ล้วนแต่ เป็นข่าวปลอม
“ไม่ใช่หวังเสี่ยวหมิง เป็นซูจึเย่” จิ๋งจิ่วกล่าว