มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 11 คนใหม่และเรื่องเก่าล้วนลืมไปหมดแล้ว (1)
กั้วหนานซานงุนงง กล่าวถามว่า “ทำไมหรือขอรับ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หวังเสี่ยวหมิงตายแล้ว”
กั้วหนานซานกล่าวว่า “แต่ไม่ว่าจะเป็นนิกายเฟิงเตาหรือว่ากองทัพเสินเว่ยของราชสำนักก็ล้วนแต่ไม่พบศพเขานะขอรับ”
จิ๋งจิ่วมิได้อธิบายอะไรอีก เพราะเขามั่นใจว่าหวังเสี่ยวหมิงได้ตายไปแล้ว ไม่ว่าจะหาศพพบหรือไม่
กั้วหนานซานเชื่อในการวิเคราะห์ของเขา จึงกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งว่า “หากเป็นซูจึเย่ อย่างนั้นเรื่องนี้ก็ยิ่งต้องระวังนะขอรับ”
หลังสงครามในทะเลตะวันตกจบสิ้นลง ทุกคนต่างรู้ว่าซูจึเย่กับสำนักจงโจวเคยมีทำข้อตกลงร่วมกัน หากคนที่เรียกรวมอดีตลูกศิษย์ของสำนักเสวียนอินในอี้โจวคือซูจึเย่ อย่างนั้นเบื้ องหลังเรื่องนี้ก็จะต้องมีเงาของสำนักจงโจวอยู่อย่างแน่นอน? ฝนฤดูใบไม้ผลิเพิ่งจะตกลงมา อวิ๋นเมิ่งเพิ่งจะเปิดเขา เงามืดที่แอบซ่อนมาเป็นเวลาสามปีก็จะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว วอย่างนั้นหรือ?
สำหรับสำนักชิงซานแล้ว นี่เป็นเรื่องที่มีความกดดันอย่างใหญ่หลวง
ในดวงตาของกู้ชิงเองก็เผยให้เห็นสายตาระมัดระวัง ในใจคิดว่าควรจะส่งคนไปดูที่อี้โจวจริงๆ
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าต้องเป็นกังวล สภาวะต่ำต้อยขนาดนี้ ควรจะตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนัก”
ถ้าว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว คำพูดประโยคนี้ไม่มีปัญหาใดๆ สำนักชิงซานและสำนักจงโจวเป็นสองผู้นำของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต รากฐานหยั่งลึก ยอดฝีมือมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ถ้าหากทั้ง งสองฝ่ายเปิดศึกกันขึ้นมาจริงๆ อาวุธวิเศษและกระบี่บินฉวัดเฉวียนเต็มท้องฟ้า ด้วยสภาวะของศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างแล้วไม่สามารถทำประโยชน์อะไรได้เลย มีแต่จะตายเปล่า
ในสงครามระดับนั้น มีเพียงยอดฝีมือที่บรรลุขั้นแหวกทะเลขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถทำประโยชน์ให้แก่สำนักได้
กั้วหนานซานไม่สบายใจ อยากจะพูดอะไรบางอย่าง
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “แหวกทะเลเมื่อไร ก็ออกไปจากสำนักได้เมื่อนั้น”
กั้วหนานซานหมดคำพูด ในใจคิดว่าในกฎสำนักมีกฎแบบนี้ที่ไหนกัน
รูปแบบการทำงานของยอดเขาเหลี่ยงว่างในเวลานี้มีจุดกำเนิดมาจากนักพรตไท่ผิง ก่อนจะเฉิดฉายอย่างยิ่งใหญ่เมื่ออยู่ในมือนักพรตหลิ่วฉือ
ในวันที่จิ๋งจิ่วรับตำแหน่งเจ้าสำนัก เขาเคยบอกว่าทุกอย่างให้ทำเหมือนเดิม เช่นนั้นทำไมถึงเปลี่ยนกฎของยอดเขาเหลี่ยงว่าง?
“ข้าคิดว่า….ท่านมีอคติต่อยอดเขาเหลี่ยงว่าง”
กั้วนานซานมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างจริงจัง
“ข้าไม่ชอบยอดเขาเหลี่ยงว่าง แต่นี่มิใช่อคติ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าบอกข้าหน่อยว่าในช่วงเวลาสามสิบปีนี้ ยอดเขาเหลี่ยงว่างมีลูกศิษย์ตายไปกี่คน?”
กั้วหนานซานไม่แม้แต่จะคิด เขากล่าวออกมาว่า “มีศิษย์น้องสิบสี่คนที่คืนกระบี่แก่ชิงซานขอรับ”
ลูกศิษย์สิบสี่คนนี้ตายอยู่บนที่ราบหิมะ ตายอยู่บนทะเลตะวันตก ตายไปในศึกขจัดมารกำจัดความชั่วนับครั้งไม่ถ้วน
“ก่อนที่ข้ากับเจ้าล่าเยวี่ยจะเข้ามา ศิษย์หนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์มากที่สุด มีศักยภาพมากที่สุดล้วนแต่ไปอยู่ยอดเขาเหลี่ยงว่าง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “พวกเขาน่าจะเดินไปได้ไกลกว่านั้น ต่อให้ต้องตายก็ควรจะตายไปในระหว่างที่บรรลุสภาวะ หรือตายอยู่ภายใต้ทัณฑ์สวรรค์”
กั้วหนานซานไม่เข้าใจ กล่าวว่า “พวกเราเป็นผู้ฝึกกระบี่ หากไม่ผ่านเดินผ่านความเป็นความตาย แล้วจะก้าวไปถึงธรรมวิถีได้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ให้เด็กในครอบครัวที่มีเงินไปแบกกระสอบทรายเพื่อหาเงิน นี่มิใช่การเลี้ยงดูให้พวกเขามีความอดทน หากแต่เป็นการกระทำที่โง่เขลา”
กั้วหนานซานเข้าใจความหมายของเขา แต่กลับไม่สามารถยอมรับได้ —- อย่าว่าแต่ขั้นคเนจรเลย ต่อให้เป็นลูกศิษย์ชิงซานขั้นมิประจักษ์ เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ก็ถูกมองเป็นเหมือนกับเซีย ยนอย่างไรอย่างนั้น แต่จากคำพูดของจิ๋งจิ่ว ลูกศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างที่มีสภาวะเช่นนี้นั้นมิได้ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่ไม่มีความสามารถจะปกป้องตัวเองได้เลย?
เขากล่าวว่า “ในอดีตท่านเจ้าสำนักกับเจ้าแห่งยอดเขาเจ้าล่าเยวี่ยก็เคยออกไปท่องเที่ยวบนโลก”
จิ๋งจิ่วมองเขา
กู้ชิงรู้ว่าอาจารย์อยากจะพูดอะไร — เจ้าเทียบกับข้าได้หรือ?
เขาย่อมไม่ได้พูดออกมา
จิ๋งจิ่วพบว่าเรื่องที่ยุ่งยากที่สุดหลังจากเป็นเจ้าสำนักนั้นมิใช่การพบคน หากแต่เป็นเรื่องที่เขาจำเป็นต้องพูดมากขึ้น
“จริงอยู่ที่การผ่านความเป็นความตายนั้นสามารถทำให้สภาวะยกระดับได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็อาจจะทำให้ตายได้ ถ้าตายแล้วจะบรรลุสภาวะได้อย่างไร? มีชีวิตอยู่ต่างหากถึงจะมีหวัง และเ เมื่อสภาวะของพวกเจ้ายิ่งสูง ชิงซานก็จะยิ่งแข็งแกร่ง หลักเหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ ข้าไม่อยากจะพูดเป็นครั้งที่สอง”
กั้วหนานซานรู้สึกค่อนข้างเหลวไหล ในใจคิดว่าสิ่งที่ชิงซานฝึกนั้นมิใช่การตัดความรู้สึกเสียหน่อย หรือว่าพวกเขาไม่ต้องทำอะไรเลย?
“ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา จำนวนปีศาจและคนในวิถีมารที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างสังหารไปยังไม่เท่าจำนวนคนที่อาจารย์ของเจ้าสังหารไปในคืนเดียวด้วยซ้ำ”
สุดท้ายจิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าลองไปคิดถึงหลักเหตุผลนี้ดู”
……
……
กั้วหนานซานยังคงคิดไม่เข้าใจ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวอย่างที่เจ้าสำนักยกขึ้นมา เขาก็ไม่มีอะไรที่จะพูดอีก
เขากลับไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่าง เรียกรวมศิษย์น้องอย่างโหยวซือลั่วและกู้หานมา จากนั้นเล่าเรื่องราวให้พวกเขาฟังรอบหนึ่ง เหล่าศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างที่หยิ่งทะนงและมีความกล้าห หาญเหล่านี้ย่อมต้องไม่ยอมรับคำพูดของจิ๋งจิ่ว รู้สึกว่าเจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้ทำอะไรเหลวไหล คำพูดคำจาระหว่างที่พูดถึงเขาก็ไม่ค่อยมีความเคารพเท่าไร จนกระทั่งกั้วหนานซานกล่าวตั กเตือน พวกเขาถึงได้สงบลงบ้าง
“หากทุกคนสามารถเป็นเหมือนอย่างอาจารย์ได้ บนโลกนี้ก็คงไม่มีขโมยกล้าโผล่หน้าออกมาแล้ว แต่ปัญหาก็คือบนโลกจะมีคนอย่างอาจารย์อยู่สักกี่คน?”
กู้หานกล่าวอย่างโมโหว่า “บรรลุขั้นแหวกทะเลแล้วถึงจะออกไปจากสำนักได้? ในทุกๆ วันผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลในยอดเขาทั้งเก้าล้วนแต่เก็บตัวบำเพ็ญเพียร นอกเสียจากสำนักจะมีเรื่อง งใหญ่ พวกเขาถึงจะออกหน้า แล้วพวกเขาจะยอมออกไปจากสำนักเพื่อเรื่องเล็กน้อยในสายตาพวกเขาเหล่านี้ได้อย่างไร? หากยอดเขาเหลี่ยงว่างของพวกเราก็ทำเช่นนี้ด้วย อย่างนั้นใครจะออกไปกำจ จัดพวกมารชั่ว? ใครจะปกป้องคนธรรมดาเหล่านั้น?”
คำสั่งห้ามยอดเขาเหลี่ยงว่างออกไปจากสำนักของเจ้าสำนักคนใหม่แพร่กระจายไปในชิงซานอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความรู้สึกไม่พอใจเป็นจำนวนมาก ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ ยอดเขาเหลี่ยงว่างถูกมองว่าเป็นกระบี่ที่คมที่สุดของสำนักชิงซาน เหล่าศิษย์หนุ่มสาวภายในยอดเขาก็เป็นภาพลักษณ์ของสำนักชิงซานในโลกมนุษย์ แสดงให้เห็นถึงเกียรติยศและความยิ่งใหญ่ ของสำนักชิงซาน แต่ตอนนี้พวกเขาถูกห้ามออกไปจากสำนัก แล้วนี่จะทำอย่างไร?
……
……
จิ๋งจิ่วไม่ชอบยอดเขาเหลี่ยงว่างมาโดยตลอด
ความจริงแล้วสิ่งที่เขาไม่ชอบไม่ใช่เหล่าลูกศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง หากแต่เป็นกลิ่นอายและการมีอยู่ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง
อาจารย์ขั้นแหวกทะเลและขั้นทะลวงสวรรค์ต่างเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำของตัวเอง แต่กลับให้คนหนุ่มสาวที่มีสภาวะแค่ขั้นมิประจักษ์หรือคเนจรออกไปหาประสบการณ์บนโลก ไปเผชิญหน้ากั บความเป็นความตาย มันช่างเป็นวิธีที่ไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย ความจริงหากคิดดูดีๆ ก็จะพบว่าในวิธีการแบบนี้มันมีความเห็นแก่ตัวอย่างมากแอบซ่อนอยู่
หากพวกเจ้าคิดว่าเรื่องราวบนโลกมนุษย์มันไม่มีค่าให้พวกเจ้าต้องเสียแรงและเสียเวลา อย่างนั้นทำไมถึงให้เด็กๆ เหล่านี้ไปทำ?
แล้วก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเขาไม่ชอบความวุ่นวาย
ฉือเยี่ยน จากนั้นก็เป็นกั้วหนานซาน ต่อไปก็ยังจะมีคนอื่นอีก
พวกลิงที่อยู่ด้านล่างหน้าผาส่งเสียงร้องไม่หยุด วุ่นวายเป็นอย่างมาก
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูใบหน้าที่งดงามและเศร้าสร้อยของเขา พลางกล่าวอย่างเห็นใจว่า “คลายข่ายพลังปิดกั้นดีกว่าไหม”
ข่ายพลังปิดกั้นของยอดเขาเสินม่อมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก นอกจากยอดคนอย่างหยวนฉีจิงที่สามารถมองข้ามข่ายพลังปิดกั้นนี้แล้ว คนอื่นๆ หากต้องการพบเจ้าสำนักคนใหม่ก็ล้วนแต่ต้อง งบินลงไปด้านล่างเขา จากนั้นค่อยเดินขึ้นมา แล้วค่อยถูกกู้ชิงเชิญไปรออยู่ที่กระท่อมไม้หลังเล็กหลังนั้น หากคลายข่ายพลังปิดกั้น คนอื่นๆ ในชิงซานก็จะสามารถบินไปยังยอดเขาได้เล ลย ไม่จำเป็นต้องให้วานรพวกนั้นร้องตะโกนอีก
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่านั่นมันน่ารำคาญกว่าพวกลิงเสียอีก จึงโบกมือเพื่อบอกว่าไม่ต้อง ตัดสินใจที่จะทนไปแบบนี้
เขาเดินออกไปจากถ้ำ มายังริมผา หันหน้ามองไปทางยอดเขาชิงหรง
เก้าอี้ไม้ไผ่ตัวใหม่ตัวนั้นไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว
เดิมเขาคิดว่าหลังจากหยวนฉีจิงมา หนานว่างก็จะมา คิดไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้นางจะยังไม่ปรากฏตัว
ทำได้ไม่เลว
เขามองไปทางแมวขาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเจ้าล่าเยวี่ย พลางกล่าวชมเชยอยู่ในใจ
อาต้าส่งเสียงร้องเมี้ยวพลางยืดตัวขึ้นมาอย่างภูมิใจ จากนั้นไซร้ไปบนใบหน้าของเจ้าล่าเยวี่ย
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าจะไปยอดเขาซั่งเต๋อหน่อย”
อาต้าส่งเสียงร้องออกมา ก่อนจะเอาหน้ามุดกลับเข้าไป ไม่อยากสนใจเขา
เจ้าล่าเยวี่นรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ ในใจคิดว่าไหนท่านบอกว่าไม่สนใจเรื่องของเจี่ยนหรูอวิ๋นไม่ใช่หรือ?