มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 12 คนใหม่และเรื่องเก่าล้วนลืมไปหมดแล้ว (2)
คำว่าความหนาวเย็นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลินั้นเหมาะสมที่จะใช้นิยามยอดเขาซั่งเต๋อในเวลานี้มากที่สุด
หมู่สนสีเขียวบนยอดเขาดูคล้ายมหาสมุทร หิมะค่อยๆ ละลาย แต่อากาศกลับยังหนาวเย็น
ภายในถ้ำที่มีน้ำแค้งแข็งเกาะอยู่ตลอดทั้งปีถูกลำแสงกระบี่ของกระบี่คมจักรวาลส่องสว่างจนยิ่งรู้สึกหนาวเย็นมากกว่าเดิม
หยวนฉีจิงยืนอยู่ริมบ่อน้ำ มองมาทางเขาพลางกล่าวว่า “ยอดเขาเหลี่ยงว่างเป็นผลงานที่หลิ่วฉือภูมิใจ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เขามิใช่ทำมันเพราะเห็นแก่ตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะคิดเช่นนี้ด้วย”
หยวนฉีจิงกล่าวว่า “ข้าเข้าใจความหมายของท่าน แต่ไม่ใช่ว่าผู้บำเพ็ญพรตทุกคนจะเป็นเหมือนอย่างท่าน”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ผู้บำเพ็ญพรตควรจะเป็นเหมือนอย่างข้า”
หยวนฉีจิงครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “ท่านพูดถูก”
มิใช่ว่าไม่อยากทำ เพียงแต่ทำไม่ได้
ถึงแม้ความสามารถจะก้าวไปไม่ถึง แต่ใจยังคงปรารถนา
อย่างน้อยเขาและหลิ่วฉือเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน
จิ๋งจิ่วพลันกล่าวถามขึ้นมาว่า “เจ้าสำนักจะออกไปจากสำนักค่อนข้างยุ่งยากใช่หรือเปล่า? ต้องรายงานใคร? เจ้าหรือ?”
หยวนฉีจิงกล่าวว่า “เจ้าสำนักใหญ่ที่สุด ท่านอยากไปก็ไป”
จิ๋งจิ่วไม่ค่อยเข้าใจ กล่าวว่า “หลิ่วฉือไม่ค่อยได้ออกไปไม่ใช่หรือ?”
หยวนฉีจิงกล่าวว่า “เขาเอาอย่างท่าน”
จิ๋งจิ่วคิดถึงภาพตอนที่ตัวเองบอกลาครอบครัวตระกูลจิ๋ง ครอบครัวกั๋วกงและฮ่องเต้ในเมืองเจาเกอ จากนั้นนิ่งเงียบไปครู่
……
……
เขาลอยตามแสงอาทิตย์ลงไปยังด้านล่างบ่อน้ำอันมืดมิด
ซือโก่วลืมตาขึ้นมา ก้มศีรษะคารวะให้เขาเล็กน้อย
จิ๋งจิ่วคารวะกลับไป ก่อนจะเดินเข้าไปในส่วนลึกของคุกกระบี่
ห้องขังของไป๋หรูจิ้งและเจี่ยนหรูอวิ๋นอยู่ห่างกันไม่ไกล อยู่ค่อนข้างใกล้กับโถง สภาพแวดล้อมถือว่าไม่เลว
ห้องขังทั้งสองห้องล้วนแต่เงียบสงบ คนหนุ่มที่โกรธเกรี้ยวอาจจะตะโกนด่าอยู่หลายวันหลายคืน แต่สุดท้ายก็ต้องหมดแรงไป ส่วนไป๋หรูจิ้งไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่
เขาย่อมไม่ได้มาหาเจี่ยนหรูอวิ๋นและไป๋หรูจิ้ง
เมื่อมาถึงโถงใหญ่ เขามองไปทางอุโมงค์ทางด้านขวามือที่เต็มไปด้วยเจตน์กระบี่ สายตามองไปยังประตูหินของห้องขังที่ปิดแน่นบานนั้น
เสวี่ยจีที่อยู่ในห้องขังรับรู้ได้ถึงการมาของเขา จึงหมุนตัวมองมาทางประตูหินของห้องขัง
สายตาของทั้งสองประสานกันโดยมีประตูหินและเจตน์กระบี่อันหนาทึบขวางกั้น จากนั้นนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
ถึงเวลาหลาย
จิ๋งจิ่วกล่าวประโยคหนึ่งก่อนจากไป
“ข้ามีเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวใหม่ จะแลกไหม?”
เสวี่ยจีส่งเสียงอิ๋งอิ๋งเป็นการปฏิเสธ
……
……
เมื่อเดินตามอุโมงค์ในคุกกระบี่ไปจนถึงปลายทาง ผลักประตูหินออกไป เดินผ่านม่านหมอก ก็จะมาถึงยอดเขาซ่อนเร้น
เขาเรียกกระบี่คมจักรวาลออกมา ก่อนจะนั่งขึ้นไปบนกระบี่แล้วบินทะยานออกไป ไม่นานก็มาถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง
ด้านหลังของยอดเขาแห่งนี้มืดมิดเป็นอย่างมาก ท่ามกลางหมู่เถาวัลย์สีเขียวมีถ้ำแห่งหนึ่งแอบซ่อนอยู่ อัญมณีที่อยู่ตรงหน้าประตูถ้ำส่องแสงสีแดง
ฟางจิ่งเทียนอยู่ในถ้ำแห่งนี้
เขาคือเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลที่บรรลุสภาวะขั้นแหวกทะเลระดับสูงสุด เดิมมีสิทธิ์ที่จะแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก เพียงแต่เมื่อสามปีก่อนถูกหยวนฉีจิงบีบบังคับให้มาเก็บตัวอยู่ในยอดเขาซ่อนเร้น ตัดขาดจากโลกภายนอก กำลังพยายามอย่างเต็มที่บรรลุสู่ขั้นทะลวงสวรรค์
จิ๋งจิ่วเข้าใจเจตนาของหยวนฉีจิง นี่เป็นการลงโทษที่ฟางจิ่งเทียนร่วมมือกับนักพรตไท่ผิง ถ้าหากฟางจิ่งเทียนไม่สามารถบรรลุสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ได้ เขาก็ได้แต่ต้องแก่ตายอยู่ในถ้ำแห่งนี้ สุดท้ายก็จะกลายเป็นซากศพที่อยู่ในภูเขาที่อยู่ห่างไกลลูกนั้น
แต่นี่ก็ถือบททดสอบของฟางจิ่งเทียนเช่นเดียวกัน หรือเรียกได้ว่าเป็นการปลุกเร้า
ถ้าหากเขาสามารถบรรลุสภาวะ กลายเป็นยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ได้ เขาก็จะสามารถออกมาจากยอดเขาซ่อนเร้นได้
ในอีกแง่หนึ่งแล้ว นี่มิได้ต่างอะไรกับการที่ให้ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างออกไปกำจัดมารขจัดความชั่วบนโลกและรับบททดสอบแห่งความเป็นความตายเลย
จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่าฟางจิ่งเทียนจะทำสำเร็จหรือไม่ เขารู้เพียงแต่ว่าในวันที่อีกฝ่ายเดินออกมาจากยอดเขาซ่อนเร้น วันนั้นจะเป็นวันที่ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับความยุ่งยาก
ครั้งนี้เขาไม่ได้จากไปในทันที หากแต่นั่งขัดสมาธิลง หยิบเอาจานกระเบื้องที่ไม่ได้เห็นมาเป็นเวลานานใบนั้นออกมา จากนั้นเริ่มกองทราย
การกองทรายคือเกม เป็นเครื่องมือที่ทำให้ใจสงบ จะเข้าใจว่าเป็นแท่งไม้ที่ใช้สำหรับคำนวณอย่างหนึ่งก็ได้
ฟางจิ่งเทียนที่อยู่ภายในถ้ำมิใช่เสวี่ยจี จึงไม่สามารถรับรู้ถึงการมาของจิ๋งจิ่วได้
แสงอาทิตย์เคลื่อนคล้อย ส่องสว่างเทือกเขาที่ทอดยาวไม่ขาดสายให้กลายเป็นรูปร่างต่างๆ สีสันเข้มอ่อนสลับไปมา
ในตอนที่ท้องฟ้ายามเย็นมาถึง จิ๋งจิ่วคาดการณ์เสร็จสิ้น เขาเก็บจานทราย หมุนตัวเดินจากไป
ผลลัพธ์ที่เขาคำนวณออกมามิใช่ว่าดีมาก แล้วก็มิใช่ว่าดีมาก
นี่มิได้หมายความว่านั่นเป็นผลลัพธ์ที่คลุมเครือหรือว่าไม่มีทิศทางที่ชัดเจน หากแต่มีความหมายที่มากกว่านั้น
เขาคิดว่าผลลัพธ์แบบนั้นคือสิ่งที่ตนเองสามารถยอมรับได้
……
……
จิ๋งจิ่วไปยังถ้ำของถงเหยียนที่ปิดสนิท มองดูอัญมณีสีเขียวที่อยู่ริมประตู ก่อนจะผลักประตูเข้าไป
ถงเหยียนกำลังทำสมาธิ ควันเบาบางจับตัวเป็นรูปต้นไม้อยู่เหนือศีรษะของเขา
ต้นไม้แห่งเต๋าปรากฏสู่ภายนอก นี่แสดงให้เห็นว่าสภาวะของเขามีความก้าวหน้า ดูแล้วคงจะอยู่ในขั้นจิตทารกระดับสูงสุด แต่ยังห่างจากขั้นแปรจิตอยู่อีกหน่อย
ถงเหยียนลืมตา มองดูเขาพลางกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างมาก”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเพียรหรือว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่น ขนคิ้วของเขาจึงยิ่งดูจางลง เมื่อรวมกับใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ ในตอนที่เขาทำสีหน้าจริงจังกลับยิ่งดูน่ารัก
การรบกวนผู้บำเพ็ญพรตในขณะที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการบำเพ็ญเพียรนั้นเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ หรือเรียกได้ว่าน่าโมโหเป็นอย่างมาก
จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจเขา หากแต่ยื่นมือกดลงไปยังตำแหน่งหนึ่งบนโต๊ะหิน อัญมณีที่อยู่ด้านนอกถ้ำเม็ดนั้นกลายเป็นสีแดง
จากนั้นเขากล่าวว่า “ซูจึเย่ปลอมเป็นหวังเสี่ยวหมิง คิดอยากจะตั้งสำนักเสวียนอินขึ้นมาอีกครั้ง กู้ชิงไม่ถนัดทำเรื่องแบบนี้ เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ซูจึเย่ไม่ใช่เพื่อนข้า แต่เขาเป็นเพื่อนของเหอจาน ก็ถือเป็นพันธมิตรของข้า”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าไม่สนิทกับเหอจาน แต่เขาเป็นพันธมิตรของสำนักจงโจว และตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์ชิงซาน”
ถงเหยียนจ้องมองดวงตาเขา “ศิษย์ชิงซานยังมีหน้าที่แบบนี้ด้วยหรือ?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
“จนถึงตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นศิษย์ยอดเขาไหน แต่ดูแล้วน่าจะไม่ใช่ยอดเขาเสินม่อ”
ถงเหยียนยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่มีทางเข้ายอดเขาเสินม่อ นี่มิถือเป็นการผิดข้อตกลงของเรา ดังนั้นเจ้ามิอาจสั่งข้าได้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าเป็นศิษย์ยอดเขาไหนไม่สำคัญ เพราะตอนนี้ข้าเป็นเจ้าสำนัก”
ถงเหยียนประหลาดใจ แล้วก็ตกใจอย่างมาก เขาใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะได้สติกลับมา
จิ๋งจิ่วมองดูดวงตาของเขา ฟังเสียงหัวใจและการไหลเวียนของโลหิตของเขา รับรู้ถึงลมหายใจของเขา ก่อนมั่นใจว่านี่เป็นการตอบสนองจริงๆ
นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกจริงๆ ชิงเอ๋อร์ไม่ได้มาหาเขาที่ยอดเขาซ่อนเร้น
ถงเหยียนใช้พลังเต๋าทำให้น้ำในอากาศจับตัวกันแก้วหนึ่ง ก่อนจะใช้สองมือประคองส่งให้จิ๋งจิ่ว “เจ้าสำนักเชิญดื่มชา”
จิ๋งจิ่วรับเอามา
ถงเหยียนกล่าวว่า “ซูจึเย่ไม่มีทางทำให้ท่านสนใจขนาดนี้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เบื้องหลังเขาคือเสวียนอินจึ”
ถงเหยียนเข้าใจความหมายของเขา
เบื้องหลังเสวียนอินจึคือนักพรตไท่ผิง
“นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หลิ่วฉือจากไปแล้ว สำนักจงโจวน่าจะทำอะไรบางอย่าง เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าใคร”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าเขียนแผนการมาหน่อย ดูว่าจะรับมือพวกเขาอย่างไร”
ถงเหยียนมองเขาอย่างเงียบๆ
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “อยากกลับไป?”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ไม่อยาก”
จากนั้นเขาหยิบเอากระดานหมากล้อมออกมา ก่อนจะวางหมากลงไปบนนั้นหลายสิบเม็ด
………………………………………………….