มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 13 ชิงซานสามร้อยวัน โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
ถงเหยียนมิได้กำลังวางหมากโบราณที่มีชื่อเสียง แล้วก็มิได้คิดอยากจะประลองกับจิ๋งจิ่ว
ฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขาย่อมต้องดีเป็นอย่างมาก แต่จิ๋งจิ่วดีกว่า จึงสามารถเข้าใจความหมายของเขา
หมากดำเคลื่อนตัวจากในสู่นอก ดูคล้ายมังกรตัวใหญ่ ส่วนหมากขาวเหล่านั้นดูสะเปะสะปะ กระจายตัวไปทางมุมหนึ่ง ดูเหมือนไม่อาจกันหมากดำเอาไว้ได้ แต่หากสถานการณ์ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ บางทีมันอาจจะสามารถกลืนกินมังกรตัวนั้นลงไปก็เป็นได้
สำนักจงโจวคือหมากดำ สำนักชิงซานคือหมากขาว
เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ สำนักจงโจวไม่มีทางที่จะแตกหักกับสำนักชิงซานตรงๆ หากแต่จะพยายามเดินคืบไปยังมุมหนึ่ง
นี่เรียกได้ว่าเป็นการหยั่งเชิงชิงซาน หรือจะเข้าใจว่าเป็นการกัดกินกองกำลังที่อยู่ในการปกครองของชิงซานก็ได้
การแลกเปลี่ยนระหว่างเหล่าไท่จวินของสำนักเสวียนหลิงและเขาอวิ๋นเมิ่งเป็นแค่เพียงการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ การเคลื่อนไหวภายในเมืองอี้โจวของซูจึเย่ต่างหากที่เป็นการวางหมากอย่างแ แท้จริง
อี้โจวอยู่ห่างจากไห่โจวไม่ไกล ข้ามเขาหิมะซีหลิงไปก็สามารถมองเห็นทะเลตะวันตกได้แล้ว
ทะเลตะวันตกถูกสำนักชิงซานยึดมาอยู่ในเขตอิทธิพลได้แค่เพียงสามปี รากฐานยังไม่มั่นคง จึงเกิดเรื่องได้ง่าย
“หมากขาวเดินทีหลัง เกรงว่าคงรับมือได้ยากลำบาก” จิ๋งจิ่วกล่าว
ถงเหยียนเคาะกระดานหมากล้อมเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “รอให้อีกฝ่ายเดินไปสักระยะหนึ่ง จากนั้นค่อยกิน มันก็จะคุ้มค่ากับการรอคอยอย่างอดทนของท่านแล้ว”
การเล่นหมากล้อมของจิ๋งจิ่วคือการคิดคำนวณ แต่ถ้าพูดถึงสถานการณ์โดยรวมบนกระดานแล้วกลับไม่อาจเทียบถงเหยียนได้
แต่แน่นอนว่าอาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่จำเป็นคิดถึงเรื่องเหล่านี้
“ทางซูจึเย่ ข้าเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้ท่านฟังได้”
สุดท้ายถงเหยียนกล่าวว่า “ถือว่าเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้ท่าน แต่ภายในสิบปีหลังจากนี้ ขอท่านอย่าได้มารบกวนข้าอีก”
……
……
เมื่อกลับมาถึงยอดเขาเสินม่อ จิ๋งจิ่วมิได้เล่าเรื่องบนกระดานหมากล้อม หากแต่เล่าเรื่องราวที่ถงเหยียนเล่าให้ฟังเรื่องนั้นออกมา
เจ้าล่าเยวี่ยไม่ชอบเรื่องราวนี้ นางกล่าวว่า “ยุ่งยากกว่าการฆ่าลั่วไหวหนานอีก”
หยวนฉวี่กล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นรู้สึกว่าน่าเบื่อ ไม่เหมือนเรื่องที่ถงเหยียนคิดออกมาเลย”
กู้ชิงส่ายศีรษะ กล่าวว่า “เขาคิดมากไป
จิ๋งจิ่วรู้ว่ากู้ชิงเข้าใจจริงๆ จึงกล่าวว่า “มุมมองไม่สูงไม่พอ รายละเอียดมากไป เรื่องราวจึงดูค่อนข้างเยิ่นเย้อ”
ในตอนที่เจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยสังหารลั่วไหวหนาน พวกเขาจำเป็นต้องปิดบังตัวตน ดังนั้นถงเหยียนจึงต้องคิดแผนการที่สมบูรณ์แบบออกมา แต่ตอนนี้จิ๋งจิ่วเป็นเจ้าสำนักชิงซาน คนท ที่เขาต้องการจัดการก็คือศิษย์ที่หลงเหลือของสำนักเสวียนอิน จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องสนใจเรื่องเหล่านี้
ผิงหย่งเจียฟังไม่เข้าใจว่าทุกคนกำลังพูดอะไรกัน เขาถามไปกว่า “ใครจะไปอี้โจว?”
นี่ต่างหากถึงจะเป็นปัญหาที่แท้จริง
หากศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างคิดจะบรรลุขั้นแหวกทะเล ต่อให้เป็นกั้วหนานซานที่มีสภาวะสูงที่สุด อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกสิบกว่าปี
หากให้ผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลไปอี้โจวจริงๆ พวกเขาก็กังวลว่าจะทำให้เกิดการตอบโต้อย่างแข็งกร้าวจากทางสำนักจงโจว
……
……
เพียงพริบตาก็เข้าสู่ฤดูร้อน
สำนักชิงซานเงียบสงบ
ลูกศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างไม่ได้ออกไปกำจัดความชั่วอีก ริมสองฝั่งของแม่น้ำจั๋วแทบจะไม่เห็นลำแสงกระบี่
หลายคนคิดว่านี่เป็นผลกระทบที่เกิดจากการที่นักพรตหลิ่วฉือจากโลกนี้ไป
ยอดเขาเสินม่อเองก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเมื่อก่อนนี้นัก ยกเว้นก็แต่เหล่าวานรที่ส่งเสียงร้องขึ้นมาเป็นระยะๆ
หลังเที่ยงวันหนึ่ง ข่ายพลังชิงซานเปิดช่องขึ้นมาช่องหนึ่ง เผยให้เห็นฟ้าดินที่แท้จริงของโลกภายนอก
ก้อนเมฆหนาทึบที่อยู่บนท้องฟ้าปั่นป่วน มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ภายใน คล้ายพร้อมจะฟาดลงมาทุกเมื่อ
จิ๋งจิ่วเดินออกมาจากถ้ำ อุ้มอาต้ากลับไปยังยอดเขาปี้หู เหยียบไปบนผิวทะเลสาบ มาถึงในตำหนักแห่งนั้น
แมวป่าหลายร้อยตัวได้กลิ่นของอาต้า ต่างแห่กันมายืนอออยู่บนบันไดและหน้าต่าง มองเข้าไปในตำหนัก ดูแล้วน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ข่ายพลังก้อนอิฐค่อยๆ เคลื่อนตัว เผยให้เห็นชั้นหินและแท่นหินที่อยู่ตรงกลาง
อาต้ากระโดดไปมาในตำหนักอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า หลังตรวจดูจนมั่นใจว่ายาและวัตถุดิบล้ำค่าที่ใช้สายฟ้าในการเลี้ยงดูต่างอยู่ครบ มันจึงรู้สึกวางใจ
ไม้วิญญาณอัศนีทั้งห้าท่อนวางอยู่ในที่ที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด มันนับเสร็จตั้งแต่แรกแล้ว
จิ๋งจิ่วเดินเข้าไป กำไม้วิญญาณอัศนีแท่งที่ยังไม่สมบูรณ์เอาไว้ในมือ เงยหน้ามองดูเมฆดำที่อยู่บนท้องฟ้า
อาต้าส่งเสียงร้องเมี้ยวออกมาเพื่อเตือนเขาว่าให้ถอดเสื้อผ้าออกก่อน
ชุดสีขาวที่อยู่บนยอดเขาเสินม่อมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่ชุดแล้ว หากจะรอให้กั้วตงตื่นขึ้นมาทำชุดใหม่ให้ ใครจะไปรู้บ้างว่าต้องรออีกกี่ปี
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าเป็นจริงดั่งว่า จึงถอดชุดสีขาวโยนไปไว้อีกด้านหนึ่ง
เสียงครืนดังกัมปนาท
ฟ้าคำรามดังก้อง
สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนกระหน่ำฟาดลงมา
ลำแสงกระบี่หลายสิบสายปรากฏขึ้นลางๆ ท่ามกลางสายฟ้า
นั่นคือลูกศิษย์ที่อยู่ในขั้นมิประจักษ์และขั้นคเนจรกำลังใช้สายฟ้าชำระล้างกระบี่บิน
สายฟ้าฟาดลงมาในตำหนัก สว่างเจิดจ้าจนมองไม่เห็นร่างของจิ๋งจิ่ว
แมวป่าเหล่านั้นกระโดดหนีหายไป
อาต้ามุดออกมาจากในชุดสีขาว มองดูภาพนี้พลางอุทานชื่นชมขึ้นมาในใจ
นี่เรียกว่าสวรรค์ลงทัณฑ์หรือเปล่า?
……
……
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร สายฟ้าหยุดลง แต่ฝนกลับยังตกอยู่
บนร่างกายของจิ๋งจิ่วมีประกายสายฟ้าสีน้ำเงินแลบแปลบๆ วนอยู่รอบตัว สายฝนตกลงมาบนร่างกายของเขา ส่งเสียงดังซู่วๆ ขึ้นมาทันที เพียงพริบตาก็กลายเป็นไอน้ำ ปกคลุมเขาเอาไว้ด้านใน ทำให้ยิ่งดูคล้ายเซียน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลังคาตำหนักก็ปิดลงอีกครั้ง น้ำฝนถูกกันเอาไว้ด้านนอก
ไอน้ำสีขาวค่อยๆ สลายหายไป สายฟ้าสีน้ำเงินเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไปในผิวหนังของเขา
อาต้าคาบเอาชุดสีขาวมาตรงหน้าเขา
จิ๋งจิ่วสวมเสื้อผ้า เอาไม้วิญญาณอัศนีที่ยังไม่สมบูรณ์แท่งนั้นวางกลับไปไว้ที่เดิม ก่อนจะเดินออกไปด้านนอกตำหนัก
เสียงเปรี๊ยะเบาๆ ดังขึ้น ใต้เท้าของเขามีประกายไฟเล็บออกมา บนพื้นมีรอยเท้าที่ยุบตัวลงไปและมีกลิ่นไหม้ฟุ้งกระจายปรากฏขึ้นมารอยหนึ่ง
เมื่อเห็นภาพนี้ อาต้าจึงส่ายศีรษะ ในใจคิดว่าต่อให้เป็นเจ้าก็ไม่สามารถดูบซับพลังของสายฟ้าเอาไว้ได้อย่างไม่จำกัด ต่อไปในตอนที่บรรลุขั้นทะลวงสวรรค์จะต้องยุ่งยากอย่างมากแน น่นอน
……
……
เพียงพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งปี
ในตอนที่ต้นฤดูใบไม้ผลิมาเยือน กั้วหนานซานก็มายอดเขาเสินม่ออีกครั้ง เขาถูกกู้ชิงเชิญไปในกระท่อมไม้หลังเล็กหลังนั้น จากนั้นเริ่มดื่มชา
เวลานี้ทั่วทั้งชิงซานต่างทราบว่าหากอยากจะพบเจ้าสำนัก อันดับแรกคือต้องผ่านกู้ชิงไปก่อน แล้วก็ต้องดื่มชาของเขาถ้วยหนึ่ง
กั้วหนานซานจำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นการมาครั้งที่เท่าไร ดื่มชาไปแล้วกี่ถ้วย สิ่งเดียวที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนนี้ก็คือครั้งนี้จัวหรูซุ่ยตามเขามาด้วย
เขาวางถ้วยชาในมือลง ก่อนกล่าวถามว่า “เจ้าสำนักยังเก็บตัวอยู่?”
กู้ชิงกล่าว “ถูกต้อง”
กั้วหนานซานกล่าวว่า “ท่านจะออกมาเมื่อไรกันแน่ ได้บอกเอาไว้หรือไม่?”
กู้ชิงกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่รู้จริงๆ”
กั้วหนานซานค่อนข้างผิดหวัง
ผู้บำเพ็ญพรตเก็บตัวนั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นการเก็บตัวครั้งหนึ่งยังกินเวลาหลายปีด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็อดมองไปทางจัวหรูซุ่ยไม่ได้
ปัญหาก็คือเรื่องนี้มันด่วนมากจริงๆ หากล่าไปอีกหนึ่งปี ใครจะรู้บ้างว่าสถานการณ์ทางอี้โจวจะเป็นอย่างไร
หากเป็นเมื่อก่อน หรือว่าตอนที่อาจารย์หลิ่วฉือยังเป็นเจ้าสำนัก เขาคงจะส่งคนไปที่อี้โจวโดยที่ไม่ต้องคิดเลย แต่ตอนนี้…..
จัวหรูซุ่ยไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ คล้ายรู้สึกค่อนข้างเบื่อหน่าย เขาลุกขึ้นยืนพลางกล่าวว่า “ข้าไปเดินเล่นข้างนอกหน่อย”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็หาวออกมาทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไปจากกระท่อมไม้
กู้ชิงมองดูแผ่นหลังของเขา ในใจครุ่นคิดว่าหรือเมล็ดพันธุ์แห่งเต่าแต่กำเนิดจะฉลาดมาแต่กำเนิดด้วย?
“ข้าไม่สนว่าคนที่อยู่ที่เมืองอี้โจวจะเป็นหวังเสี่ยวหมิงหรือว่าเป็นซูจึเย่อย่างที่เจ้าสำนักบอกเอาไว้ แต่ความเคลื่อนไหวทางด้านนั้นมันใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์ดูคล้ายจะยิ งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”
กั้วหนานซานกล่าวอย่างจริงจังว่า “ต่อให้ไม่คิดจะจัดการ แต่อย่างน้อยเราก็ต้องส่งคนไปดู ไม่อย่างนั้นหากสำนักจงโจวคิดจะยื่นมือเข้ามาในดินแดนทางใต้จริงๆ จะทำอย่างไร?”
สีหน้าของกู้ชิงเองก็จริงจังเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ข้ายังห่างจากแหวกทะเลอีกไกล”
คำพูดนี้มีความหมายชัดเจน ไม่ว่าจะส่งใครไปที่เมืองอี้โจว เขาก็ไม่สามารถออกไปได้
หากศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างยังไม่แหวกทะเลก็ออกไปไม่ได้เช่นกัน
เพราะนี่คือคำสั่งของเจ้าสำนัก
“กลุ่มการค้าภายในเมืองอี้โจวของตระกูลกู้พบเบาะแสบางอย่าง กู้หานคิดว่าถ้าให้เขาไปจะค่อนข้างเหมาะ”
กั้วหนานซานมองดวงตาเขาพลางกล่าวว่า “เพียงแค่ดูๆ ไม่ทำอะไร”
กู้ชิงไม่ตอบอะไร เห็นได้ชัดว่าเบาะแสนี้เขารู้อยู่แต่แรกแล้ว
เมื่อสถานะภายในชิงซานของเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในตอนนี้เขาได้กลายเป็นศิษย์คนแรกของเจ้าสำนัก ตระกูลกู้ก็มั่นใจแล้วว่าเขาคือคนที่ทางตระกูลควรให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
ภายในกระท่อมไม้เงียบสงัด ชาดำที่อยู่ในกาเหล็กส่งเสียงฟี้ๆ
กู้ชิงไม่เห็นด้วยกับคำขอของเขา เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะเขาไม่ใช่เจ้าสำนักที่แท้จริง
กั้วหนานซานลุกขึ้นเตรียมจากไป ในขณะที่กำลังจะก้าวเท้าออกไปจากธรณีประตู เขาพลันหยุดลงแล้วกล่าวว่า”ปล่อยพวกเขาไปได้หรือไม่?”
โลกแห่งการบำเพ็ญพรตดูผิวเผินแล้วเงียบสงบ ภายในชิงซานเองก็เงียบสงบ แต่ในโลกมนุษย์กลับเกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมากมาย
ในช่วงเวลาหนึ่งปีมานี้ ตระกูลเจี่ยนที่เมืองหนานเหอและตระกูลหม่าที่เมืองหนานโจวใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมาก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าหรือว่าเรื่องอื่น พวกเขาล้วนแต่พบกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย แต่จุดกำเนิดของอุปสรรคที่ว่านี้ก็คือตระกูลกู้
กู้ชิงเทชาให้ตัวเองพลางกล่าวว่า “เงินที่พวกเขาหามาจากใช้อิทธิพลของชิงซานต้องคายออกมาให้หมด”
กั้วหนานซานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าหม่าหวากับเจี่ยนหรูอวิ๋นล่วงเกินเจ้าสำนัก แต่พวกเขาเป็นศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง เคยทำความดีความชอบให้แก่ชิงซาน เจ้าช่ว วยไปขอความเมตตาจากเจ้าสำนักได้หรือไม่?”
กู้ชิงกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่ความคิดของเจ้าสำนัก”
กั้วหนานซานสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
กู้ชิงกล่าวต่อว่า “นี่เป็นความคิดของอาจารย์อาหญิง”
ฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว คำสั่งเสียของนักพรตหลิ่วฉือปรากฏขึ้นบนยอดเขาเทียนกวง
คนแรกสุดที่ก้าวออกมาคัดค้านไม้ให้จิ๋งจิ่วเป็นเจ้าสำนักก็คือเจี่ยนหรูอวิ๋นกับหม่าหวา
เจ้าล่าเยวี่ยไม่ได้พูดอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่จำเรื่องนี้ โดยเฉพาะคนอ้วนที่ชื่อหม่าหวา นางไม่ชอบเขาอย่างมาก รู้สึกไม่ชอบมาโดยตลอด
หากมิเป็นเพราะกู้ชิงบอกว่าไม่เหมาะ บางทีนางอาจจะลงมือด้วยตัวเองไปนานแล้วก็เป็นได้
กั้วหนานซานคิดไม่ถึงว่านี่จะเป็นความคิดของเจ้าล่าเยวี่ย เขารู้ว่าตระกูลทั้งสองคงจะจบสิ้นแล้ว
กู้ชิงมองดูสีหน้าเขา ก่อนกล่าวปลอบว่า “ข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
กั้วหนานซานส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “หากบ้านล่มจม คนย่อมล้มตาย”
กู้ชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ตอนที่พวกเขาก้าวออกมา พวกเขาก็น่าจะรู้แล้วว่านี่เป็นการเอาตระกูลทั้งตระกูลของตัวเองมาเป็นเดิมพัน ตอนนี้ที่ตระกูลกู้สามารถบดขยี้พวกเขา าและตระกูลอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย นั่นเป็นเพราะว่าตอนนี้ข้าเป็นศิษย์คนแรกของเจ้าสำนัก แต่หากวันนั้นพวกเขาทำสำเร็จล่ะ? ท่านคิดว่าตระกูลกู้ตอนนี้จะเป็นอย่างไร?”
กั้วหนานซานเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไร
กู้ชิงดื่มชาดำในถ้วยจนหมด นั่งอย่างเงียบๆ อยู่เป็นเวลานาน
ลมฤดูใบไม้ผลิด้านนอกหน้าต่างค่อนข้างเย็น
สุดท้ายจัวหรูซุ่ยก็ไม่ได้กลับมา
เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะกลับไปแล้ว จึงลุกขึ้นเดินออกมาจากกระท่อม มุ่งหน้าขึ้นไปบนยอดเขา
เมื่อมาถึงยอดเขา เขาถึงได้พบว่าจัวหรูซุ่ยได้มาอยู่ที่นี่แต่แรกแล้ว จึงอดรู้สึกงุนงงไม่ได้
“ศิษย์พี่จัว ทำแบบนี้มันผิดกฎนะ”
“กฎบ้ากฎบออะไร? คนอื่นพูดก็ว่าไปอย่าง นี่เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าสำนักจริงๆ หรือ?” จัวหรูซุ่ยนอนลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ริมผาตัวนั้น หรี่ตาเล็กน้อย อาบแสงแดดในฤดูใบไม้ ผลิ จากนั้นกล่าวว่า “ข้ามาเที่ยว ไม่ได้มาคุยธุระอะไร หรือข้าต้องไปรออยู่ในกระท่อมหลังนั้นด้วย?”
กู้ชิงคิดในใจว่ามันก็จริงอย่างว่า จึงยิ้มเยาะตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนกล่าวถามว่า “ท่านไปเดินเล่นที่ไหนมาบ้าง?”
จัวหรูซุ่ยชี้ไปยังที่แห่งหนึ่งตรงด้านล่างหน้าผา ก่อนจะกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “พื้นหญ้าตรงนั้นนอนตากแดดสบายทีเดียว แล้วยังมีม้าด้วย ข้าขี่มันไปครู่หนึ่ง”
กู้ชิงกล่าวอย่างนับถือว่า “ท่านเป็นคนแรกที่คิดจะขี่เจ้านั่นเลยนะเนี่ย นอกจากลิงพวกนั้น”
ศิษย์ชิงซานขี่กระบี่ มีใครที่อยากจะขี่ม้ากัน?
จัวหรูซุ่ยหรี่ตา ก่อนกล่าวอย่างภูมิใจว่า “ข้าไม่ใช่คนปกติ”
กู้ชิงกล่าวทอดถอนใจว่า “มันก็ใช่ คนที่กล้านอนบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนี้ ท่านก็เป็นคนแรกเหมือนกัน”
ในขณะที่พูด ประตูหินของถ้ำก็ค่อยๆ เปิดออก จิ๋งจิ่วเดินออกมา
กู้ชิงรีบเข้าไปคารวะ
จัวหรูซุ่ยยืนขึ้นมา สองตาเบิกกว้าง คล้ายว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้นอนมาก่อน เหมือนว่าชั่วชีวิตนี้ไม่เคยนอนมาก่อน