มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 14 หม้อไฟกับกระบี่ หมอกควันที่หายไป (1)
จิ๋งจิ่งใช้เพลิงกระบี่ล้างหน้าพลางเดินมาที่ริมผา
เศษฝุ่นร่วงลงมาจากบนเสื้อผ้าของเขาตามจังหวะฝีเท้าของเขา ไม่นานก็สะอาดหมดจด คล้ายดอกบัวหลังฝนตก
กู้ชิงเดินตามอยู่ข้างกายเขา ใช้น้ำเสียงที่ราบเรียบกล่าวรายงานเรื่องราวสำคัญในชิงซานและโลกบำเพ็ญพรตในช่วงเวลาหนึ่งปีมานี้ออกมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นภาพนี้ จัวหรูซุ่ยคิดในใจว่านี่มันเหมือนกับขันทีหรือขุนนางใจคดที่พบเห็นได้บ่อยๆ หนังสือมิใช่หรือ? จึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
จิ๋งจิ่วมองดูเขา
จัวหรูซุ่ยรีบเบี่ยงตัวเปิดทาง ก่อนกล่าวว่า “เก้าอี้ไม้ไผ่ข้าเช็ดให้แล้ว”
จิ๋งจิ่วนอนลงไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่
กู้ชิงยืนอยู่ข้างกายเขาพลางกล่าวต่อว่า “กั้วหนานซานมาหาหลายครั้ง ก่อนหน้านี้ก็เคยมา เรื่องที่เขาพูดยังคงเป็นเรื่องที่อี้โจวเรื่องนั้นขอรับ”
จิ๋งจิ่วหลับตา ไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือนอากาศในฤดูใบไม้ผลิของวันนี้ช่างดีจริงๆ
จัวหรูซุ่ยมองไปบนท้องฟ้า ภายในใจลอบถอนใจอย่างอิจฉา
สุดท้ายกู้ชิงกล่าวว่า “สำนักเสวียนหลิง ต้าเจ๋อและสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยส่งจดหมายมาถามหลายครั้ง พวกเขาอยากจะทราบว่าจะจัดงานฉลองขึ้นเมื่อไรขอรับ”
หากมีเพียงเท่านี้ เขาคงไม่รู้สึกกดดันอะไรนัก แต่สิ่งสำคัญก็คือทางยอดเขาซั่งเต๋อก็เร่งเร้ามาเช่นเดียวกัน
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าจัดการไปเลย”
กู้ชิงคิดอย่างเหนื่อยใจ ข้าไม่ได้เป็นเจ้าสำนักเสียหน่อย เช่นนั้นก็คงได้แต่ต้องยื้อออกไป
แนวคิดเรื่องเวลาของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตนั้นไม่เหมือนกับโลกมนุษย์ อย่างเช่นงานชุมนุมแสวงมรรคาของสำนักจงโจว ไม่มีใครที่จะสามารถมั่นใจได้ว่านั่นมันครบสามหมื่นปีแล้วจริงๆ มัน อาจจะเร็วกว่านั้นหรือช้ากว่านั้นไปหลายปีก็เป็นได้
เพียงแต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็ไม่มีทางที่จะยื้อเวลาไปได้เรื่อยๆ
จิ๋งจิ่วพลันลืมตาขึ้นมา กล่าวว่า “วันนี้กินหม้อไฟ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงแดดวันนี้สดใส หรือเป็นเพราะคิดถึงว่าตั้งแต่เป็นเจ้าสำนักยังไม่มีพิธีอะไรที่เป็นทางการ หรือเป็นเพราะอยากจะหวนคิดถึงเรื่องราวเมื่อหกร้อยปีก่อนและสามร้อย ยปีก่อน
ตอนที่นักพรตไท่ผิงและหลิ่วฉือเป็นเจ้าสำนักก็ล้วนแต่เคยกินหม้อไฟกัน
กู้ชิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย ในใจคิดว่าอาจารย์เป็นอะไร?
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “ดี! ดี! ดี!”
กู้ชิงมองดูเขา ในใจรู้สึกนับถือ เขาคิดในใจว่าคนที่ได้กินข้าวของยอดเขาเสินม่อสองครั้งก็มีแต่ท่านนี่แหละ
……
……
การกินหม้อไฟ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความครึกครื้น คนย่อมไม่อาจน้อยเกินไป ดังนั้นเจ้าล่าเยวี่ย หยวนฉวี่และผิงหย่งเจียที่กำลังเก็บตัวอยู่จึงถูกเรียกออกมา
จัวหรูซุ่ยที่เก็บตัวอยู่บนยอดเขาเทียนกวงมาเป็นเวลาหลายสิบปีไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่ตนเห็นได้จริงๆ
เขาไม่รู้ว่าการเก็บตัวของยอดเขาเสินม่อจะง่ายๆ สบายๆ เช่นนี้
ถ้าหากให้ตระกูลกู้จัดหาหม้อไฟมาให้ พวกเขาย่อมต้องสามารถจัดหาเครื่องหม้อไฟและวัตถุดิบที่ดีที่สุดออกมาได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อจุ่มของหงเหมาไจหรือว่าเรือนจิ่วเซียงที มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองอี้โจวก็ล้วนแต่ไม่อาจเทียบได้ เพียงแต่แบบนั้นมันยุ่งยากมากเกินไป ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน
ทางยอดเขาซื่อเยวี่ยเองก็ทำได้เช่นเดียวกัน เพราะนี่เป็นคำขอของเจ้าสำนัก แต่ปัญหาก็คือพวกเขาทำเป็นแต่หม้อไฟสมุนไพร ยิ่งไปกว่านั้นจิ๋งจิ่วยังไม่ชอบลิงที่อยู่ในยอดเขานั้น ดัง งนั้นสุดท้ายจึงตัดสินใจให้พวกเขาส่งแค่วัตถุดิบมา ส่วนอย่างอื่นเดี๋ยวยอดเขาเสินม่อเป็นคนจัดการเอง
หัวหน้าพ่อครัวคือผิงหย่งเจีย เพราะเขาอายุน้อยที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเพิ่งจะออกมาจากโลกมนุษย์ไม่นาน ยังไม่ลืมวิธีการหั่นผักใส่เครื่องปรุง
ในตอนที่เขาหั่นผัก หยวนฉวี่คอยช่วยอยู่ด้านข้าง จัวหรูซุ่ยยืนมองดู เพราะเขาไม่เคยเห็นคนหั่นผักมาก่อน
จิ๋งจิ่วมองดู แล้วก็ไม่ได้สนใจอีก เขาคิดถึงตอนที่อยู่ในหมู่บ้านบนภูเขา เขาใช้เวลาเพียงแค่สามวันก็สามารถเรียนรู้วิธีการหั่นผักฆ่าไก่ฆ่าปลา ซัวอีหวงกวา[1]ที่หั่นออกมาสามาร รถดึงได้ยาวสองฉื่อ….ฝีมืออย่างผิงหย่งเจียนี้ กระทั่งหลิ่วสือซุ่ยตอนที่อายุสิบขวบก็ยังไม่อาจเทียบได้ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเลือกเรียนกระบี่
เมื่อโยนขิงแผ่นและต้นหอมท่อนลงไปในน้ำแกงใสก็ถือว่าทำน้ำแกงเสร็จเรียบร้อย
น้อยครั้งนักที่ผู้บำเพ็ญพรตจะกินอาหาร แต่ก็มีบางครั้งที่เกิดความรู้สึกอยากกิน ดังนั้นยอดเขาซื่อเยวี่ยจึงเตรียมเนื้อแพะและเนื้อวัวเอาไว้ให้ แล้วก็ย่อมต้องเป็นเนื้อที่ดีที่ สุดในโลก
จัวหรูซุ่ยโยนเนื้อแพะจำนวนหลายชิ้นลงไปในหม้ออย่างรวดเร็ว ทันทีที่เนื้อเปลี่ยนสีก็ตักขึ้นมา ก่อนจะจุ่มลงไปในน้ำจิ้มงาที่ปรุงเสร็จเรียบร้อยเหมือนกับกิ่งหลิวที่ไล้ผ่านผิวน น้ำ
ทุกคนต่างงุนงง
“รสชาติจืดไปหน่อย”
จัวหรูซุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน ตะเกียบที่อยู่ในมือยื่นไปยังเนื้อซี่โครงที่เพิ่งหั่นมาสดๆ
กู้ชิงฉวยโอกาสตอนที่ในน้ำแกงยังไม่มีน้ำมันมากนัก รีบตักน้ำแกงขึ้นมาถ้วยหนึ่ง จากนั้นยกไปตรงหน้าจิ๋งจิ่ว
เจ้าล่าเยวี่ยโยนผักลงไปในน้ำแกงสองสามใบ
จิ๋งจิ่วดื่มน้ำแกงไปสองสามคำ จากนั้นกินผักไปใบหนึ่ง ก่อนจะนอนกลับลงไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่อีกครั้ง
เพียงพริบตาภายในหม้อก็มีเนื้อต่างๆ ปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง กองจนดูคล้ายภูเขาลูกหนึ่ง
บนภูเขาเนื้อมีตะเกียบสองสามคู่ปักอยู่
ทุกคนมองดูภายในหม้อ รอคอยให้เนื้อสุก ไม่มีใครพูดอะไร
การกินอย่างเงียบๆ ไม่ได้หมายความว่าบรรยากาศกระอักกระอ่วน หากแต่แสดงให้เห็นว่าทุกคนต่างกินอย่างตั้งใจ
จะว่าไปแล้ว นี่น่าจะเป็นการกินข้าวครั้งแรกของยอดเขาเสินม่อ หากอยู่ในโลกมนุษย์น่าจะเรียกว่าต้อนรับขึ้นบ้านใหม่?
จัวหรูซุ่ยกินไปๆ ทันใดนั้นพลันพบว่าตัวเองมิใช่คนที่กินได้เยอะที่สุด
เจ้าล่าเยวี่ยดูเหมือนกินอย่างช้าๆ แต่ความจริงตะเกียบของนางไม่เคยหยุด ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าลูกศิษย์ก็ไม่มีใครกล้าแย่งเนื้อกับนางด้วย
“ดูถูกท่านเกินไปจริงๆ”
เรื่องที่จัวหรูซุ่ยคิดย่อมมิใช่เรื่องกินเนื้อ หากแต่เป็นเรื่องของเจี่ยนหรูอวิ๋นกับหม่าหวา
เขาไม่ชอบเจี่ยนหรูอวิ๋นกับหม่าหวา แล้วก็มิได้มีความผูกพันอะไรกับยอดเขาเหลี่ยงว่าง เขาเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าล่าเยวี่ยที่ดูเหมือนเป็นพวกที่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกกระบี่กลับ บมีด้านที่ร้ายกาจเช่นนี้อยู่ จึงคิดจะถามเจ้าล่าเยวี่ยสักสองสามประโยค แต่ในตอนที่เอ่ยปากกลับเปลี่ยนเป็นประเด็นอื่นว่า “อาจารย์อาเล็ก ร่างกระบี่ไร้ลักษณ์หลังกำเนิดฝึกอย่างไร เหรอ?”
คนที่นั่งอยู่ข้างหม้อไฟต่างมองไปที่เขา กระทั่งใบหูที่กางออกมาข้างหนึ่งของจิ๋งจิ่วก็ยังขยับเล็กน้อย
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “ข้าฝึกอยู่บนยอดเขากระบี่”
“ข้านั่งอยู่บนยอดเขากระบี่ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว แต่ไม่เห็นมีอะไรคืบหน้าเลย รู้สึกเหมือนว่าเจตน์กระบี่ที่นั่นไม่ค่อยชอบข้าเท่าไร”
จัวหรูซุ่ยคล้ายทบทวนตัวเองพลางกล่าวว่า “เป็นเพราะเจตน์กระบี่ของข้ามันแข็งแกร่งเกินไปหรือเปล่า?”
หยวนฉวี่กับผิงหย่งเจียต่างสบตากัน ในใจคิดว่าหรือมิใช่เป็นเพราะเจ้าอวดดีเกิดไปหรือ?
การบำเพ็ญเพียรคือเรื่องสำคัญ
เจ้าล่าเยวี่ยวางตะเกียบ จากนั้นเริ่มสนทนากับเขา
จัวหรูซุ่ยฟังอย่างตั้งใจ แต่ตะเกียบที่อยู่ในมือกลับไม่มีทีท่าว่าจะวางลง
ผิงหย่งเจียฟังไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน รู้แต่เพียงว่าเกี่ยวข้องกับยอดเขากระบี่ นี่ทำให้เขาคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมา จึงวิ่งไปยังข้างๆ เก้าอี้ไม้ไผ่ นั่งยองๆ แล้วกล ล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “อาจารย์ เพลงกระบี่ของยอดเขาชิงหรงข้าท่องจำจนขึ้นใจแล้ว เมื่อไรข้าถึงจะขึ้นไปเอากระบี่บนยอดเขากระบี่ได้ขอรับ?”
หากจิ๋งจิ่วไม่รับศิษย์เพิ่ม เขาก็จะกลายเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนักชิงซาน มีสถานะเหมือนอย่างจัวหรูซุ่ยเมื่อก่อนนี้
แต่ปัญหาก็คือ จัวหรูซุ่ยพึ่งเข้าไปยังยอดเขาเทียนกวงก็ได้รับยอดกระบี่แล้ว จากนั้นก็เริ่มเก็บตัว ในตอนที่อายุเท่าเขาก็มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว
แต่ตอนนี้เขา….ยังไม่มีกระบี่
……………………………………………………………………….
[1]ซัวอีหวงกวา คือ แตงกวาที่หั่นเป็นแผ่นบางๆ โดยไม่ให้ขาดออกจากกัน