มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 16 ต้นเหล็กออกดอกส่องคน (1)
ลิงของยอดเขาซื่อเยวี่ยนั้นหนวกหูเกินไปจริงๆ น่ารำคาญเสียยิ่งกว่าหลิ่วฉือซุ่ยและสมณะหนุ่มของวัดกั่วเฉิงรูปนั้นเสียอีก ดังนั้นจิ๋งจิ่วจึงไม่ได้บินลงไปตรงหน้าตำหนักที่ถูกป่าห้ อมล้อมหลังนั้น หากแต่บินลงไปยังที่หนึ่งที่อยู่ด้านหลังยอดเขา ที่นั่นมีสวนที่ดูเหมือนสวนปกติธรรมดาอยู่สิบกว่าแห่ง ด้านในมียาและคัมภีร์บำเพ็ญเพียรที่ล้ำค่าอย่างมากเก็บเอาไว ว้อยู่ การคุ้มกันแน่นหนาเป็นอย่างมาก
เพื่อที่จะป้องกันเพลิงสวรรค์แล้ว บริเวณหน้าผาแห่งนี้จึงไม่มีพืชพรรณอื่นนอกจากต้นเหล็กที่ทนต่อการเผาไหม้
ต้นเหล็กไม่ออกดอกแล้วก็ไม่ออกผล ใบมีรสชาติขม ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีลิง
ลำแสงกระบี่ของกระบี่คมจักรวาลบินโฉบไปบนยอดเขาซื่อเยวี่ย ตรงตำแหน่งที่จิ๋งจิ่วบินลงไปมีกระบี่บินสิบกว่าเล่มห้อมล้อมเอาไว้ ข่ายพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอย่างน้อยหลายสิบ บข่ายเตรียมพร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อ
มีศิษย์คนหนึ่งตะโกนถามว่า “นั่นใคร!”
จิ๋งจิ่วหมุนตัวกลับมา
“อาจารย์อาเล็ก….ไม่สิ อาจารย์อาเจ้าสำนัก!”
“คารวะเจ้าสำนัก!”
“คารวะท่านเจ้าสำนัก!”
ศิษย์ของยอดเขาซื่อเยวี่ยตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของเขา ต่างคนต่างรีบเก็บกระบี่ จากนั้นพากันคารวะ
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าดูเอง พวกเจ้าอย่าตามมา”
เขาบอกว่าอย่าตามมา ไม่ใช่ไม่ต้องตามมา นี่ย่อมมิใช่ว่าเขากำลังแสดงมนุษย์สัมพันธ์ของเจ้าสำนักคนใหม่ เหล่าศิษย์ยอดเขาซื่อเยวี่ยสบตากันไม่พูดอะไร ในใจคิดว่าที่นี่คือเขตหวงห้ ามของชิงซาน มีคัมภีร์บำเพ็ญเพียรที่สำคัญที่สุดและยาวิเศษที่ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่งเก็บเอาไว้ที่นี่…..เอาล่ะ ทั้งชิงซานล้วนเป็นของท่าน ท่านอยากจะไปไหนก็ได้
จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในสวนเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล เดินมาถึงหน้าหอสามชั้นแห่งหนึ่ง
ผู้อาวุโสที่อยู่ในหอลุกขึ้นยืนรอต้อนรับตั้งนานแล้ว จิ๋งจิ่วเดินตรงเข้าไปในหอโดยไม่พูดอะไรกับเขา
ผู้อาวุโสตกใจ สองมือประสานกัน ปราณกระบี่ไหลออกมา รีบคลายข่ายพลังที่อยู่ตรงบันไดออกไปอย่างรวดเร็ว
จิ๋งจิ่วเดินหน้าต่อ ฝีเท้าไม่ได้หยุดลง
ผู้อาวุโสคนนั้นเดินตามอยู่ด้านหลังเขา สองมือขยับไปมาไม่หยุด ทยอยคลายข่ายพลัง เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ บนหน้าผากเขาก็มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมา
ภายในหอสามชั้นที่ดูเหมือนปกติธรรมดาแห่งนี้มีข่ายพลังที่อันตรายเป็นอย่างมากอยู่ถึงหกข่าย ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพรตขั้นแหวกทะเลระดับสูงก็ยากที่จะฝ่าเข้ามาได้
เมื่อมาถึงบนชั้นสาม จิ๋งจิ่วหยุดฝีเท้าพลางกล่าวขอบคุณผู้อาวุโสผู้นั้น
ผู้อาวุโสผู้นั้นโค้งตัวคารวะ ก่อนจะถอยออกไปด้านนอกหอ ยืนอยู่ตรงหน้าบันไดหินเพื่อกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาในหอรบกวนท่านเจ้าสำนักอ่านหนังสือ
จิ๋งจิ่วพลันคิดขึ้นมาได้ว่าหยวนฉีจิงยังไม่ได้มอบข่ายพลังชิงซานให้แก่ตน
เรื่องนี้เขาไม่ได้คิดอะไรมากนัก หากแต่เดินเข้าด้านในหอ ก่อนจะหาชั้นหนังสือชั้นนั้นเจอได้ไม่ยาก จากนั้นหยิบเอาหนังสือบางๆ ออกมาเล่มหนึ่ง
ในอดีตตอนที่เขาเพิ่งจะเข้ามายังชิงซาน เขาอยู่ที่ยอดเขาซื่อเยวี่ยเป็นเวลาสิบปี เขาไม่ได้เรียนรู้วิธีปลูกดอกไม้หรือว่าปรุงยา หากแต่อ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญเพียร รจนหมด ภายหลังเขายังแวะมาดูอีกหลายครั้ง จนกระทั่งมั่นใจแล้วว่าต่อให้เป็นชิงซานก็ไม่มีทางหาหนังสือที่เกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรที่ใหม่กว่าเดิมมาได้อีก
หนังสือเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรที่มีค่าเหล่านั้นเขายังจำได้อยู่ แต่วันนี้เขาไม่ได้มาเพื่อทบทวน หากแต่มาดูหนังสือเล่มนั้น
เนื้อหาในหนังสือเก่าเล่มนั้นมีน้อยมาก หลักๆ แล้วเป็นการพูดถึงวิธีการเพ่งมองตนเอง
—-ใช้กระจกมองดอกไม้ ในตอนที่กระจกหลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ดอกไม้ก็จะเพิ่มจำนวน แต่ถ้าหากสุดท้ายกระจกกลายเป็นผุยผง ดอกไม้นับหมื่นก็จะตายลงไปพร้อมกัน
วิธีการเพ่งมองตนเองนี้มิได้ลึกซึ้ง แล้วก็ยิ่งมิได้ลี้ลับอะไร แต่วิชาแบ่งกระจกที่ผู้เขียนได้มาจากวิธีการเพ่งมองตนเองนี้กลับมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นนักพรตไท่ผิงได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มนี้ ถึงได้สร้างข่ายพลังหมอกควันจางหายออกมา
จิ๋งจิ่วไม่ได้ดูตัวหนังสือที่อยู่บนหนังสือเล่มนี้ หากแต่ถูกระดาษเบาๆ ตรวจสอบดูอายุของหนังสือเล่มนี้อย่างคร่าวๆ ขณะเดียวกันก็มั่นใจแล้วว่าตัวเองดูอะไรไม่ออก
เขาเดินออกมาจากหอเล็ก เอาหนังสือเล่มนั้นส่งให้ผู้อาวุโสคนนั้นพลางกล่าวว่า “ไปค้นดูหน่อยว่าหนังสือเล่มนี้มาจากที่ไหน?”
ผู้อาวุโสคนนั้นกล่าวถามว่า “เจ้าสำนักอยากจะค้นหาไปถึงตอนไหนขอรับ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เริ่มแรกสุด”
……
……
เรื่องนี้ถูกรายงานให้นักพรตกว่างหยวนรับทราบอย่างรวดเร็ว
นักพรตกว่างหยวนรับเอาหนังสือเล่มนั้นมาดู นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ชิงซานในตอนนี้ล้วนแต่เป็นสายสืบทอดของยอดเขาซั่งเต๋อ เจ้าแห่งยอดเขาที่มีความอาวุโสเหมือนอย่างเขาจะมากจะน้อยก็พอ อมีความเข้าใจเกี่ยวกับข่ายพลังหมอกควันจางหายอยู่บ้าง แล้วก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของหนังสือเล่มนี้กับข่ายพลังอันนั้น เหตุใดจิ๋งจิ่วถึงต้องตรวจดูที่มาของหนังสือเล่มนี้?
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นคำสั่งของเจ้าสำนัก อย่างนั้นก็หาให้ละเอียด”
เป็นเพราะคำพูดประโยคเดียวของจิ๋งจิ่ว ทั่วทั้งยอดเขาซื่อเยวี่ยจึงพากันวุ่นวายขึ้นมา
ผู้อาวุโสเจ็ดคนพาลูกศิษย์หลายสิบคน และผู้ดูแลอีกหลายร้อยคนค้นหาที่มาของหนังเล่มนั้นเพียงอย่างเดียว เรื่องอื่นล้วนแต่วางเอาไว้ก่อน เหล่าอาจารย์เสนอความคิดออกมา จากนั้นก ก็สั่งการให้ศิษย์หลายสิบคนรับผิดชอบเรื่องการวิเคราะห์ จากนั้นทำการจดบันทึกและทำดัชนีเอาไว้ ส่วนผู้ดูแลหลายร้อยคนก็รับผิดชอบหอบหนังสืออันหนักอึ้ง วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในสวนเหล ล่านั้น
บริเวณหน้าผาอบอวลไปด้วยบรรยากาศตื่นเต้นและคึกคัก กระทั่งต้นเหล็กเหล่านั้นก็เหมือนจะรับรู้ได้ พวกมันไหวเอนเบาๆ ท่ามกลางสายลม คล้ายคิดอยากจะผลิดอกออกมา
แต่ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูคึกคักก็ย่อมต้องมีเสียงต่อว่าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างเช่นลูกศิษย์คนหนึ่งที่รับผิดชอบดูแลสวนยาหลิวสือทางเนินตะวันตกพลันนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี ลืมรดน้ำ จึงกล่าวต่อว่าเจ้าสำนักคนใหม่อยู่ในใจว่าทำอะไรเหลวไหล จากนั้นไปสารภาพความผิดต่อหน้าอาจารย์
ใครจะไปรู้ว่าอาจารย์คนนั้นกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เข่ากล่าวว่า “ไม่สำคัญ ทำเรื่องที่เจ้าสำนักมอบหมายให้เสร็จเรียบร้อยก่อน เพียงแต่ถ้าต้นชุ่ยหลานขาดน้ำใบมันจะม้วนงอ คืนนี เจ้าเอาไขหยกไปทาๆ หน่อยแล้วกัน”
ลูกศิษย์คนนั้นหน้าเปลี่ยนสีไปทันที ในใจคิดว่าต้นชุ่ยหลานในสวนนั้นมีอยู่สามร้อยสิบเจ็ดต้น ถ้าต้องทาใบทุกต้น อย่างนั้นตัวเองยังจะได้พักผ่อนหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจาก สถานการณ์ในตอนนี้แล้ว พรุ่งนี้คงจะต้องมานั่งพลิดดูกองกระดาษเก่าๆ เหล่านี้อีกเป็นแน่!
แต่เหล่าอาจารย์กลับรู้สึกว่าแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน อย่างน้อยหนังสือที่น่าสนใจบางเล่ม โดยเฉพาะหนังสือโบราณที่เก็บซ่อนอยู่ในหอเหล่านั้นก็ถูกขนออกมา มีหนังสือหลายเล่มที่ พวกเขาไม่เคยอ่านมาก่อน พวกเขาด้านหนึ่งก็เลือกหนังสือที่ตัวเองสนใจขึ้นมาพลิกอ่าน อีกด้านหนึ่งก็บอกให้ผู้ดูแลกางหนังสือเหล่านั้นออกมาอย่างระมัดระวัง วางเอาไว้บนพื้นหิน ภา ายในหอเก็บหนังสือของยอดเขาซื่อเยวี่ยนั้นมีข่ายพลังที่ปกป้องความแห้งและความชื้นอยู่ แต่หนังสือเมื่อเก็บเอาไว้นานวันเข้า มันก็ยังมีปัญหาเกิดให้เห็นอยู่บ้าง
แสงอาทิตย์ฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ไม่เลว เหมาะสำหรับใช้ตากหนังสือพอดี
……
……
การจะสืบหาประวัติของหนังสือที่ไม่มีที่มา ต่อให้เป็นคนที่ถนัดในการคิดคำนวณอย่างจิ๋งจิ่วก็ทำไม่ได้ แต่เมื่อรวมกำลังจากทั้งยอดเขาซื่อเยวี่ยกลับใช้เวลาเพียงสามวันก็สามารถส สืบค้นได้เบาะแสที่แน่ชัด —- ผู้ที่เขียนหนังสือเล่มนั้นน่าจะเป็นเหยียนเจินลู่ผู้บำเพ็ญพรตชื่อดังเมื่อพันปีก่อน
แต่ปัญหาก็คือจิ๋งจิ่วต้องการสืบค้นไปจนถึงช่วงเริ่มแรกสุด อย่างนั้นแนวคิดของเหยียนเจินลู่มาจากที่ใด?
แต่ถึงแม้ผู้บำเพ็ญพรตคนนี้จะมีชื่อเสียง ทว่าเขากลับเป็นผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนัก กระทั่งถึงตอนที่เขาจากโลกไป เขาก็ยังไม่มีสำนัก
สุดท้ายจากการค้นหาผ่านหนังสือประวัติศาสตร์อย่างไม่เป็นทางการและบันทึกของสำนักในพื้นที่สองสามเล่ม เหล่าผู้อาวุโสของยอดเขาซื่อเยวี่ยก็ได้ข้อสรุปหนึ่งออกมาว่าเหยียนเจินลู่น่าจะ ะเป็นศิษย์ที่ถูกสำนักจิ้งจงขับออกมา
หลังได้รับรายงานจากยอดเขาซื่อเยวี่ย จิ๋งจิ่วรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ในใจคิดว่าเป็นเจ้าสำนักนี่มันก็มีข้อดีเหมือนกัน เมื่อก่อนเขาเป็นเจ้าสำนักสูงสุดอยู่ในยอดเขาเสินม่อไม่ได้ รู้สึกอะไร แต่ถ้าหากตอนนี้เขายังเป็นศิษย์ธรรมดาอยู่ ยอดเขาเซื่อเยวี่ยไม่มีทางให้เขาเข้าไปสืบแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทรัพยากรมากมายขนาดนี้ในการช่วยเขาสืบค้นเลย