มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 17 ต้นเหล็กออกดอกส่องคน (2)
หลังจากกินหม้อไฟในวันนั้น หยวนฉวี่กับผิงหย่งเจียก็ดูเรียบร้อยขึ้น กระทั่งอาต้าเองก็ดูเงียบขึ้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง กู้ชิงรู้สึกทนไม่ไหว จึงกล่าวถามเรื่องงานชุมนุมเหมยฮุ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
ฤดูใบไม้ผลิค่อยๆ ผ่านไป ดูแล้วดอกไม้ในเมืองเจาเกอคงจะเบ่งบานกันหมดแล้ว งานเหมยฮุ่ยจะเริ่มขึ้นในอีกสิบกว่าวันหลังจากนี้ แต่สำนักชิงซานยังไม่ได้ทำการเลือกศิษย์ที่จะไปเข้ าร่วมงานเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องออกเดินทาง
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “งานชุมนุมทดสอบกระบี่จัดขึ้นตามปกติ ให้หนานว่างเป็นคนพาไป”
กู้ชิงคิดในใจว่าเมื่ออาจารย์เอ่ยปากก็สามารถจัดการได้แล้ว จึงรีบแจ้งไปทางยอดเขาซีไหลให้พวกเขาจัดการเรื่องนี้
งานชุมนุมทดสอบกระบี่ที่จัดขึ้นในวันที่สองดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่จากนั้นกลับมีเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น หนานว่างบอกว่านางจะเก็บตัว ไม่อยากไปเมืองเจาเกอ
กู้ชิงค่อนข้างเป็นกังวล นี่เป็นครั้งแรกที่มีเจ้าแห่งยอดเขาเมินเฉยต่อคำสั่งของอาจารย์นับตั้งแต่ที่อาจารย์เป็นเจ้าสำนัก นี่มันจะหมายความถึงอะไรหรือเปล่า?
จิ๋งจิ่วค่อนข้างแปลกใจที่ตอนนี้หนานว่างขยันขันแข็งในการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ แต่กลับไม่กังวลอะไร เขากล่าวว่า “อย่างนั้นก็ให้กว่างหยวนไป”
จากนั้นเขาคิดถึงงานชุมนุมทดสอบกระบี่ในวันนี้ขึ้นมา จึงกล่าวถามว่า “ใครชนะ?”
กู้ชิงไม่ได้พูดอะไร หากแต่อมยิ้มเล็กน้อย พลางมองไปยังที่ที่หนึ่งด้านหลังจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วหมุนตัวมองไป ก่อนจะเห็นหยวนฉวี่ยืนชูมือขวาอย่างอายๆ อยู่ริมหน้าต่างบนชั้นสองของตำหนัก
หยวนฉวี่ค่อนข้างธรรมดาเมื่ออยู่บนยอดเขาเสินม่อ เรียกได้ว่าเหมือนไม่มีตัวตนอยู่เลยก็ว่าได้ แต่นั่นเป็นเพราะว่าที่นี่คือยอดเขาเสินม่อ มีอัจฉริยะอยู่เป็นจำนวนมาก
จิ๋งจิ่วค่อนข้างแปลกใจ แล้วก็ค่อนข้างพึงพอใจ ในอดีตตอนที่เขายังอยู่ในขั้นมิประจักษ์ก็เคยเอาชนะหม่าหวาและกู้หานในงานชุมนุมทดสอบกระบี่ แล้วยังหักกระบี่ทะเลครามของกั้วหน นานซาน หยวนฉวี่สภาวะธรรมดา กระบี่บินเองก็ธรรมดา แต่กลับสามารถคว้าที่หนึ่งในงานชุมนุมทดสอบกระบี่มาได้ ถึงแม้ระดับความยากจะยังไม่เทียบเท่าตัวเขาในตอนนั้น แต่มันก็มีความสง่า างามคล้ายตนเองอยู่เล็กน้อย
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาจึงกล่าวกับหยวนฉวี่ว่า “ไปเมืองเจาเกอก็ห้ามแพ้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหยวนฉวี่หายไปทันที เขาคิดอย่างตื่นเต้น นี่อาจารย์อาเจ้าสำนักกำลังบอกว่าข้าต้องคว้าที่หนึ่งในงานประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยมาให้ได้ใช่ไหม?
……
……
คนที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยจากแต่ละสำนักทยอยเดินทางมาถึงเมืองเจาเกอ สำนักจิ้งจงที่อยู่ที่เมืองเฝ่ยชุ่ยเองก็เดินทางมาถึงแล้วเช่นกัน จ่างสื่อ[1]แห่งสำนักจิ้งจงพาลูกศิษย์ส สิบกว่าคนเดินทางออกมาจากสำนักตั้งแต่สิบกว่าวันที่แล้ว เจ้าสำนักกำลังเก็บตัว ดังนั้นคนที่คอยจัดการเรื่องราวต่างๆ ภายในสำนักจึงกลายเป็นเชวี่ยเหนียง ความอาวุโสของเชวี่ยเหนียงม มิได้สูงนัก ในหมู่ลูกศิษย์รุ่นเดียวกันก็มิใช่ศิษย์พี่หญิงที่โตที่สุด แต่นางมีพรสวรรค์ที่ดี สติปัญญาเฉลียวฉลาด ขยันขันแข็งในการบำเพ็ญเพียร สภาวะยกระดับอย่างรวดเร็ว ได้รับควา ามรักความเอ็นดูจากเจ้าสำนักและจ่างสื่อเป็นอย่างมาก เมื่อรวมกับเหตุผลอีกข้อหนึ่ง ทำให้สถานะภายในสำนักของนางจึงยิ่งมีความพิเศษขึ้นทุกวัน
เชวี่ยเหนียงเอาชนะในการประลองหมากล้อมได้ติดต่อกันหลายครั้ง สร้างประวัติศาสตร์ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดทางด้านวิถีหมากล้อม ภายในใจนาง ย่อมต้องเกิดความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปีนี้นางจึงไม่ได้เข้าร่วมการประลอง นางวางม้วนหนังสือที่อยู่ในมือลง มองดูกิ่งเหมยที่อยู่ในกระจกพลางถอนใจ ออกมา ในใจคิดถึงว่าเมื่อไรถึงจะมีโอกาสได้ดูหมากล้อมเหมือนอย่างตอนที่อาจารย์จิ๋งจิ่วกับคุณชายถงเหยียนประลองกันแบบนั้นอีก?
ภายในสวนมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา มีลูกศิษย์เข้ามารายงานว่ามีสหายจากชิงซานมาเยือน โดยบอกว่าอยากจะขอพบนาง
เชวี่ยเหนียงรู้สึกแปลกใจ ในใจครุ่นคิดว่าถึงแม้สำนักจิ้งจงจะเป็นพันธมิตรที่ดีกับสำนักชิงซาน แต่ตัวเองไม่มีคนสนิทสนมอยู่ในชิงซาน กลับเป็นทางเขาอวิ๋นเมิ่งที่พอจะมีอยู่บ้าง เป็ นใครกันที่มาพบตนเอง?
นางเดินไปด้านนอกเรือน มองดูคนสองคนที่ศิษย์สำนักจิ้งจงพาเข้ามา ภายในใจยิ่งรู้สึกแปลกใจ
ฤดูใบไม้ผลิอากาศอบอุ่น เหตุใดทั้งสองคนนี้ต้องสวมหมวกลี่เม่าด้วย?
เชวี่ยเหนียงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าสหายทั้งสองท่าน.…”
ศิษย์ชิงซานที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดผู้นั้นยกหมวกลี่เม่าขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าครึ่งหนึ่ง
ภายในดวงตาของเชวี่ยเหนียงเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดี ส่งสายตาบอกให้ศิษย์สำนักจิ้งจงผู้นั้นออกไป ส่วนตัวเองพาทั้งสองคนเข้าไปในเรือน จากนั้นทำการคารวะคนผู้นั้นพลางกล่าวว่า “อ อาจารย์จิ๋งจิ่ว ทำไมท่านถึงมาที่นี่ได้?”
ทั้งสองคนถอดหมวกลี่เม่าออก พวกเขาคือจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ย
เชวี่ยเหนียงรีบคารวะเจ้าล่าเยวี่ย ทันใดนั้นพลันคิดถึงสถานะของจิ๋งจิ่วในตอนนี้ขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปทันที จากนั้นทำการคารวะอย่างจริงจังใหม่อีกครั้ง “คารวะท่านนักพรตเจ้าสำนัก ”
นางทำอะไรหลายๆ อย่างในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ มือไม้ย่อมต้องปั่นป่วนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย รอยจุดฝ้าเล็กๆ เปล่งประกายขึ้นมา มองดูยิ่งน่ารัก
เชวี่ยเหนียงทั้งรู้สึกดีใจแล้วก็รู้สึกไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าเมืองเจาเกอกำลังจัดงานชุมนุมเหมยฮุ่ย สำนักจงโจวก็กำลังรุกคืบในเรื่องนั้น แต่ทำไมท่านกลับมาที่สำนักจิ้งจง? ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าสำนักชิงซานผู้ยิ่งใหญ่มาเดินไปเดินมาแบบนี้ได้หรือ?
จิ๋งจิ่วแสดงเจตนาการมาเยือนของตนเอง
เชวี่ยเหนียงรู้สึกว่าชื่อเหยียนเจินลู่นี้ค่อนข้างคุ้นหู แต่กลับจำไม่ได้ว่าเป็นผู้อาวุโสคนไหนในสำนัก จึงกล่าวว่า “ข้าอาจจะต้องไปถามอาจารย์ดู”
เจ้าล่าเยวี่ยรับตัวแมวที่มุดออกมาจากในแขนเสื้อของจิ๋งจิ่วมากอดเอาไว้ ก่อนจะกล่าวว่า “รบกวนเจ้าด้วย”
ในตอนที่เชวี่ยเหนียงกำลังจะออกไป นางพลันหยุดฝีเท้า จากนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยความรู้สึกขอโทษว่า “เรื่องนี้ข้าต้องรายงานอาจารย์”
ไม่ใช่ว่าการสืบเรื่องเหยียนเจินลู่จะทำให้มีปัญหาอะไร หากแต่เป็นเพราะสถานะของจิ๋งจิ่วในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน
ไม่ว่าอย่างไรเชวี่ยเหนียงก็จำเป็นต้องรายงานเจ้าสำนัก ไม่อย่างนั้นหากเขาเกิดเรื่องขึ้นที่นี่จะทำอย่างไร?
……
……
เจ้าสำนักจิ้งจงกำลังเก็บตัว แต่เชวี่ยเหนียงเองก็ไม่มีเวลามานั่งสนใจอะไรมากมายขนาดนั้น นางจึงเข้าไปรายงานอาจารย์เรื่องจิ๋งจิ่ว
เจ้าสำนักชิงซานมาเยือนสำนักจิ้งจง ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา แม้จะเห็นได้ชัดว่าเป็นการมาเยือนอย่างลับๆ แต่มันก็สำคัญกว่าการเก็บตัวตั้งไ ไม่รู้กี่เท่า
เจ้าสำนักจิ้งจงฟังเชวี่ยเหนียงรายงานจนจบ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “ชื่อเหยียนเจินลู่นี้ข้าพอจะคุ้นๆ อยู่ เหมือนจะเป็นศิษย์ที่ออกไปจากสำนัก แม้จะไม่รู้ว่า าเจ้าสำนักจิ๋งกำลังสืบหาอะไร แต่ก็ให้ความร่วมมือกับเขาอย่างเต็มที่แล้วกัน เพียงแต่…ในเมื่อเขามาเยือนเป็นการส่วนตัว เห็นทีคงไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ ข้าไม่ออกหน้าแล้วกัน น เจ้าเองก็ระวังหน่อย อย่าให้เรื่องนี้เล็ดลอดออกไปได้”
นับแต่วันนี้เป็นต้นไป จิ๋งจิ่วกับเจ้าล่าเยวี่ยก็พักอยู่ในเรือนเล็ก ไม่เคยออกไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว
อาจารย์และเหล่าลูกศิษย์ภายในสำนักจิ้งจงต่างก็ทำเหมือนเหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ของยอดเขาซื่อเยวี่ย พวกเขาเริ่มค้นหาเรื่องราวในกองกระดาษโบราณเหล่านั้น
โชคดีที่อากาศในฤดูใบไม้ผลิของเมืองเฝ่ยชุ่ยเองก็ดีเช่นกัน ถือโอกาสเอาหนังสือมาตากแดดได้
เชวี่ยเหนียงคอยอยู่เป็นเพื่อนจิ๋งจิ่วกับเจ้าล่าเยวี่ยอยู่ในเรือน สายตาเหลือบมองดูแมวขาวที่อยู่ในอ้อมอกของเจ้าล่าเยวี่ยเป็นระยะ แต่เวลาส่วนใหญ่ล้วนแต่แอบมองดูจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วรู้ว่าในสายตาของคนอย่างถงเหยียนและเชวี่ยเหนียง ความงามนั้นไม่สำคัญเท่าหมากขาวดำ เขารู้ว่านางอยากจะทำอะไร จึงกล่าวว่า “มาสิ”
เชวี่ยเหนียงงุนงงเล็กน้อยก่อนจะได้สติขึ้นมา นางดีใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวออกมาว่า “อาจารย์ท่านใจดีจริงๆ เลย!”
การประลองที่สะเทือนฟ้าดินในเขาฉีผานครั้งนั้น นางเป็นเพียงคนเดียวที่ดูจนถึงช่วงเวลาสุดท้าย การประลองครั้งนั้นมีอิทธิพลต่อวิถีหมากล้อมของนางอย่างมาก
นับแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็มองจิ๋งจิ่วเป็นอาจารย์มาโดยตลอด ในเวลานี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จึงเผลอตะโกนออกมา
เจ้าล่าเยวี่ยกอดแมวขาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ ภายในใจคิดว่าคำว่าอาจารย์นี้ตะโกนได้ดีเชียว
“หลายปีมานี้ในตอนที่พูดถึงท่าน ข้าเผลอเรียกท่านว่าอาจารย์โดยไม่รู้ตัว ทำให้ศิษย์ในสำนักหลายๆ คนเกิดความเข้าใจผิด” เชวี่ยเหนียงได้สติขึ้นมา จึงกล่าวอย่างขวยเขินเล็กน้อย “เมื่ อปีที่แล้วท่านกลายเป็นเจ้าสำนักชิงซาน เหล่าอาจารย์คิดว่าข้ามีความสัมพันธ์อะไรกับท่านจริงๆ พวกเขาจึงยิ่งให้ความสำคัญกับข้า…ขอท่านได้โปรดให้อภัยด้วย”
ภายในห้องของนางมีกระดานหมากล้อมอยู่กระดานหนึ่ง มันถูกกระจกที่ติดอยู่เต็มห้องส่องจนกลายเป็นกระดานหมากล้อมจำนวนนับไม่ถ้วน
จิ๋งจิ่วคีบหมากขาวขึ้นมาเม็ดหนึ่ง ก่อนจะมองดูนางพลางกล่าวว่า “กระจกส่องเจ้าให้เป็นอย่างไร นั่นคือปัญหาของกระจก มิใช่ปัญหาของเจ้า”
เชวี่ยเหนียงฟังประโยคนี้ นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นหยิบเอาหมากดำเม็ดหนึ่งขึ้นมาวางเบาๆ ไปบนกระดานพลางกล่าวว่า “ขออาจารย์ช่วยชี้แนะด้วย”
……………………………………………………
[1]จ่างสื่อ คือตำแหน่งที่มีสถานะคล้ายเลขาหรือเสนาธิการ